บทกวี
เปิดซอง จู พเนจร
เปิดซอง
เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะไม่เปิด หะแรก ผมคิดเล่นๆว่าถ้าไม่เปิดล่ะ วกคิดไปถึงการทำบุญตามจิตคุ้นๆที่มักคิดอะไรเป็นสูตรสำเร็จ ใช้สำหรับกลบเกลื่อน และตัดตอน เมื่อมีความกระอักกระอ่วนใจอะไรบางอย่าง
แต่นี่คงไม่มีเหตุผลเพียงพอ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องกลบเกลื่อนหรือตัดตอน
คือ จริงๆแล้วผมก็ต้องเปิด สักครู่
......... ประเดี๋ยวผมก็ต้องเปิด แต่ระหว่างนี้ผมคิดว่าผมคิดอะไรเล่นๆเพลินๆไปพลาง
คิดอะไรเพลินๆนะครับ ไม่ได้คิดอะไร
........
เมื่อหลายเดือนก่อน ผมมาร่วมประชุมสัมมนาเกี่ยวกับเรื่องวรรณกรรมกับสันติวิธีในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สถาบันทักษิณคดี เกาะยอ แห่งนี้
น้องเค้าบอกว่าครั้งที่มาเป็นวิทยากร ครั้งก่อน ครั้งนั้น
เป็นวิทยากร ผมนึก นึกยังไม่ออกตอนนั้น ค่อยๆมานึกออก หลังจากน้องเค้ายื่นซองมาให้แล้วลุกจากไป
น้องผู้หญิงบอกว่าอาจารย์ถาให้เอามาให้ อาจารย์ถาก็คืออาจารย์สถาพร ศรีสัจจัง อดีตผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษาใหม่หมาด วันนี้
สงสัยน้องเค้าคงจำหน้าค่าตาผมได้หรือยังไงก็ไม่ทราบ บอกว่าน้องเค้า(อาจเป็นอีกคน)จำได้ว่าผม(คนนี้)มา จึงไปบอกกับอาจารย์ถา เพราะอาจารย์ถาคงบอกไว้แต่ครั้งนั้นว่าใครบ้างที่มาเป็นวิทยากรครั้งนั้นแล้วยังไม่ได้รับค่าตอบแทน
ผมไม่แน่ใจการจัดการตรงนั้นของเขา แต่ค่อนข้างจะเข้าใจว่าอาจารย์ถาคงจะบอกน้องๆเค้ามากกว่า เพราะเมื่อครู่ผมได้ทักทายปราศรัยกับอาจารย์ถาครู่หนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร น้องเค้าคนใดคนหนึ่งจำผมได้ (เพราะพวกเราก็พอคุ้นหน้าคุ้นตากัน แต่น้องๆเค้าเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ อาจจะใหม่ๆด้วยซ้ำไป จะจำใครต่อใครได้บ้าง โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นที่รู้จักอะไรมากนัก และเอาใจใส่จดจำ)ในเรื่องในกรณีอะไรบ้าง นับว่าเป็นอะไรที่ดีงาม
หรืออาจารย์ถาจำได้ว่าครั้งนั้น อาจารย์บอกผมให้มาอีกวันหนึ่งแล้วจะได้ให้น้องๆเค้าจัดการค่าเดินทางอะไรให้ วันที่ผมลากลับไปแล้วไม่ได้มีโอกาสมาอีกในวันรุ่งขึ้นอีกวัน
วันนั้นผมบอกอาจารย์ถาว่าจะพยายามมาถ้าไม่ติดอะไรจริงๆ ถ้ามาไม่ได้ยังไง จะได้ฝากน้องๆไว้กับพี่เลี้ยงคนอื่นใครสักคน
ใช่ ผมเป็นวิทยากรพี่เลี้ยงให้น้องๆ ผมรู้สึกว่าวันนั้นผมทำหน้าที่ของวิทยากรสอนการเขียนอะไรต่างๆให้น้องๆสองคนได้ค่อนข้างดี สำหรับความรู้สึกส่วนตังของผมเองคนเดียวไม่เกี่ยวกะใคร รวมทั้งอัธยาศัยต่างๆ ถือว่าสอบผ่าน ไม่ใช่จากการประเมินใดๆ
คงเป็นเรื่องของจังหวะอารมณ์มากกว่า
ผม(รักที่จะ)เป็นศิลปิน ไม่ใช่วิทยากร
เป็นวิทยากรพี่เลี้ยงที่คนระดับอ่านๆเขียนหนังสือได้บ้าง ใครๆก็พอทำได้กันทุกคน
ผมทำหน้าที่ได้ดี ก็คงไม่ต้องพิสูจน์อะไรกันอีก ว่าจะได้ผลดีหรือไม่อย่างไร นั่นเป็นสัจธรรมข้อหนึ่งที่ผมค้นพบ
ผมทำหน้าที่ได้ดี แต่เพียงวันเดียว
อีกวันผมติดธุระไม่อาจมาได้ ผมโทรมาฝากให้ช่วยดูน้องๆกับโอ อาจารย์อภิชาต จันทร์แดง
แล้วหลังจากนั้น เวลาก็ล่วงพ้นไป
ความคิด ชีวิตก็แตกกระจายกันออกไปแต่ละทิศทาง
ผมได้ติดตามข่าวคราวนิดหน่อย จำคืนวันเหล่านั้นไว้ในส่วนหนึ่งของบันทึกความทรงจำร้อยพันต่างๆนานา
ผมบอกกับอาจารย์ถาว่าไม่เป็นไรครับ อาจารย์ถาบอกขอบใจ...
