บทกวี
ปรัชญานิพนธ์ ฉบับปฏิบัติการณ์
เกณฑ์กวีมีมาร่วมห้าร้อย กวางตัวน้อย เล็มหญ้า เมินไม่เห็น
นักปราชญ์ ท้า กาพย์กลอน เช้าถึงเย็น
จันทร์ลอยเด่น ร่วมแหงนหน้า
มองฟ้า.......หาแผ่นดิน (งานเลี้ยงในสวนดอกไม้)
หากน้ำทะเลจะเริงระบำ มันก็คงเป็นด้วยเสียงใบไม้ที่พลิ้วไหว
หากพระจันทร์จะยิ้มให้ดวงดาว ก็คงเพียงเพื่อปลุกดวงอาทิตย์ ให้ขับสายรุ้ง
หากสายน้ำ จะสะท้อน ภาพใด นอกเหนือ จากเธอและฉัน ก็คงเป็นเพราะ
เสียงนกตัวน้อยๆ ที่ร้องเพลงประสานผ่านร่มเงาไม้
หากในความ นุ่มนวล เช่นนี้
ไมตรี นิรันดร์ ไม่อาจ หลอมรวม
ห้วงกาลเวลา มิอาจ หวนคำนึง
การหลุดพ้นจากพันธนาการทั้งปวงเพียงนิดเดียว
ล้วนขับออกมาจากใจที่คลุ้มคลั่งโดยแท้
สายน้ำ หมื่นสาย ที่รินไหล
สีสรร รสชาติ ไม่แตกต่างกัน
ในเขื่อนของ เวทนา
ที่ไหลรวมสู่ มหาสมุดของจิตใจ
ฝนตก น้ำเจิ่งนอง
แอ่งดิน สะท้อน แผ่นฟ้า
ฝนยิ่งตก ยิ่งเพิ่มแอ่งดิน
เม็ดฝนตก โดนน้ำในแอ่งดิน เป็นเสียง ป่ แปะ
สะท้อน ก้องไป ในหุบเขา
แสงจันทร์ กระทบ เงาในผืนน้ำ
ฉันเห็น กบ ร้องไห้
น้ำตา ละลายไปกับผืนดิน
ที่สะท้อน เงาพระจันทร์
แสงจันทร์ กระทบ เงาในผืนน้ำ
ฉันปล่อยใจ ชิมน้ำ แต่งกลอน
ช่างเป็นความรู้สึก ที่ล้ำลึก
รำพึง สู่ ภาวะ .....เช่นนั้นเอง
แสงจันทร์ กระทบ เงาในผืนน้ำ
ปล่อยใจ ล่องลอย ไปกับสายลม
ความว่าง อาจทำให้ หวั่นไหว
รู้สึกขบขัน เงาจันทร์ที่กระเพื่อม
ความว้าวุ่น ขับให้ใจ เข้าสู่ ความว่าง
อีกกี่ครั้ง ที่ระคน กับใจนี้
เช่นนั้นเอง.... ที่ไม่คืนกลับ
เพียงแสงจันทร์ กระทบ เงาในผืนน้ำ
บัณฑิต
ขวดน้ำ คนโท
กองไฟ
ต้นไม้
หมอก และ ควัน
ความสดชื่น ซาบซ่าน
รายล้อมด้วย บุผชาติ
ริมหน้าผาเทา หนาวเหน็บ ดนตรีระรัว
เป็นสื่อสัญญาณ ถึงรอบปีใหม่
ฉันเดินเล่น พักผ่อน ตอนเช้า
สดชื่น กับป่า อันอุดม
ใบไม้เขียว แดง ขาวล้อลิ่วลม
ไห้ หวล คำนึง ถืง เมืองหลวง
ให้คุณค่า ในความต่าง
ให้คุณในความต่าง
ฉันจะรู้อะไร......หนอ
จันทร์รู้.....นกไม่รู้
ฉันจะรู้อะไร......หนอ
นกรู้......ฟ้าไม่รู้
ฉันจะรู้..อะไร...หนอ
ฝนตกยามค่ำ
ตะเกียง สลัว ตามลม
เย้ายวน แมลงเม่า
เมื่อความว่างเปล่า ถึงที่สุด
ความงาม ทอความหมาย ต่อสรรพสิ่ง
ด้วย จิ้งจก ตัวน้อยๆ บรรเลงเพลงชีวิต
