เรื่องสั้น

เกมส์อุดมการณ์

by สิงห์ลา @June,13 2007 10.21 ( IP : 202...98 ) | Tags : เรื่องสั้น

เกมส์อุดมการณ์

ผมเดินตามผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันได้สามนาทีกันมาตามตรอกเล็ก ๆ ที่เป็นซอยลัดเข้ามาจากถนนใหญ่ แม้จะรู้สึกหวั่นวิตกกับการไว้เนื้อเชื่อใจคนแปลกหน้าในเมืองหล วงที่มีแต่คนรู้หน้าไม่รู้ใจ  แต่นาทีนี้-เสียงร้องระงมของน้ำย่อยในกระเพาะมันทำให้จำต้องเสี ่ยงกับหนทางอยู่รอดที่รออยู่ตรงหน้า

เขาใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายตารางหมากรุก กางเกงยีนสีดำ ผมรองทรงสั้น ใบหน้าหยาบกร้าน ผิวคล้ำ เรียกแทนตัวเองว่า “เชิด” เดินมาทักผมขณะที่กำลังเดินเตร็ดเตร่โซซัดโซเซอยู่ริมถนนแถวราช ดำเนิน ตอนแรกผมนึกว่าเป็นคนรู้จักกันแต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ พูดคุยกันไม่กี่คำ ผมก็เผลอตัวเดินตามเขามาอย่างคนใจง่ายกับคำที่เหมือนแสงสว่างสำ หรับคนตกงานมาหลายเดือนอย่างผม
“หางานทำอยู่หรือเปล่าน้อง”

“ครับ”

“พี่มีงานให้น้องทำ”

“งานอะไรพี่?”

“ไม่ต้องห่วงไม่ใช่งานผิดกฎหมาย” เขาพูดเต็มเสียง เอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบา ๆ ขณะที่เห็นผมทำท่าทางลังเลเหมือนกำลังเดินหนี
พี่เชิดพาผมเดินหลุดออกจากตรอกสู่ถนนใหญ่ที่อยู่อีกฝั่งถนน เต็นท์ผ้าใบสีเขียวเรียงต่อกันสามสี่อัน ป้ายผ้าสีขาวเขียนด้วยตัวอักษรสีแดงโชว์หราอยู่เต็มแผงเหล็กกั้ น คนนับร้อยต่างนั่งนอนอยู่เต็มบริเวณนั้น

“กินข้าวมาหรือยัง” พี่เชิดถาม

ผมส่ายหน้า ยังไม่ได้กิน ตอบกลับไปเบา ๆ พี่เชิดเดินเข้าไปในเต็นท์ ผมไล่ตามองตามไปจนถึงมุมเต็นท์ แม่ครัวที่ทำกับข้าวอยู่ตรงนั้น มองมาทางผมยิ้มบาง ๆ แล้วตักกับข้าวใส่จาน

เดินถือจานข้าวมาให้ “กินซะ แล้วจะได้มีแรงทำงาน”

มองกระเพาไก่ในจาน เป็นอาหารพูนจานมื้อแรกหลังจากที่อด ๆ อยาก ๆ มาหลายเดือน “พี่จะให้ผมทำงานอะไรหรือครับ” ผมถามขณะที่เร่งรีบตักชิ้นไก่เข้าปาก

พี่เชิดมองมาทางผมด้วยแววตาเอาจริงเอาจัง “มีบัตรประชาชนติดตัวมาหรือเปล่า”

“มะ ๆ มีครับ” แทบจะสำลักข้าวออกจากปากเพราะความประหม่ากลัว “พี่จะเอาไปทำไมเหรอครับ”

“เหอะน่า เอามาให้พี่ดูหน่อยสิ เป็นคนที่ไหน จังหวัดอะไร”

ตอนแรกผมทำท่าจะไม่หยิบบัตรประชาชนให้ดู แต่ด้วยสภาพตัวเองที่ไม่ต่างอะไรจากหมาจนตรอกจำต้องหยิบบัตรออก มาให้ดู ,อย่างน้อยก็แค่กลับไปบ้านแจ้งความบัตรหาย ผมนึกทางหนีทีไล่ในใจ

