บทกวี
ดำเนินไพร
..............................................................................
มองดูเรือนกุฏิแต่ละหลังๆในราวป่า ดูสงบเงียบ ร่มเย็นสมถะ
เรียบง่ายแต่ก็ให้วังเวงหดหู่อยู่ในที
บางเรือนทิ้งร้าง
ตลอดทางเดินร่มครึ้มไปด้วยแมกไม้ เติบต้นโตตามวิสัยธรรมชาติแท้ๆ
มีธารน้ำไหลเซาะฉ่ำ สัตว์สาบางชนิดแอบออกมาให้เห็นอยู่ไวๆ เสมือนทักทาย
ดูเหมือนจะมีไม่กี่แห่งหนแล้ว ที่เป็นเรือนรังของผู้รักความสงบและสันโดษเช่นนี้
ดำเนินไพร
เหยียดต้นแตกกิ่งทิ้งใบปรก ครึ้มรกร่มใบพฤกษ์ไพรสณฑ์ ซอกซอนโตรกผาภูวดล ป่ายปนอิฐหินดงดินดอน
แซมแซมสุมทุมพวงพุ่มไม้ เขียวคราบตะไคร่ตามโขดขอน ไม้ทิ้งกิ่งพักลงหักรอน ไม้ก็ชอนไชขึ้นทะมึนแทน
ชุ่มน้ำค้างพร่างพรูเมื่อตรู่สาง ย้อยลงพื้นพ่างตั้งบ่าแหงน ไชรากเกาะหินแทรกดินแดน พันแล่นลดเลี้ยวเกี่ยวเถาวัลย์
ลิงค่างบ่างชะนีมีที่อยู่ เงี้ยวงูไก่กาไม่อาสัญ ต่อแตนกาฝากฝังฝากกัน ร่วมเรียงเคียงขัณฑสีมา
แกว่งแกว่งลมไกวละไล้เล่น โยกโยนโอนเอนระเนนบ่า แดดลบพลบค่ำย่ำสนธยา เช้าสายบ่ายราคือร่มเย็น
เย็น 8 ธันวาคม 2545
..............................................................................
ตื่นทำวัตรเช้าสายกว่าใครเพื่อนเขา แต่ไปทันฟังเทศน์ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ตื่นทำวัตรเช้า เสมือนมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งถึงพร้อมแล้วสำหรับเริ่มต้นสดับธรรม เมื่อเริ่มทำสมาธิก็วิเวกแว่วเสียงไก่ขันอยู่ใกล้ไม่ไกลคาคบรอยรายลานหินโค้ง เจ้าคงสดับฟังธรรมอยู่ทุกวารวันกว่าใครหลายๆคน เสียงปลูกของเจ้าจะต่างเตือน
เสียงปลุก
เอ๊กอีกเอ๊กเอ๊ก เอ๊กอีเอ๊กเอ๊ก แว่ววิเวกสำเนียงเสียงไก่ขัน ฟ้าเรื่ออุสาทิวาวัน ร้องเรียกกันเคล้าคละเป็นประจำ
ทอดรับขับขานกาลสมัย สดับในจุ่งแจ้งจวบแสงค่ำ ว่าตื่นเถิดมวลมนุษย์มาน้อมนำ ประกอบกรรมเภิดหนาสาธุชน
กระพือปีกร่อนถลาจากคาคบ ก่อนวันลบลับลาอีกคราหน ลงตะกุยคุ้ยเขี่ยวะเวี่ยวน เป็นโภชน์ผลของเจ้าไม่เปล่าเปลือง
อันว่าไก่งามขนคนนั้นเล่า งามพริ้มเพราะฉันใดไปสืบเนื่อง งามรูปโฉมโนมพรรณนั้นเนืองเนือง งามฟุ้งเฟื่องขัดสีฉวีวรรณ
กุ๊กกุ๊กไก่ สนทนาประสาไก่ รุ่งอรุโณทัยไอศวรรย์ วันแหละคือคุณค่านับอนันต์ เพชรพลอยนั้นไก่ไม่เห็นเป็นวับวาว
เช้าตรู่ 9 ธันวาคม 2545
..............................................................................