หลังจากวันนั้นประมาณอาทิตย์หนึ่งผมก็คิดว่าผมพอจะเข้าใจระบบราชการที่กึ่งๆราชการอะไรแบบนี้อยู่ พวกเรามีอะไรก็ช่วยๆกันมากกว่า
แล้วหลังจากนั้น เวลาก็ล่วงพ้นไปดังกล่าว
..... กระทั่งวันนี้ ผมเองไม่ได้มีความสนใจในการสัมมนาทางวิชาการอะไรต่างๆมากนัก เพียงแต่อยากมาหรือต้องมาก็มาได้ สำหรับวันนี้พอดีว่าที่สถาบันทักษิณคดีศึกษามีงานสัมมนาวิชาการเรื่องเกี่ยวกับวรรณกรรมรอบลุ่มน้ำทะเลสาบกันสองวัน ซึ่งเห็นส่งหนังสือเชิญมาที่พี่เค้าที่ที่ทำงาน และก็ขึ้นไว้บนปฏิทินตารางงาน บอกว่าผมน่าจะเป็นคนได้ไปเผื่อมีอะไรๆเก็บมาใช้มาเขียนเป็นประโยชน์ได้
ลงท้าย ก่อนหน้างานสองสามวัน พอดียายผมหกล้มเข้าโรงพยาบาลต้องมีคนดูแลผมต้องอยู่เหย้าเฝ้าโยงพอดี เมื่อเวลาวันใกล้เข้ามา ตอนแรกก็ว่าจะไม่ได้มาแล้ว แต่ให้พอดีว่าวันนี้แม่หยุดงานมาเฝ้ากลางวัน และพอดีกับเพื่อนอีกคนสนใจจะมาฟังในช่วงที่เสวนาเรื่องเกี่ยวกับหนังตะลุงเป็นพิเศษ กอปรกับต้องเอาโป๊สเตอร์เกี่ยวกับงานรวมพลคนรักษ์ทะเลสาบที่พรรคพวกเรารับมาทำไปติด ผมก็เลยตัดสินใจมาเป็นเพื่อนเพื่อนเสียในคราวเดียวกัน ก็มากันแบบสบายๆมากกว่า เรามาถึงช่วงกำลังเข้าพักเบรกก่อนถึงช่วงที่ของการสัมมนาที่เราตั้งใจจะมาฟัง
มาแล้วก็ไม่มีใครมาก ก็ได้เจอกับอาจารย์ถา อาจารย์บอกว่ายังรับ(ช่วย)ราชการอยู่ ที่ลาออกคือออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ
คล้อยหลังจากที่ผมเดินเข้ามานั่งในห้องสัมมนา น้องเค้าก็เดินเอาซองเข้ามายื่นให้
ตอนแรกผมว่าจะเปิดดูทันที พอน้องเค้าเท้าความกลับไป บอกว่าอาจารย์ถาให้เอามาให้ ผมก็งงๆอยู่บ้างนิดหน่อย และอดแปลกใจไปไม่ได้ แล้วค่อยๆนึกถึงไป เสร็จแล้วก็พยายามบอกไปพลางเหมือนเมื่อครั้งที่บอกกับอาจารย์ถาไปว่าไม่เป็นไรไม่ต้องก็ได้ครับ
แต่ในเวลานาทีนั้นก็มีรอยยิ้มในดวงตา พยักพเยิด ไหนๆก็มาแล้ว ประวิง ผมยิ้ม น้องเค้ายิ้ม พยักหน้าแผ่วๆ แล้วผมก็ขอบคุณ งึมงำอะไรในลำคอนิดหน่อย
ซึ่งถ้าจะแง้มดูตอนนั้น แล้วยิ้มอีกครั้ง (เพราะบรรยากาศไม่เอื้ออำนวยให้พูดอะไรได้ดัง) ขอบคุณ และไม่อินังขังขอบกับจำนวนไม่ว่ามากน้อย แต่ผมก็ไม่ได้เปิด ถ้าเปิด ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะบอกกล่าวว่าขอเอาจำนวนเพียงเท่านั้นเท่านี้พอ คืน หรือว่าทำไม แต่ผมไม่ได้เปิดเพียงแต่ถือไว้พลางวิสาสะ เพียงพยักหน้าขอบคุณแล้วค่อยๆเอาใส่ในกระเป๋าสะพายเก็บไว้
...... การกระทำอะไรบางอย่างสามารถสะท้อนอะไรได้ สิ่งที่สะท้อนออกมาจากคนเราจะผ่านการกระทำบางอย่าง รวมทั้งอากัปกิริยา ไม่อาจเหมารวม ว่าเป็นหรือไม่เป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นบุคลิก นิดๆหน่อยๆ บางคนเก็บงำเอาไว้ บางเรื่อง บางโอกาส เปิดเผย
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งดีงาม
เลิกสัมมนาบ่ายโมง เก็บสมุดใส่กระเป๋า ผมแวะซื้อหนังสือรวมเรื่องสั้นและบทกวีวันวัยที่ผ่านเลยของอาจารย์จรูญ หยูทอง กับน้องๆนักศึกษาเค้าเล่มหนึ่ง ขึ้นไปทานข้าวกันข้างบน แล้วแยกย้ายเดินกลับออกมา หลังจากนั้นผมบอกกับเพื่อนพลางเปิดออกดู
บางสิ่งทำให้ถึงกับหัวใจพองโต อึ้ง และเปล่งออกมา...