นานาทัศนะ

กองทุน-นิตยสารเรื่องสั้น การเกิดใหม่ของ 'กนกพงศ์'

by 1 @April,17 2006 21.09 ( IP : 58...222 ) | Tags : นานาทัศนะ

กองทุน-นิตยสารเรื่องสั้น การเกิดใหม่ของ 'กนกพงศ์' โดย เนชั่นสุดสัปดาห์

เหินห่างบ้าง แต่ไม่เคยร้างรา สำหรับบรรยากาศการทำหนังสือ ยัง สำนักพิมพ์นาคร ที่ตั้งอยู่ ณ ชั้น 3 ของอาคารหงสกุล ย่านทุ่งรังสิต โดยเฉพาะวันไหนที่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ขึ้นมาจากใต้เพื่อทำหนังสือ วันนั้นๆ จะมีสีสันเป็นพิเศษ และหากไม่ป่วยไข้ เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ผ่านมา กนกพงศ์จะปรากฏตัวที่นั่นพร้อมหอบต้นฉบับรวมเรื่องสั้นเล่มใหม่ และเลย์เอาท์ของ 'ราหูอมจันทร์' นิตยสารรวมเรื่องสั้นที่เขาหวังในใจให้เป็น 'เวทีเรื่องสั้นแห่งใหม่' ของวงการน้ำหมึก ได้คึกคักกันอีกครา

และหากไม่ลาลับเมื่อตอนสายของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ตอนนี้เราคงได้เห็นความคิดความตั้งใจของเขาออกมาเป็นรูปเล่มแล้ว

ทว่า เราต่างมิอาจหยุดยั้งการเกิดดับอันเป็นสัจธรรมของชีวิตได้ นับแต่นั้น คนที่ไปเยือนยังชั้น 3 แห่งนั้น จึงกลายเป็น กลุ่มคนทำหนังสือ ที่เป็นพี่ เพื่อน และน้องๆ ของนักเขียนหนุ่มคนนั้นแทน

ไม่ว่าจะเป็น ขจรฤทธิ์ รักษา ชีวี ชีวา พินิจ นิลรัตน์ พิเชฐ แสงทอง อดีตมือปรู๊ฟไรเตอร์ ฯลฯ ทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่นั่นโดยมิได้นัดหมาย แต่มีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ เพื่อทำหนังสือที่ระลึก 'คืนสู่แผ่นดิน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์' ให้สมบูรณ์ที่สุด

บรรยากาศทำหนังสือข้ามวันข้ามคืน หวนคืนมาอีกคราหนึ่ง เพียงแต่ไม่มีกนกพงศ์อยู่ที่นั่น-เท่านั้นเอง (เอ๊ะ! หรือจะมี?)

พี่น้องผองเพื่อนของนักเขียนหนุ่ม ต่างคร่ำเคร่งกับตัวหนังสือที่เรียงรายบนหน้ากระดาษ ปรู๊ฟแล้วปรู๊ฟเล่า แต่ห้องเล็กๆ นั้น แม้จะมีความโศกเศร้าโรยเกลื่อนอยู่ทุกซอกมุม แต่ก็ไม่ขาดเรื่องตลกที่นำมาอำมาเล่าสู่กันฟัง

ดังเช่นเรื่องป้ายหน้างานที่เขียนว่า 'นายกนกพงศ์' ก็มีคนไปถามว่า "ตกลงนี่กนกพงศ์ เป็นนายกอะไร เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเขาไปอ่านว่านายก-นกพงศ์ ก็แปลกดี" เจน สงสมพันธุ์ พี่ใหญ่ของน้องๆ เล่าไปหัวเราะไป แต่แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสุดประมาณ

ถึงอย่างนั้น ยังคงมีสติอยู่เต็มเปี่ยม

ด้วยเข้าใจน้องชายดีว่า หากรำลึกถึงด้วยการตั้งเป็นอนุสาวรีย์ หรือทำเป็นรูปต่างๆ นั้น หาใช่ความปรารถนาของกนกพงศ์ไม่ การเน้นเนื้อหาสาระต่างหากคือคำตอบ

โดยเฉพาะเรื่องของการทำให้วงการนักเขียนเกิดความคึกคักขึ้นมา เพราะถือว่ากนกพงศ์นั้นเป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนหนุ่มอีกมาก แล้วคนที่เหลืออยู่ จึงมาคิดต่อว่า แล้วจะนำแรงบันดาลใจนี้ไปใช้ประโยชน์ให้เกิดกับวงการวรรณกรรมคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร

ที่สุดจึงตัดสินใจร่วมกับสมาชิก 'นกสีเหลือง' ทั้ง 4 คือ เจน สงสมพันธุ์ ชีวี ชีวา ขจรฤทธิ์ รักษา และ ดิเรก นนทชิต (ถ้ารวมกนกพงศ์ด้วยก็เป็น 5 (ใน 7) เสียงส่วนใหญ่ถือว่า-ผ่าน) ร่วมด้วย ไพฑูรย์ ธัญญา ว่า 'ราหูอมจันทร์' นิตยสารรวมเรื่องสั้นรายสี่เดือน ที่น้องชายได้ริเริ่มไว้นั้น จะต้องคงอยู่ต่อไป ด้วยการจัดตั้ง 'กองทุน กนกพงศ์ สงสมพันธุ์' ขึ้นมา เพื่อดำเนินการสานต่อความตั้งใจครั้งนี้