ลีลาที่โผนแผล็วแคล่วคล่อง ไร้สุ้มเสียง แต่ดูยักเยื้องให้เห็นโดยสายตา โผล่มาทีละตัวๆ เช้านี้มีเปลือกแตงโมฝานเป็นชิ้นๆ ติดเนื้อแดง อา เอมโอษฐ์โภชนาหรือประทังไปอีกมื้อหนอกระรอกน้อย ตัวที่สองที่สามตามมา บางตัวมาแล้วแผล็วลับหายไป บางตัวกินไปชิมไป หากบางตัวก็กินทิ้งกินขว้างก็มี รู้นะ ว่าแกล้งทำหล่นแล้วจะเอาอันใหม่ใช่ไหมล่ะ
แผล็วโผน
มาแบบ เงียบเชียบ เงียบกริบ มาหยิบ อาหาร ทานแจก จัดวาง ตั้งอยู่ จำแนก หว่างแยก ปางไม้ ชายโคน
เหยาะเหยาะ ย่องย่อง มองเมียง คอเอียง กลับหัว ห้อยโหน บัดเดี๋ยว แผ่วผละ กระโจน โยกโยน กะเทาะ เปาะชิม
ว่องไว ไม่มี คอยท่า อีกตัว ไต่มา หงิมหงิม เหมือนนัด ชุมนุม กรุ้มกริ่ม พออิ่ม อร่อย ประทัง
เจ้ามา ที่นี่ ที่หมาย ป่าวอด ป่าวาย สะพรั่ง เคยมาก เคยมี ที่ยัง เสาะหา บางครั้ง ไม่มี
ป่าแปลก ลมเปลี่ยน ปุบปับ มัวอับ อายอยู่ รู้นี่ มีใคร ใส่ใจ ไยดี มีแต่ ตายซี้ แน่ใจ
สาย 9 ธันวาคม 2545
..............................................................................
เที่ยงๆ ลมพัดโชยชื่น หนังตาปรือ ท้องอิ่มๆ นอนเล่นริมระเบียงเรือนพัก สอดส่ายสายตาดูแมกไม้ สดับฟังสรรพสำเนียงธรรมชาติรอบราย ถ้าบินได้ก็จะบินไปสดับสรรพเสียงสกุณาร่าเริงลม ฝ่าไปในโลกทพยสถานจินตกวี ดังแก้วสารพัดนึก พรักพริ้มใจนึกคิดถึงเรื่องราวของธรรมะข้อที่ว่าตัวกูของกู แล้วคิดเคลิบเคลิ้มจินตนาการล่องลอยไป
โบกบิน
เอนกายพักผ่อนนอนไขว้ขา
สายตาสอดส่ายว่ายฟ้าใส
แผ่กิ่งก้านออกเป็นดอกใบ
ลมไกวก็เป็นเช่นสายลม
มองฟากฟ้าสีครามอร่ามแอร่ม อยากไปแซมเป็นเมฆน้อยลอยผสม สกุณาร่าร้องก้องระงม อยากไปชมสกุณินด้วยยินดี
ณ บึงหนองคลองใสแอบไหลเอื่อย จักระเรื่อยไปเล่นลำดำผุดหนี แม้เจอะปีกปักษิณกินรี ก็หยุดที่ข้างขอบแล้วลอบมอง
อยากปิดหูสองหูดูใบ้บอด สิ้นตลอดเสียงยานยนต์บนฝั่งสอง ไม่ขาดสายขาดเสียงเยี่ยงลำพอง เหมือนจักต้องเป็นตายให้ได้ทัน
จึงอยากเสาะแสวงหาความสงบ เผื่อพานพบรังรวงสรวงสวรรค์ จักชื่นปาริชาติฉ่ำมากำนัล ในอ้อมขวัญแห่งโลกการโบกบิน
เที่ยง 9 ธันวาคม 2545
..............................................................................
