บทความ

ลวกเส้นเป็นกวี ๐๓.

by หมี่เป็ดสิวะ! @December,14 2006 18.23 ( IP : 203...132 ) | Tags : บทความ

เด็กๆที่ถูกทำร้าย


วันก่อนที่ร้านหมี่เป็ดของผม บ่ายแก่ๆของวันที่ผ่านเช้าผ่านเที่ยงมาเหน็ดเหนื่อย เมื่อผมเดินออกจากครัวก็พบผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งที่คุ้นตานัก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน แกกำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่อยู่ที่โต๊ะ๑ ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ค่อยจะจำรายละเอียดของใบหน้าคนนัก มันก็เลยต้องใช้เวลาคิดและพิจารณาให้ชัด ผมแกล้งเดินผ่านโต๊ะแล้วเหล่ชำเลืองเงียบๆ ใครและที่ไหนหนอคือคำถามที่ผมพยายามตอบ จึงตัดสินใจถามเอาดื้อๆในช่วงที่แกกำลังเงยหน้าหลังจากทานเสร็จแล้ว “โทษครับ ใช่อาจารย์ที่โรงเรียนมหาวชิราวุธไหมครับ?” ผมตั้งคำถามอย่างสุภาพ แกเหลือบมองผมแล้วพยักหน้ายิ้มๆ
“ใช่อาจารย์...ไหมครับ?” ผมออกชื่ออย่างไม่แน่ใจ แกยิ้มอีกครั้งแล้วถามผมว่าผมจบรุ่นไหน ผมยกมือไหว้พร้อมกล่าวสวัสดีอาจารย์อย่างดีใจ มันนานมากแล้วที่ผมไม่ได้เจออาจารย์ที่สั่งสอนสรรพวิชาและการอยู่ร่วมในสังคม นับจากวันที่ผมรับใบ รบ. สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา ๒๕๒๘ – ๒๕๒๙ ผมได้กลับไปเยี่ยมโรงเรียนเก่าก็เพียงไม่กี่ครั้ง ซึ่งล้วนแล้วแต่กลับไปงานเลี้ยงร่วมรุ่น ไม่ได้เจอะเจออาจารย์ท่านใดเลย
อาจารย์มาหาดใหญ่เพื่อประชุมอะไรสักอย่าง เค้าหน้าอาจารย์ยังคงเป็นคนอารมณ์ดีเหมือนอย่างที่เคยเห็น มันทำให้วิชากฎหมายกลายเป็นเรื่องสนุกและไม่ใช่เรื่องไกลตัว อาจารย์คนนี้แหละที่แนะนำเด็กนักเรียนให้อ่านหนังสือการเมืองรายสัปดาห์ ขวบปีนั้นสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ยังเป็นนิตยสารการเมืองที่ทรงพลังที่สุด และมติชนสุดสัปดาห์ก็กำลังแผ่ปีกสยายเงายิ่งใหญ่ ท่านเป็นครูคนแรกที่ปลุกพวกเราให้สนใจการเมือง เราเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองครั้งแรกก็จากอาจารย์ท่านนี้ แต่เด็กโปรแกรมพลานามัยที่วันทั้งวันอยู่แต่ในสนามจนตัวเขียว มันจึงเป็นเรื่องยากเย็นยิ่งที่จะหันความสนใจไปยังด้านอื่น จนกระทั่งผ่านมาเป็น ๑๐ ปีนั่นแหละครับ ที่ผมจะได้สนใจการเมืองและเริ่มอ่านหนังสืออื่นๆที่ไม่ใช่สตาร์ซอกเกอร์

