บทกวี
เรื่องสั้น/สีของเสื้อ/จูพเนจร
เรื่องสั้น จู พเนจร
สีของเสื้อ
ต่อราคาพอหอมปากหอมคอ จวนเจียนได้แล้ว แม่ค้าก็เข้าไปเอาเสื้ออีกตัวมาเสนอให้อีกตัว
“สวยนะตัวนี้ ร้อยยี่สิบ ...เอาไปร้อยนึงแล้วกัน” แม่ค้าพูดต่อ
“ขายแค่ร้อยยี่ ปกติร้อยแปดอยู่”
ผมยิ้มน้อยๆ เฉย แต่แวบนึงดูก็ถูกใจดี เอ๊ะราคาก็ไม่โหดเท่าไหร่ น่าจะพอซื้อได้ นึกชมแม่ค้า นึกขอบคุณแม่ค้าอยู่ในทีว่าเข้าใจเลือกออกมาให้ดู หรือไม่รู้อิเหน่อะไรแกก็ไม่รู้
“ไม่คับ เอ้ยไม่เล็กหรอก น้องใส่หนูใส่ได้พอดีแล้วแหละ คนขาวๆใส่ขึ้น”
“อ่า..............”
“อย่าต่อเลย เต็มที่แล้ว”
“สองตัวเท่าไหร่ ถ้าเอาสองตัว” ผมชักสนนราคาขึ้น
“สองตัวคิดไปร้อยหกแล้วกัน” แกคงเป็นคนติดตลกแน่เลย
“สองตัวร้อยยี่ ตัวนี้บอกห้าสิบแล้ว” ผมหมายถึงเสื้อกิ๊กก๊อกแต่น่าใส่ตัวแรก
“ตัวนี้เก้าสิบละกัน” ผมต่อจากที่แกให้ร้อยนึง
คนเราลงถ้าพอใจอะไรขึ้นมา ก็เป็นอันตกลง นี่หรือเปล่าที่มักพูดกันว่าเงินทองของนอกกาย
แต่ถ้าได้ถูกก็ดี ถูกเงินแถมถูกใจยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่แล้ว...
ทุรนทุราย ร่านร้อน กระฟัดกระเฟียด อยู่ภายใน แม้จะพยายามข่มใจอยู่ภายในห้องพัก หลังจากอาบน้ำเสร็จ
“เอ้ย...เอ้ยๆๆๆๆ” ผมอุทาน แล้วส่ายหัวส่ายหน้าท่ามกลางห้องสลัวๆ ผมเพ่งแล้วเพ่งอีก มันไม่ใช่สีนี้ ไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวนี้สีนี้
สีเทาๆ สีเขียวตุ่นๆ หรือสีฟ้าอ่อนๆนะ มันโทนนี้แหละแต่มันไม่ใช่สีนี้ ใสๆแบบนี้ ผมไม่ชอบเลือกที่มันสีฉูดฉาดแวววาวแบบนี้หรอก โธ่เว้ย แกหยิบสีผิดมาให้ผมแน่ตัวนี้ ตอนเอาไปใส่ถุงให้แน่เลย หรือไม่แกก็ต้องเปลี่ยน เพราะคงคิดว่ามันก็คงเหมือนๆกันนั่นแหละ
โทนสีทึมๆของสีเสื้อกับแสงไฟสลัวๆทำให้ผมไม่แน่ใจตัวเองนิดๆ แต่ไม่นึกตำหนิตัวเองที่ไม่ดูให้ดีเสียก่อน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นผมคงเกลียดแม่ค้านั้นที่สุดในโลก เกลียดสิ่งที่เป็นอย่างนั้น ความเกลียดความแค้นคับใจว่าทำไมแกไม่ดูให้ดีเสียก่อน หยิบใส่ถุงมาให้มั่วๆได้ไง
หรืออาจจะเกลียดมากกว่าที่แกตั้งใจเปลี่ยนกัน เพราะไอ้พวกนี้อะไรๆมันก็เอานั่นแหละ
