บทกวี
บทกวี ละเลียดลมพร่างพรมพลิ้ว
ลมละเอียดใบไม้ละไล่หยอก ใบก็บอกประมาณการเคลื่อนไหว ใบน้ำตาลปลดระวางก็คว้างใบ ยอดใหม่ใหม่ผลิตูมชอุ่มคอย
หมอกเหมยเผยน้ำใจให้เช้าตรู่
น้ำค้างพรูสู้แดดก่อนหลับผล็อย
มณีทุ่งทอรุ้งใสวับไหวลอย
ช่วงเวลาน้อยน้อยแต่นิรันดร์
พอแดดยิ้มก็เห็นใยตาข่ายยื่น
ตลอดคืนมีอะไรติดให้ฉัน
แล้วแมงมุมก็เห็นหมองแมลงมัน
ตาข่ายอันอลังการก็พล่านใย
วิหคเหิรเพลินเพียงเสียงสวรรค์
สลัดเหงาเย้ากันกับวันใหม่
เย้ยกรงทองห้องขังกลางกรุงไกร
ชมชื่นในเสรี...ที่พนา
ลมเช้าเช้า เย้าหยอกมวลดอกไม้
จิก จาน ไหว เอิบอิ่ม...ยิ้มร่า
มวลแมลงแข่งสีหลากลีลา
เอื้อภาษารักกันวันโลกงาม
๒
พอแดดสายร้ายแรงร้อนแสงสูรย์
สายลมร่มอากูลกูลเกื้อขาม
ร่มแมกไม้ร่มเย็นก็เย็นตาม
สิ่งเคยทรามงามง่ายสบายบาน
เด็กชาย ควายวัว ก็ว่องไว
ร่มกวักไกวให้สู่อยู่สนาน
ห่อข้าวก็เอาออกบอกกันทาน
เพื่อนนอนอานเคี้ยวเอื้องเยื้องไม่ไกล
ผ้าขาวม้าขึงไว้กิ่งไม้มั่น
ซุกร่างอันเหนื่อยอ่อนผ่อนเอนไหว
ลมก็โชยความเย็นเหมือนเป็นใจ
เด็กก็ได้งีบหลับกับทุ่งนา
ลมสายสาย บ่ายคล้อย มิน้อยจิต
คอยจุมพิตปลอบโยนเหล่าคนกล้า
กล้ายืนหยัดชัดเจนเป็นมรรคา
มั่นเยียวยาท้องถิ่นแผ่นดินธรรม
๓
พอแดดรอนอ่อนแสงสุริยา
นาฏกรรมอำลาเวลาค่ำ
ฝูงวัวควายเด็กชายหญิงทิ้งลำนำ
ภาพซ้ำซ้ำเริ่มเคลื่อนคล้อย...ค่อยลบเลือน
ทุ่งก็โล่งโปร่งเปล่าไร้เงาร่าง
เหงาอ้างว้างพรางค่ำด้วยจำเคลื่อน
ไว้พรุ่งนี้จะตั้งหน้ากลับมาเยือน
มาเป็นเพื่อนมาเป็นเราให้เหงาคลาย
ลมเย็นเย็นสนธยาเวลาญาติ
ทุ่งพิลาสก็ขาดผู้กู่ความหมาย
บ้านครอบครัวอ้างรักเอ่ยทักทาย
จึงชีวิตเคลื่อนย้ายคล้ายวงเวียน
ได้ชิมรสโอสถทิพย์อาทรทัศน์
ได้ร้อยรัดสายใยให้เสถียร
ได้อบอุ่นสูงสุดจุดแสงเทียน
ได้คิดเขียนระบอบแห่งครอบครัว
๔
แล้วสีเทาก็ทาบทับเอากับทุ่ง
ทุกโค้งคุ้งเคลือบเคล้าเงาสลัว
ดาวบนฟ้าทำหน้าที่คลี่หม่นมัว
เดือนยังกลัวไม่กล้าย่างเป็นข้างแรม
เงาตะคุ่มซุ่มงันนั้นมีเสียง
จิ้งหรีดเรียงร้องอาลัยไฟแอร่ม
ซึ่งทอดทอจากหมู่บ้านนานจะแย้ม
เพื่อแต่งแต้มทุ่งนายามราตรี
แต่บางค่ำบ้านไม่เคลื่อนก็เหมือนขื่น
ทุ่งกลางคืนอาจเหว่ว้าน้ำตาปรี่
มหรสพกบเขียด...ขับวลี
มหกรรมดนตรีกล่อมทุ่งนา
ลมยะเยือกเกลือกค่ำละล่ำลึก
เพรียกไพรพฤกษ์ดึกดื่นให้คืนค่า
หนาวน้ำค้างเยี่ยมเยือนเหมือนทุกครา
ลมจากป่ามาทุ่งก็ทักทาย
ลมก็ทอดทอรักสมัครสมัย
ต่อสายใย คืน-วัน ให้ผันผาย
คนที่เย็นโดยลมชื่นชมชาย
กลับเหนื่อยหน่าย...อย่างไรก็ไม่รู้ ฯ
ปรัชญ์ วลีพร