อาจารย์เล่าเรื่องราวความเป็นไปของโรงเรียนในห้วง ๒๐ ปีที่ผ่าน เล่าถึงครูคนอื่นๆที่ผมนึกชื่อถามขึ้นได้ แต่ประเด็นใหญ่ที่เราคุยกันหนักคือประเด็นของครูในปัจจุบัน
อาจารย์เล่าว่ามีคนมาติดต่อท่านเพื่อขอ “ชื่อ” ไปเปิดโรงเรียนสอนพิเศษเป็นเวลา ๓ ปี โดยให้เงินตอบแทนเป็นจำนวนที่ใช้ได้เลยทีเดียว อาจารย์ปฏิเสธ พร้อมทั้งกล่าวว่าชื่อของอาจารย์มันเทียบกันไม่ได้เลยกับชื่อของโรงเรียนมหาวชิราวุธ เพราะสังกัดที่อยู่นั้นยิ่งใหญ่เกินจะเอ่ยอ้างเอาไปใช้ในธุรกิจใดใดของใครคนใดคนหนึ่ง ผมฟังอย่างครุ่นคิดและกระตือรือร้น ด้วยเรื่องสถาบันติวเตอร์ที่กลาดเกลื่อนในปัจจุบันนี้ ผมได้รับฟังรู้เห็นปัญหาของเด็กนักเรียนมามากมาย แน่ล่ะ-ที่ต้องเป็นของผู้ปกครองด้วย มันเป็นปัญหางูกินหาง และนับวันดูท่าจะขยายยาวเหยียดยืดหางออกไปไม่รู้จบสิ้น
ลูกค้าที่ร้านของผมนั้นเช้าๆจะเป็นนักเรียน ตั้งแต่ระดับอนุบาลไปจนถึงมัธยม ผมเห็นเด็กประถมแบกกระเป๋าหนังสือกันตัวโก่งทุกคน – ทุกวัน ถามพวกเขาว่าเรียนกันหมดหรือ ? เขาตอบกลับมาอย่างแน่ใจว่าหมด ผมลองยกกระเป๋าของเด็กๆเหล่านั้น มันน่าจะหนักร่ำๆ ๑๐ กิโลเลยทีเดียว เด็กตัวเท่านี้กับกระเป๋าที่ผู้ใหญ่เองก็ยังหลังแอ่น ? ผมยืนตาปริบๆเงียบๆ มองพวกเขาหน้าดำหน้าแดงแบกกระเป๋าไปโรงเรียน จากผู้ปกครองของเด็กเองผมจึงได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ระดับประถมก็มีการสอบแข่งขันกันเข้าเรียนแล้ว ผมอุทานออกมาคำหนึ่งเบาๆ มองเห็นพวกเขาเรียนกันควันออกหู ไม่รับรู้ใดใดในโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นลมหายใจคือเรียนและเรียน ยามเย็นเมื่อโรงเรียนเลิก พวกเขาจะกุลีกุจอไปสถาบันติว เรียนต่อกันจนค่ำ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ควรจะได้นอนตื่นสายดูทีวี พวกเขาก็จะรีบอาบน้ำแต่งตัวไปสถาบันติว ผมเชื่อว่าวัตรปฏิบัติเช่นนี้ของเด็กๆ มันทำให้ผู้ปกครองจำนวนมากหรืออาจจะพูดได้ว่าทุกคนพอใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องเด็กจะเกเร ไม่ต้องนั่งรอลูกกลับบ้านดึกๆดื่นๆด้วยไม่รู้ว่าหายไปไหนมาทั้งคืน ลูกเป็นเด็กน่ารักของพ่อแม่เสมอ และมีหน้าที่เรียนอย่างเดียว วันหยุดเช้าๆก็ออกไปหาอาหารเช้ามาให้ เพื่อให้ลูกตื่นขึ้นมาจะได้รับทานก่อนไปสถาบันติว งานบ้านทั้งปวงไม่ใช่หน้าที่ของลูก ลูกมีหน้าที่เรียนและสอบให้ได้คะแนนดีที่สุดเท่านั้น มันเป็นเรื่องดีจริงหรือ ? ปัญหางูกินหางนี้ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นมาจากอะไร และไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แน่ล่ะ- ที่เราทุกคนต้องการให้เด็กของเราเรียนดีไม่เกเร ฉลาดและสอบได้คะแนนดี เราจึงพร่ำบอกเด็กว่าให้เรียนให้ได้เกรดที่ดีที่สุด โดยอ้างเหตุผลเรื่องของการสอบเข้ามหาวิทยาลัย พ่อแม่ต้องการให้ลูกเรียนในคณะที่ดี ไม่แพทย์ก็วิศวะ หรือคณะอะไรก็ได้ที่จบมาแล้วมีงานทำ และเป็นงานที่ทำเงินดี เราสร้างค่านิยมให้เด็กเชื่อว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น การเรียนคือการแข่งขันที่ผู้แกร่งกว่าจะเป็นผู้ชนะ เกมนี้ห้ามแพ้ ! โรงเรียนอวดผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเด็ก มีการประกาศเกียรติคุณให้กับเด็กที่เรียนได้ดีที่สุด คาดหวังในตัวเด็กทุกคนว่าจะสามารถแข่งขันทางวิชาการกับโรงเรียนอื่นได้โดยไม่แพ้ เด็กของเราเชื่อเช่นนั้น และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะชนะในเกมนี้ให้ได้ พวกเขาจึงเรียนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในสมองมีแต่สูตรคำนวณฟิสิกส์เคมีชีวะคณิต พูดไทยคำอังกฤษคำเพื่อฝึกลิ้นและภาษา ด้วยวิชาเหล่านี้คือวิชาหลักที่จะต้องใช้สอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมเคยถามเด็กมัธยมปลายคนหนึ่งว่าสมองของคนเราประกอบด้วยอะไรบ้าง เขาตอบกลับมาอย่างแม่นยำ แจกแจงหน้าที่ของสมองแต่ละส่วนได้เป็นลำดับขั้น โยงความสัมพันธ์ของการทำงานได้เป็นระบบ เขาตอบผมด้วยท่าทีภูมิใจเชื่อมั่น เพราะตำราที่เขาหมั่นท่องบอกไว้เช่นนั้นจริงๆ ผมถามเรื่องชายแดนใต้ เขายิ้มแหยๆ และบอกว่าไม่มีอยู่ในตำราเรียน ผมถามว่าเรียนจากโรงเรียนมาทั้งวันแล้วต้องไปเรียนพิเศษอีกไม่เหนื่อยหรือ ? เขายักไหล่ตอบว่าจำเป็นต้องเรียน ไม่เช่นนั้นเรียนไม่ทันคนอื่น ผมเงยหน้ามองฟ้าวันนั้น คิดถึงครูบาอาจารย์หลายท่านขึ้นมาจับจิต มันผ่านมา ๒๐ ปีเอง ผมเคยวิ่งเล่นอยู่ในสนามฟุตบอล เคยเดินสวนทางกับครูอาจารย์แล้วยืนตรงจนกว่าท่านจะเดินผ่าน เคยนั่งอยู่บนโต๊ะม้าหินใต้ร่วมประดู่เอาเท้าวางไว้ที่เก้าอี้ แล้วอาจารย์ท่านหนึ่งก็ตะโกนเรียก “ไอ้ศรียงค์ไอ้ศรียงค์” มาแต่ไกล เพื่อให้ผมลงจากโต๊ะแล้วนั่งที่เก้าอี้แทน ผมเช่าบ้านอยู่ร่วมกับเพื่อนๆที่ซอย ๔ วัดสระเกษ นานๆจะกลับบ้านสักครั้งเงินทองจึงร่อยหรอเป็นประจำ ก็ได้อาจารย์หลายๆท่านนี่แหละที่เจียดเงินให้ผมได้ซื้อข้าวกิน มันมีความผูกพันกันอยู่ระหว่างครูกับศิษย์ เป็นความผูกพันที่มิใช่เพียงแค่การรับจ้างสอนของครู และมิใช่การเรียนของเด็กเป็นเพียงมาทำหน้าที่ของตน ในเย็นวันที่ผมมีเรียนวิชาเทนนิส ซึ่งต้องใช้สนามพื้นที่ของสโมสรข้างๆโรงเรียน ผมกับพงษ์ศักดิ์เดินไปเป็นคนหลังสุด พอพ้นประตูโรงเรียนก็เจอกลุ่มเด็กเทคนิคเต็มรถตุ๊กตุ๊กรออยู่ ไม่ทันตั้งตัวเราก็โดนรุมด้วยไม้และเหล็ก ในขณะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำนั้น อาจารย์ท่านหนึ่งได้ขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมาพอดี ท่านตะโกนให้เราไปหยิบปืนในห้องพักครู ผมกับพงศ์ศักดิ์วิ่งไปทันที เปิดลิ้นชักค้นดูจนทั่วก็ไม่เห็นแม้แต่ลูกกระสุน ในนั้นมีแต่หนังสือตำราที่จะต้องใช้สอนวิชาสุขศึกษาพวกเรา อาจารย์เดินเข้ามาในขณะที่เรากำลังคิดว่าจะหาปืนได้จากไหน ท่านบอกว่าไม่มีหรอกไม่ต้องหา ท่านเป็นครูไม่ใช่นักเลงจะมีปืนได้อย่างไร ความผูกพันนี้มิใช่เพียงเพราะอาจารย์มาช่วยพวกเรา แต่เพราะอาจารย์ทำให้เราเห็นว่าคำที่เราเรียกครูว่าพ่อแม่ที่สองนั้นเป็นอย่างไรต่างหาก มีแต่ความหวังดี ช่วยแก้ปัญหาให้ สุขและทุกข์กับเรา สิ่งใดไม่ดีไม่ควรก็ปรามก็ห้าม สิ่งใดควรและดีก็สนับสนุน ครูไม่ใช่อาชีพรับจ้าง มันเป็นอาชีพที่มีเกียรติที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง เพราะการสร้างเด็กให้เป็นคนดีของสังคมให้ได้นั้น มันยากเกินกว่าจะสร้างเด็กให้เรียนเก่งร้อยเท่าทวีคูณนัก ผมเป็นเด็กเรียนอ่อน โดยเฉพาะวิชาภาษาไทยที่มักจะสอบตกอยู่บ่อยครั้ง ซ้ำมันเป็นวิชาบังคับที่ต้องผ่านให้ได้ผมถึงจะจบ อาจารย์วิชาภาษาไทยจึงเรียกผมเข้าไปพบในเที่ยงของวัน กำชับและสั่งเป็นคำขาดว่าเย็นนี้ห้ามกลับบ้านก่อน ให้ไปพบท่านที่ห้องเรียนพร้อมกับเพื่อนอีกกลุ่ม ผมไปถึงก็พบว่ามีเพื่อนๆนั่งรออยู่แล้ว ล้วนแต่เป็นเด็กเรียนอ่อนวิชาภาษาไทยทั้งสิ้น อาจารย์สอนพิเศษในช่วงเวลาที่ควรจะได้กลับไปพักผ่อน การสอนพิเศษของอาจารย์มิใช่การบอกข้อสอบแต่อย่างใด แต่เป็นการเรียนซ้ำที่เรียนมาแล้วทั้งนั้น เพิ่มการจ้ำจี้จ้ำไชซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าพวกเราจะเข้าใจ อาจารย์บอกพวกเราว่าเป็นความบกพร่องของท่าน ที่มิสามารถสอนให้พวกเราเข้าใจได้ในชั่วโมงเรียน ภาระของคนเป็นครูคือสอนให้เด็กเข้าใจในสิ่งที่สอนให้ได้ทุกคน การเรียนการสอนในช่วงพิเศษนี้จึงผ่อนคลายนัก เรารู้สึกผิดที่ไม่สามารถเข้าใจให้ได้ในวิชา เด็กมีศักยภาพมากพอที่จะเรียนรู้อะไรก็ได้ในโลกนี้ อยู่ที่เด็กจะใส่ใจแค่ไหนเท่านั้น ซึ่งบางครั้งมันอาจต้องอาศัยวิธีการต่างๆมาชักจูงเด็กให้ใส่ใจ

