นานาทัศนะ
กาลครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาฯ ตอน เรื่องเล่าจากงานเลี้ยง โดย ธนาวัฒน์ อุ่นเรืองศรี
กาลครั้งหนึ่ง ณ หุบเขาฯ ตอน เรื่องเล่าจากงานเลี้ยง โดย ธนาวัฒน์ อุ่นเรืองศรี
แล้วงานเลี้ยงของพวกเราก็เริ่มต้นอีกครั้ง มันเป็นงานเลี้ยงประจำเดือนซึ่งจะจัดกันเดือนละครั้ง งานเลี้ยงของพวกเราก็ไม่ได้แตกต่างจากงานเลี้ยงอื่นทั่วๆไป ที่มีการทำอาหาร กินดื่มร้องรำทำเพลงเป็น ภาพที่เราทุกคนล้วนคุ้นตา เดิมที่พวกเราทุกคนต่างอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว นับตั้งแต่เรามีปาร์ตี้เกิดขึ้น ทำให้กลุ่มของเราพบกันบ่อยขึ้น ได้มีการพบปะสังสรรค์ และแลกเปลี่ยนความคิดในเรื่องต่างๆซึ่งหมายถึงงานวรรณกรรมด้วย
จนกระทั่ง เมื่อปาร์ตี้ประจำเดือนของเราก็เดินทางมาอีกหน คราวนั้นพี่ศักดิ์ชัย ลัคณาวิเชียร เป็นเจ้าภาพ ซึ่งงานวันนั้นเราได้เชิญ พี่กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ และศรีภรรยา อุรุดา โควินท์ มาร่วมงานเลี้ยงเป็นครั้งแรกอีกด้วย และนี่คือจุดเริ่มต้นของของความประทับใจที่จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป แม้ว่าพี่กนกพงศ์และพี่ชมพูจะมาร่วมงานเลี้ยงของพวกเราเป็นครั้งแรก แต่ทั้งสองก็หาใช่คนแปลกหน้าไม่ เพียงแต่อาจจะเป็นครั้งแรกสำหรับปาร์ตี้เท่านั้น งานเลี้ยงดำเนินไปด้วยความสุขสนุกสนานเช่นเดิม หลังจากงานวันนั้น อุรุดาก็ได้บอกกับพวกเราว่า
เอาแบบนี้สิ ปาร์ตี้คราวหน้าจัดที่บ้านพู พวกพี่ๆจะกินอะไรกันบ้าง พวกเราทั้งหมดบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ากินได้หมด พี่ชมพูพูดต่อว่า พูทำบาร์บีคิวหมูอร่อยมาก อยากกินกันไหม ผมกับพี่หนุ่ม จิระ อุ่นเรืองศรีพยักหน้า โดยมีพี่กนกพงศ์ พยักหน้ารับอีกคน
แล้ววันที่รอคอยก็มาถึง พี่ปริทรรศ (หุตางกูร) บึ่งรถพาพวกเราทั้งหมดมุ่งหน้าสู่หุบเขาฝนโปรยไพร วิมานน้อยของพี่กนกพงศ์และแฟนสาว อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงนั่นเอง โดยพี่ศักดิ์ชัยไปรอเราอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ถึงจุดหมายทุกอย่างในบ้านเงียบสงบ ดูเหมือนไม่มีอะไร พวกเราคิดในใจ มันคงไม่ต่างจากปาร์ตี้คราวก่อนๆเพียงแต่เปลี่ยนสถานที่ แต่เมื่อเราเดินไปด้านนอกของตัวบ้าน
โอ้โห พวกเราทั้งหมดต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน ทุกคนต่างตื่นตะลึงกับภาพที่เห็น แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงเล็กๆแต่จัดได้อย่างยิ่งใหญ่ตระการตาดีแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างสวยงามดั่งสวรรค์สร้าง พี่กนกพงศ์เป็นคนขยันมากๆ หากรู้ว่าวันไหนจะมีปาร์ตี้ พี่แกจะปลุกอุรุดาไปจ่ายตลาดแต่เช้าตรู่ พี่ชมพูก็จะช่วยพี่หนกจัดเตรียมสถานที่จัดงานไว้ล่วงหน้า และเมื่อถึงวันงาน ทุกอย่างก็พร้อมสรรพ ด้วยความที่เป็นคนขยันพี่แกจะขมักเขม้นอยู่ในครัวช่วยภรรยาทำกับข้าวไม่ได้หยุดหย่อน และคอยมาสอบถามพวกเราตลอดเวลาว่า มีอะไรขาดเหลือบ้าง แม้ว่าพี่ทั้งสองจะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุขทุกครั้งกับการทำอาหารต้อนรับการมาเยือนพวกเรา อาหารคาวหวาน บรรจุอยู่ในจานชามที่สวยงาม ผักผลไม้ก็สลักเสลาอย่างประณีต จัดเรียงอย่างวิจิตรบรรจง นอกจากนั้น พี่ชมพูยังมีอาหารรูปร่างแปลกตามาเสิร์ฟให้แกพวกเราอีกด้วย ไม่นานนัก พี่ชมพูก็ยกบาร์บีคิวร้อนๆจากเตามาเสิร์ฟให้เรารับประทานกันสดๆใหม่ๆ แค่คำแรกผมก็สัมผัสได้ถึงความอร่อย บาร์บีคิวของพี่อุรุดาอร่อยสมคำร่ำลือจริงๆ ด้วยเนื้อหมูที่นุ่มหอม ผสานกับความฉ่ำหวานของสับปะรด เป็นส่วนผสมที่สุดแสนจะลงตัว ทุกคนที่ได้ชิมต่างพร้อมใจกันพูดว่า ขออีกไม้
อีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นเสน่ห์ของงานก็คือ เครื่องดื่มสีสันฉูดฉาดใส่อยู่ในเหยือกใบโตๆเป็นที่สะดุดตายิ่งนัก มันเป็นเครื่องดื่มผสมน้ำผลไม้สีแดงสด รสชาติอร่อยอย่างประหลาด เหมือนได้ดื่มน้ำทิพย์จากสรวงสวรรค์ เป็นอีกทางเลือกของผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล อุรุดาบอกกับพี่จิระว่า พี่หนุ่ม ช่วยตั้งชื่อให้หน่อยสิ เครื่องดื่มนี้ยังไม่มีชื่อเลย เราทั้งหมดต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนานในเรื่องของการตั้งชื่อเครื่องดื่มของอุรุดา และจนบัดนี้มันก็ยังไม่มีชื่อ
หลังจากที่รับประทานอาหารหนักจนอิ่มแปล้แล้ว จึงเข้าสู่ช่วงการสนทนาผ่านน้ำสีทองอำพัน การสนทนาเป็นไปอย่างมีรสชาติหลังจากนั้น ก็เป็นช่วงของการร้องรำทำเพลง เดิมทีในงานเลี้ยงจะมีพี่ปริทรรศเล่นกีตาร์เพียงคนเดียว แต่พอได้การเล่นพิคกิ้งที่ไพเราะเสนาะหูของพี่กนกพงศ์ ทำให้งานเลี้ยงมีสีสันมากยิ่งขึ้น ทำให้ปาร์ตี้แต่ละครั้งไม่สามารถขาดเสียงกีตาร์ของพี่กนกพงศ์ได้อีกต่อไป พี่อุรุดาดูจะเอาใจใส่กับการจัดปาร์ตี้แต่ละครั้งเป็นอย่างมาก ดูได้จากการตกแต่งสถานที่
ด้วยชั้นเชิงทางศิลปะ การเลือกจานชามช้อนส้อมที่จะใช้ในงาน ส่วนที่โต๊ะอาหารก็ประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีใต้แสงเทียน ปรุงแต่งอารมณ์ด้วยเทียนหอมและกำยาน ทำให้งานเลี้ยงครั้งนี้สวยงามราวเนรมิต ผมยังแอบแซวว่าพี่อุรุดาคงเป็นแม่มดแน่ๆ ที่ร่ายมนต์ให้เราทั้งหมดตกอยู่ในภวังค์ สำรับอาหารก็ดูอลังการไปหมด ทำให้บ้านไม้ที่แสนจะธรรมดากลายเป็นทิพยวิมานกลางหุบเขา สร้างความประทับใจแก่ผู้ร่วมงานทุกๆคน ส่งผลให้งานเลี้ยงที่เคยพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแต่ละบ้าน ก็กลายเป็นว่าเรายึดบ้านพี่กนกพงศ์เป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้เป็นหลักหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา
เชื่อไหมครับ ห้วงเวลาแห่งความสุขของพวกเราแสนสั้นนัก ไม่มีข่าวคราวของงานปาร์ตี้อีก เรื่องราวต่างๆของพี่กนกพงศ์และอุรุดาเงียบหายไปพร้อมกับการมาเยือนของพายุร้าย ฝนที่ตกกระหน่ำอย่างหนักติดต่อกันหลายเดือนทำให้การจัดปาร์ตี้ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด แม้เวลาเราจะทิ้งระยะเวลาให้ยืดยาวไปเท่าไร ฝนก็ไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดตกเสียที นครศรีธรรมราชเมื่อสองปีที่แล้วเกิดภาวะฝนแล้งอย่างหนัก ผู้เฒ่าผู้แก่ทำนายไว้ว่าหากเเล้งติดต่อกันนานแบบนี้ จะมีฝนตกใหญ่อย่างคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน เป็นไปตามคำทำนาย ฤดูฝนในปีนี้จึงยาวนานกว่าปีก่อนๆมาก เราไม่สามารถจัดงานเลี้ยงใดๆได้เลย
จนกระทั่ง !
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
ถูกต้อง ! มันเป็นวันแห่งความรัก แต่..ไม่มีบทเพลงแห่งความรักบรรเลงในวันนี้ เขาจากไปเมื่ออรุณรุ่งของวันที่ ๑๓ กุมภาฯ ยังไม่ทันได้ลิ้มรสอันหอมหวานแห่งวาเลนไทน์ มัจจุราชก็พรากความฝัน และความรักของเธอไป ใครเล่าจะปวดร้าวเท่ากับเธอ
.อุรุดา วันแห่งความรักเธอน่าจะได้ร่วมฉลองความสุขเช่นคู่รักคู่อื่นๆ แต่เธอกลับต้องมาลิ้มรสความขมขื่นแต่เพียงเดียว ๑๔ กุมภาฯ ๒๕๔๙ จึงกลายเป็นงานศพของคนรัก ไม่มีใครอยากให้เขาจากไป แต่หากมัจจุราชยังคงดื้อดึงตั้งใจจะพรากเขาอย่างไม่มีวันกลับจริงๆให้เขาตายในวันที่ ๑๕ กุมภาฯไม่ได้หรือ ให้เขาอยู่ร่วมกันในอ้อมกอดของ ๑๔ กุมภาฯด้วยกันสักวันไม่ได้หรือ แล้วรุ่งสางขึ้นค่อยให้เขาจากไป ไม่ได้หรือครับ
ผมกับเพื่อนๆยังไม่แน่ใจว่า อนาคตข้างหน้าเรายังจะจัดงานปาร์ตี้กันอีกไหม เพราะทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม จะไม่มีเสียงกีตาร์ของพี่กนกพงศ์อีกแล้ว และเราคงไม่ได้เห็นพี่อุรุดามาร่ายมนต์ผ่านมื้ออาหารให้พวกเราได้กินกันอีก ปาร์ตี้ของพวกเราคงจะเงียบเหงาไปอีกนานแสนนาน ผมคงคิดถึงทุกๆสิ่งทุกๆอย่างที่นี่ คิดถึงเสียงสนทนา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และบทเพลงที่พวกเราขับขานร่วมกัน ทั้งหมดคงเหลือแค่ความทรงจำ การเดินทางของพวกเราก็จะขาดผู้ร่วมทางไปอีกหนึ่งคน แต่ถึงอย่างไร แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาจะร่วมเดินทางไปกับเราทุกหนแห่ง จวบจนลมหายใจสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาเยือน
ขอแสดงความอาลัยรัก แด่.. พี่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ พี่ชายที่ผมเคารพรัก และจะอยู่ในใจชั่วนิรันดร์