ไม่ได้นึกเขกกะโหลกตัวเองว่าตัวนี้แหละที่เอ็งเลือกมากะมือ บ้าหรือเปล่า
คนเราอาจจะหลงๆลืมๆเซ่อๆมั่วๆกันได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ถึงกับอุทานตกใจ และคับแค้น ถอนใจ เหนื่อยหน่ายหมดอาลัยตายอยาก เซ็งๆๆๆ
พยายามบอกให้ตัวเองเชื่อว่าเออตัวนี้แหละ ใช่เราเซ่อไปเองมันก็ไม่สนิทใจ
เป็นวันเวลาที่ความรู้สึกมลายครืนลงต่อหน้าต่อตาเหมือนจะเย้ยเยาะกลั่นแกล้งซ้ำเติม ก็ช่องระหว่างความซังกะตายและความอับเอือดของเสื้อที่สวมมาแล้วทั้งวันและหลายวัน ขณะมีเสื้อตัวใหม่ในเวลาที่ต้องการพอดี กำลังกระชุ่มกระชวย
ขาข้างนึงก้าวออกไป ขาข้างนึงถูกกระตุกอย่างแรงภายในเวลาเดียวอันจวนเจียน และอับจนนี้ ไม่มีอะไรทีจะดีไปกว่าชะตากรรม
และชะตากรรมก็ผลักไสให้ไปทางใดทางนึง อยูที่นึงก็เต็มทน ในที่นึงก็เต็มกลืน นั่นคือความรู้สึกจากเสื้อตัวนั้นแน่นอน
มันถึงขนาดว่าให้เห็นเสื้ออีกตัวที่ดีใจที่ได้ซื้อมาน่าชังไม่น้อยไปกว่ากันอย่างรุนแรง ไม่อยากสวมอยากใส่มันขึ้นมาหนักกว่าตัวแรกเสียอีก
อย่างไรก็ตามคิดว่าการได้ใส่เสื้อใหม่แล้วออกไปข้างนอก ดีกว่าใส่เสื้อที่เหม็นอับเอือดที่ใส่มาแล้วหลายวัน แต่การใส่เสื้อตัวนั้นออกไปในค่ำคืนนั้นมันรู้สึกระคายเนื้อระคายตัวระคายใจไม่มีความสุขอยู่กะเนื้อกะตัวเลย หันมาเหลียวมองมันแล้วก็เซ็ง แล้วก็เซ็งสุดๆ
รุ่งเช้าผมลงรถแล้วตรงรี่ไปที่ตลาดย่านขายผ้าร้านนั้นทันที ปรากฏว่าเจ้าของร้านหยุดร้าน ผมแวะมาอีกในวันเดินทางกลับสองวันต่อมา ร้านปิดอีกวันเห็นว่าปิดยาวพรุ่งนี้คงมา แต่วันนี้ผมต้องเดินทางแล้ว เหมือนกับแกล้งกันเลยก็ไม่ปาน
แต่ความตั้งใจเปี่ยมผมนั้นฝังแน่น เจตจำนงแรงกล้า ผมฝากเสื้อตัวนั้นคืนให้กับร้านข้างๆ บอกว่าถ้ามีโอกาสแวะมาอีกเมื่อไหร่จะแวะมาเอา ซึ่งผมไม่อาจรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้มาที่นี่อีก อาจจะเป็นเดือนหรือหลายเดือนเป็นปี หรืออย่างไรก็ช่าง อย่างไรก็ตามผมไม่อยากเก็บเสื้อตัวนั้นไว้กับตัว ผมเกลียดมันเข้าไส้
จนกระทั่งบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็นเวลาสี่ห้าปีแล้ว
ความรู้สึกผมก็ยังเหมือนเดิม แต่สีเสื้อตัวนั้นมันคงเปลี่ยนไปนานแล้ว...กระมัง.
ธันวาคม /2545