ดูรายละเอียดในบัตรประชาชนแล้วมองขึ้นมายังหน้าผม “คนบ้านเดียวกันไม่ต้องกลัว เข้ามาหางานที่กรุงเทพฯนานหรือยังล่ะ” น้ำเสียงพี่เชิดดูเป็นมิตรมากขึ้นกว่าเมื่อสักครู่

“ก็นานแล้วครับ ตกงานมาหลายเดือนแล้ว”

“งานสมัยนี้หายากนะ ยิ่งคนแต่งตัวท่าทางโทรม ๆ อย่างเอ็งด้วยล่ะก็ ใครที่ไหนเขาจะรับเข้าทำงาน” พี่เชิดมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่อย่างนี้แหละเหมาะสำหรับทำงานกับพี่”หัวเราะในลำคอ

ข้าวหมดจานผมเดินเข้าไปนั่งหลบแดดในเต็นท์ รอคำสั่งจากพี่เชิดที่เดินหายไปไหนก็ไม่รู้พร้อมกับบัตรประชาชน ของผม มองไปรอบ ๆ คนหลายสิบคนต่างพากันนั่งและนอนเหมือนรอคอยอะไรสักอย่างไม่ต่าง จากผม

เกือบชั่วโมงที่นั่งเฉย ๆ ฆ่าเวลากับการอ่านข้อความที่อยู่บนป้ายผ้า มันเป็นข้อความประท้วงขอความเป็นธรรมจากรัฐบาล มีการเขียนโจมตีและด่าทอด้วยถ้อยคำแรง ๆ หยาบคาย ใส่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหนึ่ง

เขยิบก้นไปใกล้ ๆ ชายกลางคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มคุยกัน “เขาประท้วงเรื่องอะไรกันเหรอพี่”

พวกเขาพร้อมใจกันส่ายหน้า แววตาว่างเปล่า ไม่มีคำตอบใด ๆ ผุดพรายออกมา

เสียงจากลำโพงดังขึ้นมาจากหัวถนน รถหกล้อมาจอดตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรผมไม่ทันสังเกต ชายสูงอายุผมสีดอกเลาคนหนึ่งขึ้นไปยืนพูดอะไรสักอย่างอยู่ตรงนั ้น

พี่เชิดเดินมาจากไหนก็ไม่รู้ ยื่นเงินมาให้ผมหนึ่งร้อยห้าสิบบาท “ค่าแรงล่วงหน้า เสร็จงานแล้วค่อยมาเอาอีกครึ่งหนึ่ง”

ผมอึกอักขณะรับเงินจากพี่เชิด “เอ่อ แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

พี่เชิดถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “มาถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้อีกหรือไงว่าต้องทำอะไร งานง่าย ๆ แค่นี้ต้องให้บอกด้วยเหรอ” ตวัดตาให้ผมมองตามไปยังกลุ่มคนที่กำลังลุกฮือ ไปยังชายผมดอกเลาที่กำลังตะโกนใส่ไมโครโฟนปาว ๆ อยู่บนรถหกล้อ “มาใหม่ยังไม่ต้องทำอะไรมาก ไปยืนฟังเขาพูด ตอนนี้เอาแค่นั้นก่อน”

ผมพยักหน้าหงึก ๆ  ไม่ต่างจากทหารที่กำลังรับฟังคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา แล้วค่อย ๆ ย่างเท้าเดินตามฝูงชนร่วมอุดมการณ์เดียวกันไปยังต้นเสียงด้านหน ้า

ตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสได้ทำงานประจำที่มีรายได้ดีขนาดนี้ จากวันแรกที่ได้เข้าร่วมกลุ่มที่เรียกแทนตัวเองว่า “กลุ่มพลังประชาชน” จนถึงทุกวันนี้เปลี่ยนการเข้าร่วมมาหลายสิบกลุ่มจนแทบจะจำชื่อไ ม่ได้ว่าเคยร่วมกลุ่มการประท้วงใดไปบ้าง สิ่งนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะเรื่องทั้งหมดมันสำคัญตรงที่ว่า วันนี้ผมไม่จำเป็นต้องอดมื้อกินมื้อและตระเวนตากแดดหางานทำเหมื อนสมัยก่อนแล้ว งานสบาย มีเวลาการทำงานที่แน่นอนจันทร์ถึงศุกร์ ตอนเช้าไปดักยืนรอชูป้ายผ้าหน้ากระทรวงใดกระทรวงหนึ่งตามใบสั่ง ของพี่เชิด จากเจ็ดโมงถึงเก้าโมงครึ่ง ตอนเที่ยงก็ถือป้ายเดินทำหน้าเครียด ๆ สักชั่วโมง ตกเย็นก็ทำงานช่วงสุดท้ายของวันตั้งแต่บ่ายสามจนถึงห้าโมงเย็นส ิ้นสุดเวลาราชการ

ชูป้าย ตะโกนขับไล่ตามเสียงผู้นำ ให้นักข่าวทำข่าวช่างภาพถ่ายรูป เพื่อออกทีวีช่วงข่าวภาคค่ำและลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน เสาร์อาทิตย์ก็มีโอกาสแวะไปเดินเล่นพักผ่อนตามอัธยาศัย นอกเสียจากจะมีงานด่วนเรียกเข้ามา

ค่าแรงรายวันของผมขยับขึ้นจากวันละสามร้อยบาทเป็นสี่ร้อย ตามหน้าที่ที่ประสบการณ์และความชำนาญที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำตัวมีปากเสียง เป็นจุดสนใจแก่ประชาชนทั่วไปมากยิ่งได้ค่าแรงเยอะ บางวันที่โชคดีผมได้ค่าแรงเพิ่มพิเศษห้าร้อยบาทจากการเผาหุ่นปร ะท้วงที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ,ชราคนหนึ่งได้ค่าแรงหนึ่งพันบาทจากการปีนขึ้นไปบนต้นไม้ ร้องห่มร้องไห้ตะโกนโวยวายว่าถูกกลั่นแกล้งจากเจ้าหน้าที่รัฐแล ้วทำท่าจะกระโดดลงมา แต่ยังไม่ทันได้กระโดดลงมาตำรวจก็ลากตัวลงมาเสียก่อน เรื่องนั้นเป็นข่าวครึกโครมอยู่สองสามวันแล้วก็เงียบหายไป

ใกล้ช่วงเลือกตั้งงานยิ่งหนักขึ้นเท่าตัว เพราะพี่เชิดบอกว่าช่วงนี้เป็นสร้างภาพพจน์ของนักการเมือง ถ้านักการเมืองคนไหนตั้งหลักไม่ดีรับมือไม่ทัน ก็จะถูกเล่นงานจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อลดคะแนนนิยม ด้วยการเอาขบวนชาวบ้านมาขับไล่ ตะโกนด่าเอาเป็นเอาตายสารพัด คำโจมตีกล่าวอ้างต่าง ๆ นานา ไม่พอใจผลงานบ้างล่ะ โกงกินบ้างล่ะ ทำงานไม่โปร่งใสเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้อง ขายชาติ ฯลฯ สุดแล้วแต่จะสรรหากลเม็ดเด็ดพรายมาโจมตีกัน บางครั้งก็มีแผนซ้อนแผนให้เอาชาวบ้านมาขับไล่ตัวเองเพื่อเรียกค ะแนนสงสารของประชาชน

