นานาทัศนะ
จดหมายถึงพี่"หนก"
"จู พี่กนกพงศ์ ไปสวรรค์แล้ว เป็นไข้หวัดใหญ่น้ำท่วมปอด" ข้อความจากเพื่อนมิตรวรรณกรรม"ขนำจันทร์"ส่งมาถึงผมช่วงบ่ายของวันนี้(13กพ.49) ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ร้องอุทานขึ้นพร้อมกับคำถามเป็นไปได้ยังไง เป็นไปได้หรือนี่
"พี่กนกพงศ์ไปสวรรค์แล้ว" ข้อความนี้ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรอีก ความโศกาอาดูรพลันโถมทับ ยากจะบอกความรู้สึกที่เกิดขณะนั้นได้..โธ่เอ๋ยพี่ โธ่เอ๋ยพี่ นี่มันคือเรื่องจริงหรือนี่ มันเป็นไปได้หรือนี่
ก็ผมเพิ่งส่งที่อยู่ของพี่ไปให้ขนำจันทร์ แล้วโทรคุยกะแกเมื่อ 2-3 วันก่อนนี้เอง คุยกันเรื่องเรื่องสั้นที่จะส่งไปให้พี่
เราหลายคนค่อนข้างตั้งใจกันสูง เมื่อทราบข่าวว่าพี่จะออกนิตยสารเรื่องสั้น คล้ายๆ
ช่อการะเกด เพื่อสร้างความคึกคักเคลื่อนไหวให้กับวงการอ่านเขียนเล็กๆ ของเรา
ขนาดผมเองไม่เคยเขียนเรื่องสั้นเป็นเรื่องเป็นราวกะเขา ก็อุตส่าห์ทำตัวเป็นตัวตั้งตัวตี
บอกข่าว คะยั้นคะยอเพื่อนมิตรทุกๆ คนที่รู้จักว่าเล่ม 2 กำลังคอยต้นฉบับอยู่ ตอนนี้ได้ครึ่งเล่มแล้ว โดยเฉพาะเรานักเขียนนามใหม่ๆ ที่กำลังต้วมเตี้ยมก้าวสู่เส้นทางสายนี้ ไม่ว่าจะเป็น จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์,สายัณ เฉมเระ,ธารเมฆ,หมาฝัน,ขนำจันทร์,พันธ์ป่า ณ แดนสรวง ฯลฯ
จรรยา อำนาจพันธ์พงศ์ เป็นคนบอกข่าวและแกก็ส่งเรื่องสั้นไปให้พี่อ่านแล้ว รวมทั้งเรื่องของบังโสด-รัตนชัย มานะบุตร และได้ข่าวว่ากวีหนุ่มอย่าง วิสุทธิ์ ขาวเนียม และเพื่อนพ้องวรรณกรรมทางฝั่งอันดามันรุ่นใหม่ๆ หลายนามก็กำลังขะมักเขม้นกับข่าวคราวเล็กๆ อันแอบกระเพื่อมจิตใจส่วนลึกที่เงียบเหงาและเต้นเร่าของเราให้คึกคักไหวเคลื่อนตาม
ผมกับจรรยาคุยกันเรื่องนี้ว่าอย่างน้อยการคัดสรรของพี่หนกคงช่วยเคี่ยวกรำอะไรให้เราบ้างหรอก จะผ่านไม่ผ่านนั่นอีกเรื่อง และถ้ามีนักเขียนนามใหม่ๆสัก3-4คนผ่านเกิดก็คงสร้างสีสันอะไรใหม่ให้กับวงการบ้าง และคิดว่าพี่หนกเองก็คงต้องการเห็นสิ่งนี้ด้วย
แต่สำหรับวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างดับวูบลง.. ป่านนี้จรรยา คงทราบข่าวอันน่าเศร้าสลดหดหู่นี้แล้ว คงไม่ต้องบอกนะว่าจรรยารักและชื่นชมพี่เพียงใด ผมยังไม่รู้เลยว่าเราจะพูดคุยกันยังไงกับเรื่องนี้ของพี่ พี่คือต้นแบบและนักเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจให้แกก้าวมาสู่เส้นทางสายนี้ก็ว่าได้ จนกระทั่งนำตัวไปรู้จักผูกพันกับพี่ และพูดถึงพี่อยู่บ่อยๆ เสมอๆ หลังสุดที่ผมไปสะเดา อันมีผม,จรรยา,บังโสด,ซี ซึ่งเราคิดจะตั้งกลุ่มวรรณกรรมกันเล่นๆ สนุกชื่อว่ากลุ่ม"หัวมันหมก"ขึ้น เพราะทุกครานอกจากเราจะล้อมวงก่อไฟต้มน้ำกินกาแฟและต้มถั่วเขียวกินกันประจำที่บ้านบังแล้ว วันดีคืนดีเราก็จะหมกหัวมันกินกันแล้วนั่งพูดคุยกันจนดึกดื่นคืนค่อนเสมอ เรายังคุยกันถึงเรื่องจะถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนพี่และไปกางเต๊นท์พักแรมกันที่เขาหลวงในเร็ววันนี้เลย
ยิ่งฟังจรรยาเล่าถึงพูดถึงพี่ ยิ่งอยากได้อยู่ล้อมวงร่วมสนทนาจิบกาแฟรอบกองไฟ ฟังเรื่องราวสนุกสนานเฮฮา มุขปาฐะจากพี่ "หลกนิอยู่กับพี่หนก แกมีแต่เรื่องเล่าสนุกสนานให้ฟังกันไม่เบื่อ หลายคนที่ชื่นชมผลงานของแก อาจผิดคาดไปถนัดถ้าได้มาเจอตัวจริง แกจะไม่คุยเลยนะเรื่องวรรณกรรมอะไรอย่างเราคุยกันนี่ แต่แกจะมีเรื่องหลกๆ มาคุยกัน..หลกนิพี่หนก" ถ้อยคำทำนองนี้จะออกจากปากจรรยาอยู่เสมอๆ เมื่อพูดถึงพี่ "แต่ถ้าแกพูดเรื่องวรรณกรรมนะ เรื่องก็น่าฟัง แกจะชี้ให้เห็นอย่างนี้ๆ ชัดเจนกระจ่างมีสาระ เอาจริงเอาจังไปเลย และก็จริงของแก" นั่นยิ่งทำให้ผมนึกไปถึงวันที่จะมีโอกาสได้ไปนั่งล้อมวงสนทนากันที่นั่น
พี่จะจำผมได้ไหม ผมเคยเจอะกับพี่ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่บู๊ทบ้านหนังสืองานสัปดาห์หนังสือสมัยจัดที่คุรุสภาฯ ช่วงที่พี่ได้ซีไรต์จาก"แผ่นดินอื่น"ไม่นาน ท่านั่งกับมาดอันดูผึ่งผายตอนที่พี่นั่งอ่านนิตยสารฉบับหนึ่งอยู่แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มเนือยๆ พร้อมๆกับลุกยืนขึ้นบิดตัวน้อยๆเหมือนสลัดทิ้งความเหนื่อยเหน็ดบางอย่างทิ้งไปก่อนที่ผมจะทักทายสวัสดีกับพี่นั้นยังติดตรึงอยู่ในห้วงทรงจำผมไม่เคยลืม อีกครั้งหนึ่งตอนพี่ไปเสวนาที่ มอ.ปัตตานีในฐานะศิษย์เก่า หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งงานและเขียนจดหมายถึงพี่ในฐานะคนอ่านคนริเขียนหนังสือคนหนึ่งสืบมา
หลังจากพี่ตอบจดหมายมาถึงจรรยาเรื่องส่งเรื่องสั้นไปให้ว่าไม่ต้องเกร็ง มีเรื่องที่คิดว่าพอใจแล้วก็ส่งมาได้เลย จะช่วยดูให้ พร้อมคำแนะนำและกำลังใจแล้ว จรรยายก็ฝากข่าวไปถึงพี่ทางจดหมายฉบับล่าสุด และหันมาพูดกับผมว่าแกบอกไว้แล้วว่า ระวังไว้ให้ดีนะพี่หนก-จู พเนจร กำลังส่งเรื่องสั้นไปให้พี่ด้วย(ใครวะพี่คงนึก-ฮา) ผมยังนึกถึงความรู้สึกของตัวเองที่หัวเราะออกมาด้วยความตื้นตันในตอนนั้นได้อยู่เลย..