ผู้คน สัมผัส ฉัน ด้วยสิ่งนี้
ฝนตกพรำๆ
ฉันยังคงอยู่ นอกกระท่อม
นกบินกลับรัง
ปลาระเริง เล่น เหนือน้ำ
กบแข่งกันร้อง เสียงหลง
ใบไม้ ไหวไปตาม ละอองฝน
ก้อนเมฆ เริ่ม กระจายไป
ฟ้าเริ่ม ทอแสง พลัดพราย
ทั้งหมด ซึมซับ รวมมาในใจฉัน
ดังว่า ดื่มด่ำ กับการคงอยู่นั้น
ถึงที่สุด คง พรรณนา ได้ด้วยใจ
พลบค่ำ เท่านั้น ที่จะนำพา ฉันคืนกลับ
พระอาทิตย์ ไม่ให้แสงใดๆ ในยามค่ำ
ณ.กระท่อมแห่งนี้
ความว่าง และมืด มีคุณค่า เพียงรูปลักษณ์
เครื่องประดับ ตบแต่งในห้อง ฉายคุณค่า ทางความรู้สึก
หายแล้วคืนกลับ หายแล้วคืนกลับ
จันทร์ ข้างแรม ส่องไสว
ป่างิ้ว ให้ความหมาย ต่อดวงดาว
เมฆลอยตัวช้าๆ
บ้างลาไป บ้างบังเงา
ผ้าทอ ดิ้นทอง ขับลาย
สะท้อน กับ แสงจันทร์
ให้คงอยู่
ให้พึ่งพิง
ให้สัมผัส
หลอมรวม อยู่ใน ละอองน้ำค้าง
(สัมผัส)
ฟ้าให้ ฉันทลักษณ์ ลิขิต
ดินให้ กลิ่นอาย ละออง
ราชาคุ้มครอง สรรพสิ่ง
สรรพสิ่ง ให้ความ อุดม
ความอุดม เหนือฟ้า
นำพาใจ ฉัน ให้ล่องลอย
อิ่มเอม ไปด้วย พรรณนา
ธรรมชาติ ใยจะคืนกลับ
ก็ด้วย...สัมผัส...ในสิ่งนี้
แก้วน้ำ ขับเหลือง เลื่อมลาย เบญจรงค์
คุณค่า ของ ดิน ไฟ เคลือบ
ความสมบูรณ์ ตามวัฎจักร
กลับสู่ธรรมชาติ ภาวะเดิม
ไฟ และเคลือบ เลือนละลาย
ให้ สิ้นสลาย ตามธรรมชาติ
เพียง ดิน เดิมแท้
การคงอยู่ และการรักษา
มีความหมาย สืบทอด ยาวนาน
แสดงคุณค่า กว่าการรินน้ำ
ไม่พร่อง ไม่ล้น ไม่แปรเปลี่ยน
แม้ได้รสชาติ
ก็เพียง รูปลักษณ์
ขับเหลือง เลื่อมลาย เบญจรงค์
(รางวัลชีวิต)
ดิน ให้ กลิ่นอาย เดิมๆ
ให้คุณค่า ไม่สิ้นสุด
ฟ้าให้ความสมบูรณ์
บ้างเต็ม บ้างพร่อง
ดิน สะท้อน รูปลักษณ์
แสดงออก ถึงความเต็มล้น
การใส่ปุ๋ย ในนาใหญ่
ข้าวใช่จะเจริญเสมอกัน
น้ำมิอาจ กำหนด
ได้แต่ ไหล ตามร่องคู
ยุ้งฉางว่างเปล่า
แสงแดด สว่างไสว
เช้าวันใหม่ ของผู้ป่วย
การได้ รับ สัมผัสนี้
คือ รางวัลชีวิต
ฝนตกเป็นเม็ด ผสาน ละอองปลาย
บ้างตกลงพี้น บ้างกระทบยอดไม้
บ้าง ละลาย หายไปในลำธาร
หลอมรวมสู่มหาสมุทร
มหกรรมของการเดินทาง
ความหมายในการหล่อเลี้ยง
มิตรภาพไร้พรมแดน
ทั้งหมด ย่อมเกิดขึ้นได้ เพียงฝนตก
กลไกอันซับซ้อนใดๆของจิตใจมนุษย์
ย่อมโลดแล่นอยู่ในวิถีเฉพาะของแต่ละจริต