กลับกัน-ระหว่างอยู่ในขบวนประท้วง ผมไม่เคยได้รับความสงสารจากประชาชน ที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน บ้างก็พูดจาเหน็บแนม บ้างก็พูดด่ากันตรง ๆ สายตาดูแคลนอย่างเหยียดหยาม เป็นตัวการทำให้รถติด หลายครั้งที่ผมพยายามทำเป็นไม่สนใจ เพราะมันก็จริงที่เขาพูด แต่บางครั้งมันก็อดแค้นใจไม่ได้ว่า ชีวิตของผมไม่ได้ดีเหมือนกับคนกรุงเทพฯ อย่างพวกคุณที่นั่งรถหรู ๆ ใส่เสื้อผ้าสวย ๆ กินอาหารดี ๆ มีงานสบาย ๆ รายได้เยอะ ๆ ผมเป็นตัวการทำให้รถติดแค่นี้มันคงไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของพว กคุณเลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่สักเท่าไร

เคยได้ยินคำพูดผ่านหูหนึ่งที่ว่า ทิศทางของประเทศอยู่ที่ชนชั้นกลางซึ่งเป็นพลังเงียบของสังคม ส่วนคนต่างจังหวัดเป็นเพียงพลเมืองอีกชนชั้นหนึ่งที่ไม่สามารถม ีปากมีเสียงอะไรได้ คงเป็นเพราะยากจน และการศึกษาน้อย เป็นแค่ชาวไร่ชาวนา เอะอะเดือดร้อนอะไรหน่อยก็ประท้วง ๆ ขอโน้นขอนี้ ที่ดินทำกิน ปัญหาความยากจน ขอปลดหนี้ ฯลฯ สารพัดที่ผมเคยประท้วงมา

ปัญหาของคนจนที่มาประท้วงกันกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญสำหรับคนกรุ ง และกลายเป็นเกมส์การเมืองของรัฐบาลที่แย่งชิงอำนาจกันด้วยทุกกล ยุทธ์วิธี

ในตอนแรกที่ทำผมก็เคยนึกว่าอาชีพนี้เป็นเพียงเกมส์การเมืองหนึ่ งของผู้มีอำนาจ แต่บางครั้งก็ต้องสะอึกแทบน้ำตาร่วง เพราะเห็นชาวบ้านที่เดือนร้อนจริง ๆ ยกครอบครัวกันมาปู่ยาตายายลูกเด็กเล็กแดง เพื่อขอร้อง อ้อนวอน วิงวอน ให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาความยากจน สภาพความเป็นจริง เรื่องราวจริง ๆ ของคนเหล่านี้ มันทำให้ผมอึ้งไปหลายวัน ว่าประเทศนี้มีคนเดือนร้อนจริง ๆ ที่เข้ามาประท้วงและไม่มีค่าแรงรายวันเหมือนกับผม แต่พวกเขาก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะปักหลักค้างแรมได้เป็นปี ๆ เหมือนกับที่ผมและพี่เชิดทำกันอยู่

ตั้งแต่ที่ทำงานกับพี่เชิดมา ผมไม่เคยรู้เลยว่าปัญหาจริง ๆ ที่ประท้วงทุกครั้งนั้นมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร และเป็นความเดือนร้อนของใคร แต่ถึงยังไงผมก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องของคนอื่นมากนัก-มากไ ปกว่าเรื่องปัญหาปากท้องของตัวเอง

งานประท้วงหมดไปตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้ง ผมพอมีเงินเก็บอยู่ก้อนหนึ่งจึงทำให้ไม่เดือนร้อนเท่าไร วันเลือกตั้งผมมีโอกาสได้เข้าคูหาเลือกตั้งในเขตกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในชีวิต ทั้ง ๆ ที่เป็นคนต่างจังหวัดโดยกำเนิด ทั้งในสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน ผมได้รับมอบหมายหน้าที่จากพี่เชิดให้เดินเข้าคูหา พร้อมบัตรประชาชนใครก็ไม่รู้ที่มีหน้าตาคล้าย ๆ ผม แล้วก็กากบาทเลือกตามใบสั่ง

ก่อนเข้าคูหา ผมยืนดูรูปผู้สมัครคนหนึ่งด้วยความสนเท่ห์ เพราะเมื่อสามเดือนก่อนผมเพิ่งไปยืนด่า “ท่าน” ที่หน้ากระทรวงปาว ๆ และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ผมก็มีโอกาสได้ไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจแก่ท่าน ๆ  เดียวกันนี้เอง-คนที่ผมต้องเข้าไปลงคะแนนให้ หนึ่งเสียงตามระบอบประชาธิปไตย