บึงน้ำเคยชุ่มน้ำชื่นเย็นครั้งอดีตกาล
แมกไม้หยั่งรากลึกขนัดแน่น ค่อยๆหายจาก
เมื่อมนุษย์นำพาความเจริญเข้ามาข้องแวะ
วันเวลาและความเปลี่ยนแปลงไม่เอื้อให้ทุกสรรพสิ่งดำรงไว้ซึ่งความดั้งเดิมได้
มีแต่ต้องจัดแต่งรักษาบูรณาการไว้ให้มีสมดุล
โดยรบกวนความเป็นธรรมชาตินั้นให้น้อยที่สุด
เพื่อการดำรงอยู่ของสรรพสิ่งนั้นให้ได้ชื่นชม
ตราบนานเท่านาน
สระสร้าง
สระสร้างน้ำใสกระไอเย็น น้ำพุพุ่งกระเซ็นฟ่องฟองฝอย แมลงปอล้อคลื่นวะวอยวอย จิงโจ้น้อยเล่นน้ำตามอารมณ์
ผีเสื้อหยับปีกมาเว้าว่อน เงาซ้อนพริ้มเพราเป็นเงาร่ม โชยชายระบายสายลม พื้นพรมเย็นรื่นชื่นใจ
นั่งแนบแอบหินติณชาติ นึกสระอโนดาต วาดสมัย เรื่องราวที่เห็นและเป็นไป ยาวนานเท่าใดที่ดำรง
ใบไม้ร่วงลงตรงผิวน้ำ เรือนอ้ยเล่นลำอยู่ใหลหลง ภาพปรากฏชัดคือวัฏวง เราคงเวียนว่ายในสายธาร
สระสร้างน้ำใสกระไอเย็น น้ำพุพุ่งกระเซ็นมาผสาน โลกนี้เกิดดับมานับนาน เกิดการเปลี่ยนแปลงและแต่งเติม
บ่าย 9 ธันวาคม 2545
..............................................................................
เขาพุทธทองเป็นเนินเขาลูกขนาดย่อม
เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา ปางพระปฏิมาสงบนิ่งก็เห็นตั้งปรากฏอยู่
ท่ามกลางแมกไม้โปร่งสูง ลมพัดโชยชาย
และผืนทรายที่โอบโค้งโบส์ถกลางแจ้งแห่งนี้เป็นชั้นหลั่น
อาณาบริเวณแดดส่องลอดใบไม้ต้องผืนทราย
ก้าวเท้าที่เปลือยเปล่าลงย่างบนผืนทรายพลันรู้สึกสงบเย็น
ค่อยย่อก้มประณมกราบอธิษฐาน ก็บังเกิดศรัทธาและที่พำนักอันแท้จริงแห่งตน
ปางปฏิมา
แดดร้อนก็นิ่งยิ่งไฉน ลมไกวก็เฉยไม่เคยเห็น ฝนตกไม่ขานว่าซ่านเย็น เดือนเพ็ญส่องถึงไม่ซึ้งตาม
พระพักตร์ผินไปดังได้บอก เหมยหมอกเล่นไล้ไม่ไหวหวาม สงบนิ่งท่วงท่าสง่างาม ไม่ตามแฟชั่นอันทั้งปวง
เผยแผ่ธรรมจักรรัศมี ไม่ยึดทรามดีนรกสรวง ไม่ทักทายท้าไม่ถามทวง ไม่กลวงแก่นสารไม่บานบน
คราบไคร่ไต่บ้างสรรพางค์อยู่ ไม่ขัดไม่ถูไม่เพ้อบ่น ไม่ยอกไม่ย้อนไม่ร้อนรน ไม่ทนไม่ทุกข์เข็ญขุกใจ
เช่นฉะนี้ แลจะเป็นเช่นฉะนั้น จะคืนวันผันผ่านนานแค่ไหน คอยดับขันธ์ตามกาลผันผ่านไป สร้างขึ้นใหม่ก็จะเป็นเช่นดังเดิม
แต่มนุษย์นี้หนอน่าท้อแท้ คิดว่าแน่เพ้อเจ้อและเห่อเหิม ขอกราบองค์ปฏิมาจุณเจิม เป็นบุญเสริมที่ลูกใกล้กรายพระองค์
ย่ำค่ำ 9 ธันวาคม 2545