นานาทัศนะ
จากแผ่นดินนี้สู่แผ่นดินอื่นฯ
จากแผ่นดินนี้สู่แผ่นดินอื่น ของนักเขียนร่วมสมัย-กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นับจากวันที่พี่จากไปถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่า ๑ ปีแล้ว เหมือนไม่นานเลยกับวันเวลาที่ล่วงพาร่างของพี่ไปสู่แผ่นดินอื่น ณ ที่แห่งนั้นพี่มีความสุขดีไหม?... ผมหยิบหนังสือเล่มแรกของพี่ขึ้นมาอ่านด้วยความตั้งใจ มากกว่าความบังเอิญที่บังเกิดคิดนึกได้ว่า พี่ได้จากไปกว่า ๑ ปีแล้ว เพราะเหตุใดหนอที่ทำให้ผมคิดได้เช่นนั้น อาจเป็นด้วยถ้อยคำอักษรที่บรรจงผ่านปลายนิ้วสัมผัสแป้นพิมพ์ดีดของพี่นั่นเอง เรื่องราวต่าง ๆ ของพี่นั้นทำให้ผมเข้าใจถึงชีวิตและวิญญาณในความเป็นนักเขียน ของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีความตั้งใจและปรารถนาที่จะรับใช้ความคิดของตน และสิ่งนี้กระมังที่ทำให้ผมมีความรู้สึกผูกพันกับพี่ แม้ว่าจะไม่เคยรู้จักและพบตัวเป็น ๆ ของพี่เลยสักเพียงครั้ง คงมีเพียงผลงานของพี่เท่านั้นที่เป็นสายใยความสัมพันธ์ผูกมัดความรู้สึกดังกล่าว เป็นความรู้สึกเคารพและนับถืออยู่ในก้นบึ้งแห่งจิตใจ ก็อย่างพี่เคยกล่าวไงเล่าว่า งานเขียนนั้นสะท้อนตัวตนอันแท้จริงของนักเขียน ในเมื่อพี่กล่าวเช่นนั้นก็ย่อมหมายถึงได้ว่า ความคิดต่าง ๆ ที่ปรากฏโลดแล่นอยู่ในงานแต่ละเรื่องนั้นได้กลั่นกรองมาจากความคิดนึกของพี่ ฉะนั้นแล้วจึงไม่จำเป็นใช่ไหมครับว่าเราจะต้องพบตัวเป็น ๆ กันสักครั้ง ในเมื่อผมสามารถรักและเคารพนับถือพี่ได้จากงานเขียนของพี่ สิ่งที่พี่ได้กล่าวนั้นมิใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งจะกระทำได้ง่าย ๆ... กับคนบางคนที่เราพบหน้า พูดคุยกันอยู่ทุกวันก็ใช่ว่าจะบังเกิดความรู้สึกดังกล่าวนั้นได้เลย เขาไม่อาจโน้มน้าวใจให้ผมบังเกิดความนับถือเลื่อมใสในตัวเขาขึ้นมาได้ และนั่นอาจเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดนึกลึกซึ้งกับสิ่งที่ได้เห็นและเป็นไปต่าง ๆ สักครั้ง เขาไม่อนาทรร้อนใจกับความทุกข์หรือสุขของผู้อื่นมากกว่าตัวของเขา - เรื่องของเขา คุณสมบัติเหล่านี้มิจำเป็นจะต้องมีอยู่ในตัวของนักคิดนักเขียนเท่านั้น หากแต่ควรจะมีอยู่ในตัวเราทุกคน แต่ก็นั่นละ ในเมื่อสภาพการณ์ของคนร่วมสมัยมอง และกำหนดชีวิตของตนเองตามหลักเศรษฐศาสตร์มากกว่าคำนึงถึงชีวิตและวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ เมื่อครุ่นคิดเช่นนั้นจึงเฝ้าฝันใฝ่หาแต่ความบันเทิงเริงใจผ่อนคลายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตน ไม่จำเป็นต้องมองและสนใจบุคคลอื่น ปัญหาของคนอื่นย่อมเป็นเรื่องหนักสมอง เมื่อสมองเฝ้าคิดถึงแต่ความเป็นจริง โดยหารู้ไม่ว่าความจริงนั้นเป็นเพียงมายาภาพ มิใช่ความจริงอันสูงสุด... เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะเป็นและเหมือนพี่- นักเขียนรุ่นใหม่ผู้สร้างสรรค์งานเขียนร่วมสมัย ร่วมสมัยละหรือ... เมื่อพินิจพิเคราะห์ถ้อยคำนี้แล้วผมก็อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ ใครหนอใคร... ใครเป็นผู้ที่บัญญัติคำคำนี้ มิได้นึกขันในความหมายหรอกครับหากแต่ชอบใจเสียละมากกว่า ผมเข้าใจของผมเองว่า ไม่ว่ากาลเวลาจะผันผ่านล่วงไปสักกี่สิบปีก็ตาม เรื่องราวต่าง ๆ ที่นักเขียนคนหนึ่งสร้างไว้นั้นก็ยังคงไม่ตกยุคตกสมัยเฉกผลงานของพี่ หรืออีกนัยความคิดหนึ่งคือ แม้ว่านักเขียนคนนั้น ๆ จะหามีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วไม่ ชื่อของเขาก็ยังดำรงอยู่ จะมีน่าขันก็แต่เพียงว่า นักเขียนบางคนผู้นั้นกลับมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากกว่าเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เสียอีก เมื่อครั้งเขายังมีชีวิตกลับมีผู้คนไม่มากนักที่คิดจะเกื้อหนุน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังถูกค่อนแคะต่าง ๆ นานา เพียงเพราะผู้ที่ค่อนแคะนั้นไม่เคยมีชีวิตและวิญญาณที่แท้จริงของตน กระแสเสียงจากสังคมลงความคิดเห็นว่าอย่างไรเขาก็ปักใจเชื่อ ปลิวไปตามลมปากโดยปราศจากความคิดตริตรองเสียอย่างนั้น หากคนเรามีชีวิตและวิญญาณที่เป็นของเราจริงแท้แล้วนั้น ในนามและตัวตนเฉกเช่นนักเขียนอย่างพี่คงเป็นที่รู้จักมากกว่าในวันนี้... และคนในสังคมหน่วยใหญ่นี้คงมีความรู้สึกที่จะนึกคิดอ่านเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นมากกว่านี้เช่นเดียวกัน ระยะเวลากว่า ๑ ปี บนแผ่นดินอื่นของพี่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง... ผมไม่รู้ ผมรู้เพียงแต่ว่า ระยะเวลากว่า ๑ ปี บนแผ่นดินนี้ ชื่อและผลงานของพี่ในนาม กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นั้น ยังคงดำรงอยู่ในจิตใจ และร่วมสมัยของผมทุกเมื่อเชื่อวัน
รักและคิดถึงพี่. ๑๑ มกราคม ๒๕๕๐
ป.ล.เนื่องด้วยผมเพิ่งเข้ามาพบบ้านนี้จึงใคร่ขอฝากงานที่เขียนถึงพี่หนกไว้ด้วยครับ