หลังเลือกตั้งไม่ค่อยมีงาน เพราะเพิ่งเปลี่ยนรัฐบาลใหม่และคณะรัฐมนตรียังไม่ได้รับการแต่ง ตั้ง ผมขอพี่เชิดกลับบ้านต่างจังหวัด หลังจากไม่ได้กลับมาหลายปี

กลับไปครั้งนี้ผมว่าจะชวนคนที่บ้านมาทำงานด้วยสักสองสามคน ส่วนหนึ่งเพราะผมจะได้ค่าเปอร์เซ็นต์นายหน้า เหมือนกับที่พี่เชิดเคยได้รับจากที่ชวนผมมา

เงินก้อนหนึ่งในกระเป๋า กับทีวีสีสิบสี่นิ้วที่ซื้อมาจากโรงรับจำนา เอากลับไปเป็นของฝาก หอบหิ้วลงรถ บขส. ที่ตัวอำเภอ แล้วก็ต่อรถสองแถวไปยังหมู่บ้านอีกยี่สิบกิโล แม้จากบ้านมาหลายปี ถนนลูกรังเส้นนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ สองข้างทางยังเป็นป่ารก หน้าร้อนฝุ่นบนถนนตลบขึ้นมาบนรถจนทั้งคนนั่งและตัวรถเป็นสีแดงล ูกรังไปทั้งตัว เวลาฝนตกน้ำท่วมเอ่อมาถึงถนนที่เปลี่ยนกลายเป็นแอ่งน้ำและโคลนส ีแดง

กระเด้งกระดอนก้นจนถึงหมู่บ้าน เพื่อนบ้านเห็นผมต่างพากันตกใจ ที่จู่ ๆ ผมก็กลับมา ความคิดของคนที่นี่คงเหมือน ๆ กันคือ ถ้าหากใครเข้ากรุงเทพฯแล้วมีปัญญากลับมาบ้าน ก็มีอยู่เพียงแค่สองอย่าง ไม่ซมซานกลับมาตายรัง ก็ผ่ายรัก

สำหรับผมไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เพราะกำเงินก้อนหนึ่งพกมาเต็มกระเป๋า พร้อมกับทีวีสีสิบสี่นิ้ว

หลังจากทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว งานเลี้ยงฉลองก็เริ่มขึ้น เหล้าโรงถูกซื้อมาวางไว้เต็มชานบ้าน ทุกคนต่างพากันยินดี ที่ผมเป็นคนแรกของผู้บ้านที่ “รวย” กลับมา

แม้ว่าคนในครอบครัวต่างพากันยินดีที่ผมได้ดิบได้ดีกลับมา แต่สิ่งที่ผมเห็น สภาพความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตผู้คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ดีขึ้นก ว่าเดิมเลย ซ้ำร้ายยังลำบากกว่าเก่าจากปัญหาความแห้งแล้ง ,หนี้ ธกส. ที่กู้มาซื้อปุ๋ย  แล้วไม่มีปัญญาจะหาเงินมาใช้หนี้ เพราะผลผลิตราคาตกต่ำ

ในวงเหล้าโรงผมได้ทราบว่า ฤดูการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านมา คนในหมู่บ้านได้ค่าจ้างไปเลือกตั้งคนละสองร้อยบาท ซึ่งผมได้ถึงสี่ร้อยบาทจากการเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้งที่กรุงเท พฯ

พ่อบอกว่าถ้าปีนี้ฝนไม่ตกน้ำแล้งหนักกว่าทุกปี ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น น้ำในแม่น้ำก็แห้งขอด พวกนักการเมืองที่มาหาเสียงก่อนเลือกตั้งสัญญาว่าจะช่วยแก้ปัญห านี้ให้ แต่พอเลือกตั้งเสร็จก็เงียบหายไป ไม่เคยกลับมายกมือไหว้งาม ๆ ให้เห็นอีกเลย ถ้าเลือกคราวนี้ยังไม่ได้รับการช่วยเหลืออีก คนในหมู่บ้านต่างมีความคิดว่า จะยกขบวนเข้าไปประท้วงที่ตัวจังหวัด