ผมไม่ได้รู้จักชิดเชื้อกับพี่เป็นการส่วนตัว แต่กลับรู้สึกรักนับถือและผูกพันอยู่ล้ำลึกเสมอมา อาจเป็นด้วยบุคลิกและความมาดมั่นบางอย่างทำให้พี่มีเสน่ห์เป็นที่รักและขวัญใจของพวกเราอยู่ลึกๆ
จดหมายฉบับหนึ่งที่พี่เขียนมาถึงผมเป็นการส่วนตัว เมื่อครั้งที่พี่ทำนิตยสารไรเตอร์ ซึ่งตอนนั้นผมส่งงานไปให้พี่พิจารณาหลายชิ้นทั้งบทความทั้งบทกวี ไปรษณียบัตรตอบกลับมาพร้อมคำแนะนำและกำลังใจให้เสมอ ผมยังเก็บมันไว้อย่างดี เช่นเดียวกับจดหมายซองสีน้ำตาลฉบับนั้น ถ้อยคำที่พี่ว่า "บทกวีคือดอกไม้ของโลก และกวีคือจิตใจของมนุษย์ผู้งดงาม"นั้นยังตราตรึงอยู่ในใจของผมเสมอจนกระทั่งวันนี้
ตอนนั้นตามอ่านคอลัมน์"จากหุบเขาฝนโปรยไพร" แล้วขำกลิ้งกับตอนหนึ่งหัวเราะจนตัวโยกตัวโคลงอยู่นานทีเดียว ก่อนที่จะได้จรดปากกาไปหาพี่ และพี่ก็ได้ตอบจดหมายนั้นมาถึงผม ถ้อยความอีกตอนหนึ่งที่ผมประทับใจว่า"ผมให้ความสำคัญและเปิดกว้างสุดเหยียดเสมอสำหรับคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อ่าน โดยเฉพาะผู้อ่านที่เป็นคนอ่านคนเขียนหนังสือด้วยกัน"
มีบรรณาธิการไม่กี่คนหรอกในยุคสมัยนี้ที่จะมีโอกาสลงมาคลุกคลีตีโมงทำหน้าที่บรรณาธิการอย่างเอาจริงเอาจัง และเอาใจใส่กับนักเขียนหนุ่มสาวผู้กำลังดุ่มเดินไปบนเส้นทางสายนี้อย่างไม่ลดละ และพี่ก็ได้ทำหน้าที่อย่างสมภาคภูมิแล้วแม้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
เช่นเดียวกับนักเขียนที่มุ่งมั่นทำงานหนักนั้นมีมาก และเป็นของธรรมดา หากแต่จะ
หานักเขียนที่ชีวิตทั้งชีวิตเขากล้าอุทิศให้แล้วซึ่งงานเขียน สรรค์สร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ จนเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการนั้นมีน้อยนัก และพี่เป็นคนหนึ่งในจำนวนน้อยนั้น
ผู้ซึ่งเป็นนักเขียนหนุ่มผู้กำลังก้าวมั่นก้าวไกลเป็นความหวังของวงวรรณกรรมบ้านเราอีกคนที่น่าภาคภูมิ
ตอนที่ได้ข่าวว่าพี่กำลังทำนิตยสารเรื่องสั้นขึ้นมานั้น มันเสมือนมีอะไรอีกอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตวรรณกรรมบ้านเรามันมีสีสันครึกครื้นขึ้นมา
แต่แล้ว มิตรภาพ-ความหวัง-กำลังใจ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ดูเหมือนจะดับวูบลงในพริบตา อย่างที่ไม่มีใครคิดคำนึง เมื่อข้อความอันแสนจะเศร้าสลดปรากฏขึ้นเมื่อบ่ายวันนี้เอง
พี่ครับ,เรื่องสั้น-ขนาดยาวของผมแล้วเสร็จเมื่อไรจะได้ส่งไปให้พี่อ่านนะครับพี่..
ด้วยรักและรำลึกถึง
จู พเนจร
13 กุมภาพันธ์ 4549