ไม่ใช่เฉพาะที่มหาวชิราวุธเท่านั้นหรอก ผมเคยเรียนพิเศษวิชาคณิตที่โรงเรียนหาดใหญ่อำนวยวิทย์เมื่อตอน ม.ต้น หลังจากที่ผลการเรียนวิชานี้ของผมย่ำแย่ติดต่อกัน อาจารย์เลยบอกว่าจะสอนพิเศษให้ช่วงเย็นหลังโรงเรียนเลิก ผลการเรียนซ้ำเพิ่มเติมทำให้ผมได้เกรดสูงสุดของชั้น และรางวัลที่ได้รับคือหนังสือวิชาคณิตศาสตร์เล่มใหญ่ ที่รวบรวมสูตรคำนวณต่างๆให้ฝึกทักษะ ทั้งสองวิชาเรียนพิเศษนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายใดใดทั้งสิ้น อาจารย์ไม่เน้นสอนให้จำ แต่เน้นให้พวกเราเข้าใจ อาจารย์ภาษาไทยบอกว่าถ้าเราจำเราจะลืม แต่ถ้าเข้าใจนั้นเราจะสามารถนำมันออกมาใช้ได้ตลอดเวลา ผมจึงแปลกใจนัก เมื่อรู้ว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนพิเศษของเด็กปัจจุบันมันสูงพอๆกับการเรียนในสถาบันการศึกษาของตน ผมถามเด็กว่าทำไมครูจึงไม่สอนให้หมด ? เด็กไม่เข้าใจ เด็กสงสัยว่าทำไมจึงสอนไม่หมดได้ในเมื่อหนังสือก็มีเท่าที่ครูสอน