ผมบอกไปว่าจะไปทำไมให้เสียเวลาเสียเงินค่ารถ ไม่ได้ผลหรอก

“ให้ทางการ เขารับรู้บ้างว่าชาวบ้านตาดำ ๆ เดือดร้อนกันแค่ไหน จะอดตายกันทั้งหมู่บ้านอยู่แล้ว” ลุงเพื่อนบ้านคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกมา แววตาแม้จะไม่มีความหวังใด ๆ กับสิ่งนั้น แต่มันก็เป็นเพียงความหวังเดียวที่มีอยู่ในขณะนี้

ทีวีสีเครื่องใหม่ถูกเปิดฉลองหน้าวงเหล้าโรง ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงตามพากันมาดูเทคโนโลยีที่ลุกล้ำเข้ามาใ นหมู่บ้าน

ข่าวภาคค่ำรัฐบาลชุดใหม่ให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่า ปัญหาความยากจน จะถูกแก้ไขโดยเร่งด่วน อีกไม่เกินสี่ปีคุณภาพชีวิตของคนไทยจะดีขึ้น

ผมคุ้นหน้ารัฐบาลที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานเต็มทีวีได้เป็นอย่าง ดี เพราะเคยไปประท้วงและให้กำลังใจพวกเขาหลายหน

ชาวบ้านดูข่าวในทีวี แววตาเพลิดเพลินไปกับความฝันที่รัฐบาลจะยื่นมือมาช่วยเหลือจริง ๆ จัง ๆ สักที

พลบค่ำทุกคนต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ที่นี่ชาวบ้านยังเข้านอนเร็วเป็นปกติเหมือนเดิม ไม่เหมือนชีวิตที่เต็มไปด้วยแสงสีของคนกรุงเทพฯ

ก่อนเข้านอนผมครุ่นคิดถึงคำพูดของลุงที่พูดขึ้นมาในวงเหล้าโรง ถ้าปัญหาทุกอย่างได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลจริงตามที่เคยสัญญาไว้ กับประชาชน การประท้วงคงไม่เกิดขึ้น ชาวบ้านคงไม่บากหน้ากันไปให้เสียเวลาทำมาหากิน และเป็นขี้ปากของคนเมือง ว่าไม่มีสมองแก้ไขปัญหา เอะอะอะไรก็เรียกร้องขอความช่วยเหลือจากภาครัฐบาล

  ผมไม่รู้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศนี้มีมากมายเท่าไร และมีกี่ปัญหากี่เรื่องที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่สำหรับหมู่บ้านผมเท่าที่จำได้ มันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างจริง ๆ จัง ๆ สักที

จินตนาการถึงวันพรุ่งนี้ ถ้าหากผมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ปัญหาทุกอย่างได้รับการแก้ไขจริงเหมือนที่รัฐบาลประกาศเอาไว้ใน ทีวี ผมคงต้องตกงาน และมีอันต้องเปลี่ยนอาชีพใหม่ ซึ่งยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปทำอะไรกิน

หรือว่าจะกลับมาอยู่บ้านทำไร่ไถนากับความหวังริบหรี่ ว่านักการเมืองได้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านจริง ๆ จัง ๆ เหมือนที่เคยได้สัญญาเอาไว้ ในฤดูการเลือกตั้ง

หากพรุ่งนี้เป็นอย่างนั้นจริง คุณภาพชีวิตของคนในหมู่บ้านอาจจะดีขึ้นกว่านี้ ปัญหาความยากจนจะหมดไป-ถอนหายใจยาว ๆ ก่อนความคิดจะฟุ้งซ่านไปกว่านี้

ไม่มีทางเป็นไปได้

แสดงความคิดเห็น

« 0036
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