บทกวี
ย่ำมาเยี่ยมถึงซึ่งถิ่นธรรม
ย่ำมาเยี่ยมถึงซึ่งถิ่นธรรม
ในครั้งแรกช่วงระหว่างวันที่ 7-15 ธันวาคม 2545
มาพร้อมกับภาพจินตนาการของสวนโมกข์
เท่าที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของที่นี่และท่านพุทธทาส ภิกขุ
เป็นการตั้งใจออกเดินทางท่องเที่ยวพเนจรไป เริ่มต้นโดยการแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ซึ่งเขาบอกว่าเมื่อเมื่อมาพำนักที่สวนโมกข์แล้ว รู้สึกไม่อยากออกมาสู่ความวุ่นวายภายนอกเลย อยากให้ผมลองมาดู
เมื่อมาถึง... นิวาสสถานอันมีชื่อเป็นที่รู้จักต่อสาธุชนทั้งหลายนี้ ได้พบปะกับเสียงเด็กวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวอยู่ระหว่างสองศาลาที่พักหน้าวัด ชายคนหนึ่งกำลังเก็บกวาดขยะ ริมรอบขอบขัณฑสีมานั้นมีร้านรวงขายของฝากอยู่เรียงราย ส่งเสียงเรียกร้องลูกค้าอยู่ขวักไขว่ ฟากถนน รถวิ่งพลุกพล่านอยู่ไม่ขาดสาย หยุดอยู่กับห้วงภวังค์หนึ่งที่พบปะปัง
ทอดเท้ามา... นั่งสงบจิตสงบใจพอผ่อนคลายความเมื่อยล้าที่ศาลาพัก แล้วลุกขึ้นกระหยับเป้ออกมา ยืนแหงนมองป่าไม้ที่ยืนต้นเติบโต รกครึ้ม ดูสงบเย็นร่มรื่นอยู่ในขอบเขตขัณฑสีมา ยกมือขึ้นประณมไว้ แล้วค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้าสู่สวนโมกข์ เมื่อตะวันเริ่มคล้อยเคลื่อนเลื่อนลับกับห้วงกาลอีกวารวัน...
..............................................................................
มีคนเดินอยู่ประปรายในสวนโมกข์ เมื่อผมย่างเท้าเข้าไปถึง บางคนกำลังล่ำลาเดินทางกลับ แดดราแสงลง ค่อยค่ำครึ้มอยู่ใต้เงาร่มไม้ใหญ่ ระหว่างทางลาดเนิน ใบไม้เกลื่อนกล่น ขณะผืนทรายบางส่วน เกลี้ยงสะอาดด้วยรอยเวี่ยวาด พลางมองไปรอบราย พ่างพื้นและสงบเย็น แฝงความวังเวง หดหู่ ใจ เตือนให้สืบเท้าก้าวเดินไปที่เรือนกุฏิ ถามหาที่พักพิง
ย่ำเยือน
คล้อยค่ำย่ำมาถึง
ห้วงคำนึงแห่งคืนวัน
หมุนเวียนแปรเปลี่ยนผัน
มีสุขทุกข์อันรุกเร้า
ต้นไม้คล้ายเป็นเพื่อน
คอยย้ำเตือนให้ร่มเงา
ลมพัดมาเบาเบา
สัมผัสได้ถึงอายเย็น
ผู้มาแล้วลากลับ ไปเลือนลับได้มองเห็น สุขทุกข์ยากลำเค็ญ คงลบหายไปจากจร
ผืนทรายรอยเวี่ยวาด แลสะอาดแลสะออน นึกไปใจถ่ายถอน ใบไม้ร่วงล่วงสู่ดิน
นกน้อยคอยส่งเสียง แจ้วจำเรียงโผผกบิน พลบค่ำย่ำคืนถิ่น โอ้ คนจรสะท้อนใจ
ระฆังกังสดาล แผ่วแผ่วขานผ่านผ่านไกล ย่ำเท้าก้าวสืบไป ในคล้อยค่ำมาย่ำเยือน
ย่ำค่ำ 7 ธันวาคม 2545