การคาดหวังในตัวเด็กไว้สูงมันเป็นแรงกดดันใหญ่หลวงสำหรับเด็ก พ่อแม่อยากให้ลูกเรียนคณะแพทย์,วิศวะ ในสถาบันใหญ่ๆมีชื่อเสียง เร่งเร้ารบเร้าให้เด็กเรียนให้ถึงที่สุดเพื่อผลการแข่งขันจะอยู่แถวหน้า โรงเรียนเฝ้ามองรายชื่อประกาศผลเอนทรานส์อย่างใจจดใจจ่อไม่แพ้ผู้ปกครอง เด็กมีความเชื่อว่าคณะที่ว่าสามารถทำเงินได้มหาศาล มีชื่อเสียงศักดิ์ศรีและเกียรติในสังคม รัฐบอกเราว่าประเทศชาติต้องการมันสมองไว้ต่อสู้แข่งขันกับประเทศอื่นๆ เรากำลังพัฒนาประเทศไปสู่ความศิวิไลซ์ รัฐจึงรับระบบการศึกษาของตะวันตกมาทั้งดุ้น แล้วยัดเยียดให้เด็กของเราเรียน เป่าหูสังคมให้เชื่อว่านั่นเราเดินมาถูกทางแล้ว ทางออกอันเรียวลีบของเด็กของผู้ปกครองจึงมุ่งไปสู่การเรียนพิเศษ การแข่งขันเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เด็กไม่สนใจวิชาที่ไม่จำเป็นในการใช้สอบแข่งขัน เคยมีบัณฑิตมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งถามผมว่าหนองคายอยู่ภาคไหน ? เขาเชื่อเมื่อผมบอกว่าอยู่ภาคเหนือ ในรายการเกมเศรษฐีครั้งหนึ่งพิธีกรถามผู้เล่นที่จบระดับปริญญาตรีว่าจังหวัดใดอยู่แถบอันดามัน เขาตอบไม่ได้ ผมเห็นครูปัจจุบันไปรับสอนพิเศษกันเป็นทิวแถวในสถาบันติว พวกเขาพูดถึงตึกหลังใหญ่ของสถาบัน ผู้ปกครองหลายคนโอดครวญถึงค่าเรียนพิเศษของเด็ก ก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินมาให้ลูกเรียนได้เกรดดีดี เด็กๆใฝ่ฝันถึงอาชีพทำเงินชื่อเสียงเกียรติยศ ผมสงสัยว่าทำไมสถาบันติวทั้งหลายจึงไม่มีคุณวุฒิในการส่งเด็กเข้าสอบแข่งขันใดใดเลย ? และโรงเรียนทำไมจึงไม่กวดขันคุณภาพของครูอาจารย์ทั้งหลาย ?