และประชุมธาตุต่างๆที่จิตใจเขายึดถืออยู่
ศาสดา ผู้ยิ่งใหญ่ ตรัสว่า
สังขาร เกิดขึ้นจากอวิชชา
ถ้าอวิชชาคือสรรพสิ่ง
สรรพสิ่งก็มีแค่สังขารสัมผัสเท่านั้น
และมันก็เพิ่มพูนขึ้นด้วยอายตนะที่สมบูรณ์ขึ้น
อันที่ซึ่งสังขารมนุษย์ซึมซับ ได้ทั้งมวลสรรพ
(กลอนเต๋าเพิ่มเติม ของ เกาปาหลง)
ข้าดื่มด่ำกับการทำสมาธิบนภูเขาสูง(สวมหมวกสูง)
ดูเหมือนเวลาจะถอยหลัง
สนเขียวฉายเงา
เมฆขาวคล้อยเคลื่อน
สัตว์กกลูกในที่ซ่อน
นกทำรังบนไม้สูง
ส่ำสัตว์รู้วิธียังชีพ
ไฉนมนุษย์จึงไม่รู้
พักในถ้ำ ดื่มน้ำพุ
จิตใจปลอดโปร่ง(คริสต์)
ข้าดื่มด่ำกับการทำสมาธิที่ริมน้ำ(นิพพาน)
ปลดเปลื้องความกังวลทั้งหลายในโลกนี้
มันผ่านพ้นไปและไม่มีวันหวนกลับคืน
มีแต่กวีเช่นข้าเท่านั้นที่สังเกตุพบ
น้ำเต็มไปด้วยจอกแหน
ดอกไม้ป่าบานเต็มที่
ปลาโผเหนือน้ำ เป็ดลอยตัวนิ่ง
ราวหินในน้ำ
ข้าเองก็สงบด้วยเช่นกัน(เต๋า)
ข้าดื่มด่ำกับการทำสมาธิท่ามกลางดอกไม้(นักกวี)
มองผ่านพวกมันไปสู่กลางฟ้ากว้าง
แสงชวนพิศวงแยกเป็นหลายสี
พระจันทร์เงินขับเงา
ผีเสื้อเริงระบำ
นกขานเสียงเบิกบาน
ความทะเยอทะยาน ถูกลืมไปสิ้น
ไม่ต้องการค้นหาความสุขสูงสุด
ถ้าท่านมีเหล้า จงดื่ม
รู้สึกล้ำลึกในยามถือจอก(อิสลาม)
ข้าดื่มด่ำกับการทำสมาธิใต้ต้นไม้
รู้สึกลอยตัวขึ้นสูงทั้งวัน
บางครั้งถูกต้นเฟอร์เมียน่า
บางครั้งถูกต้นสน
จิตของข้ากระจ่างดุจคันฉ่อง
ไม่วิตกกังวล ไม่สะท้อนสิ่งใด
โลกเขียวด้วยใบไม้(ความรู้) (ใบไม้ในกำมือ)
ราวม่านหยกแขวนที่ผาเทา
การดำรงอยู่ก็ดีพอแล้ว
ความรู้สึกนี้ไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดได้
เต๋า พุทธ คริสต์ อิสลาม ขงจื๊อ
ขอเพิ่มขงจื๊อแบบเต๋าอีกบทครับเพราะเห็นว่าเกื้อกูลถ้อยทีถ้อยอาศัยกันบท
เราได้รับรู้ถึงกลไกของธรรมชาติถึงการหักล้างด้วยธาตุไฟ
ทั้งจากวิชาจิตวิทยาและวิทยาศาสตร์ จากจิตใจและในสรรพสิ่ง
เนื่องด้วยอวิชชาใดๆก็ตาม ณ.ห้องจักรวาลอันยะเยือกของเรา
ณ.สถานที่ แห่งการหักล้างอันมหึมา
ซึ่งหลบเร้นด้วยระยะทางหรือกลไกอันซับซ้อนทางมิติ
ที่รองรับวิถีชีวิตนอกมรรคา ในห้วงอนันตจักรวาลนั้น
ได้ปรากฎ มาช้านาน แล้ว อยู่ในคัมภีร์ของทุกศาสนา
เรียกขานสอดคล้องกันถึง สถานที่นั้นว่า .....นรก....