อะไรเล่าที่ทำให้เด็กฆ่าตัวตายเมื่อรู้ว่าตนเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ถูกปลุกเร้าจากผู้ปกครอง,โรงเรียนไม่ได้ ? ทำไมจึงฆ่าตัวตายได้แม้เพียงเรื่องผิดหวังจากความรัก ? เด็กของเราแก้ปัญหาที่ไม่ได้มีอยู่ในตำราเรียนไม่เป็นใช่ไหม ?

ใครทำร้ายเด็กๆของเรา ?

๑๔ ธันว์ ๒๕๔๙

Comment #1
โฟนาซ่า
Posted @May,19 2009 17.13 ip : 118...191

อ่านแล้วถึงกับขนหัวลุก...เป็นปัญหาโลกแตก... พูดถึงเรื่องนี้ต้องจบที่การปลง ... ตอนนี้เราวิ่งตามความเจริญของโลกตะวันตก จนลืมความสงบร่มเย็น ความเรียบง่ายของสังคมไทยสมัยก่อน..น่าอนาจใจ... ตราบใดที่ผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความคาดหวังในตัวเด็กสูง ความฉลาดเรียนเก่งของเด็กกลายเป็นเครื่องมือในการโอ้อวดเอาหน้า ในขณะเดียวกัน ผู้ปกครองที่ลูกไม่มีความสามารถพิเศษใดๆให้อวดได้ ก็นำเสนอตัวเองในเรื่องฐานะความมั่งมีแทน ทุกคนสอนลูกให้เด่นให้ดีในสายตาคนอื่น แก่งแย่งกันสร้างภาพ หลงลืมแก่นแท้ของชีวิตครอบครัว เด็กเรียนซะจนไม่มีเวลาแม้แต่จะพูดคุยเรื่องที่ไม่สบายใจให้พ่อแม่ฟัง ไม่มีเวลาจะปรึกษาเรื่องนั้นเรื่องนี้กับพ่อแม่ ขาดสายใยชีวิต ขาดความรัก ไร้ภูมิคุ้มกันชีวิต ขาดจิตวิญญาณในการดำรงชีวิตอยู่เพื่อทำความดี เมื่อเด็กเกิดแรงกระแทกไม่ว่าจากปัญหาอะไรก็ตาม เด็กไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวที่จะมีชีวิตต่อ ท้อแท้ สิ้นหวังก็ฆ่าตัวตาย ... ในทางกลับกัน เด็กที่มีชีวิตอยู่อย่างขัดสนแร้งแค้น กลับมีภูมิต้านทานที่ดีกว่า ต่อสู้ ไม่คิดตายง่ายๆ

แสดงความคิดเห็น

« 6722
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