0 0 0

นิตยสารรายฤดู 'ราหูอมจันทร์' นี้ เป็นโครงการที่กนกพงศ์ ริเริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา อาสาเป็น 'บรรณาธิการรวบรวมต้นฉบับ' ทั้งหมด โดยมีทีมศิลปะที่อยู่ในละแวกจังหวัดนครศรีธรรมราช ร่วมสร้างสรรค์ด้านอาร์ตเวิร์ค พอเสร็จสรรพจากใต้มาแล้ว ถึงกรุงเทพฯ ก็คือเข้าโรงพิมพ์อย่างเดียว แต่คราวนี้บางอย่างคงต้องปรับเปลี่ยนไป

อันที่จริง พอกนกพงศ์ไม่อยู่แล้ว คนที่เหลืออยู่ จะหยุดก็ย่อมทำได้ แต่ด้วยวัตถุประสงค์ของ 'ราหูอมจันทร์' ที่ว่า "มุ่งหวังที่จะสร้างและส่งเสริมนักเขียนรุ่นใหม่ในแนวของการเขียนเรื่องสั้น" นั่นเอง พวกเขาจึงมิอาจละทิ้งไว้ได้

ที่สำคัญ ความคิดในการเปิดเวทีสำหรับคนรุ่นใหม่ ยังอยู่ในใจของคนวรรณกรรมกลุ่มนี้เสมอ ดังเช่นครั้งตั้งสำนักพิมพ์ 'นกสีเหลือง' ก็มีความตั้งใจคล้ายๆ กันไม่แปรเปลี่ยน

โดยเฉพาะกนกพงศ์ มีความคิดตรงนี้ด้วยเช่นกัน เพราะลักษณะของกนกพงศ์ที่ผ่านมานั้น ในขณะที่เขาทำงานเขียนหนังสือ เขาจะคิดถึงว่าจะทำให้แวดวงวรรณกรรม วัฒนธรรมดนตรีพวกนี้ เคลื่อนไหวอย่างไรตลอด จึงไม่น่าแปลกใจที่มวลมิตรของนักเขียนหนุ่มคนนี้จะแผ่ไพศาลไปหลากรุ่นหลายวงการ

"ครั้งนี้เขาสรุปบทเรียนความล้มเหลวของคราวที่แล้วว่า มันล้มเหลวเพราะอะไร การออกมาของกนกพงศ์ในครั้งนี้ ก็คงมีลักษณะเหมือนกับคราวก่อนเรื่องหนึ่งคือ กนกพงศ์ไม่ได้คิดเรื่องตัวเงิน แต่มีแผนในการใช้จ่ายเพื่อให้สำนักพิมพ์ที่จะพิมพ์เรื่องเหล่านี้ หรือทำเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อยู่ได้ อยู่ในหัวสมองเขาแล้ว ทีนี้เขาจะเคลื่อนแบบไหน"

เมื่อนักเขียนหนุ่มจากไป คนที่เหลืออยู่จึงเดาใจว่า กนกพงศ์น่าจะมีปณิธานดังกล่าวนี้ จึงขอนำ 'แรงบันดาลใจ' ที่มีต่อนักเขียนหนุ่มมาสร้างประโยชน์แก่วงการวรรณกรรมดีกว่า

"หลายครั้งที่เราคุยกันว่าวรรณกรรมตายแล้ว แต่จริงๆ ร้านหนังสือก็ยังขายหนังสืออยู่เยอะ แต่ว่าคนไปอ่านของดาราเยอะ ในขณะที่วรรณกรรมยังอยู่ ถ้าคนไม่ซื้อก็เท่ากับว่าวาทกรรมที่ว่า 'ตายแล้ว' ก็จะเกิดขึ้น"

"มิหนำซ้ำในปัจจุบันนี้มีรางวัลอะไรต่างๆ ออกมามากมายเหลือเกิน แต่ 'เรื่องสั้น' ที่ได้รับรางวัลที่เราเห็นๆ กันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องสั้นที่มีคุณภาพอะไรมากมาย ภาวะตกต่ำของวรรณกรรมตรงนี้ เราจะช่วยกันได้ยังไง มันน่าจะมีคนที่เขียนเรื่องที่มีคุณภาพอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่าเวทีที่จะให้เรื่องสั้นคุณภาพยังคงอยู่ เวทีมันอาจจะไม่ชัดเจน หนังสือเมื่อก่อนเราเอาเรื่องสั้นมาเป็นประเด็นหลัก แต่ปัจจุบันนี้หนังสือก็จะเอาพวกคอลัมน์เป็นเรื่องหลัก โดยเฉพาะเอาคนที่มีชื่อเสียงมาเขียนคอลัมน์ ก็เบียดบังอะไรต่างๆ ของวรรณกรรมไป ก็เลยจะเปิดเวทีตรงนี้ให้มันชัดเจน"

นายหัวเจน เล่าถึงที่มาที่ไปของการเปิดเวทีเรื่องสั้นแห่งใหม่นี้อีกครั้งหนึ่ง เพราะตั้งแต่ 'ช่อการะเกด' หายไป เวทีประเภทเรื่องสั้นก็หมดความคึกคักไปอย่างน่าเสียดาย

"ราหูอมจันทร์ก็น่าจะเป็นเวทีที่น่าสนใจต่อไป"

ถึงตอนนี้ ราหูอมจันทร์ยังเป็นราย 4 เดือนเช่นเดิม โดยมีการลงเงินในกองทุนฯ เริ่มต้นที่ 1 แสนบาท รูปแบบที่ว่าไว้เดิมก็คือ แรกๆ จะเป็นเวที 'รับเชิญ' และถ้าเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญก็จะมีมาตรการในการคัดที่เข้มข้นกว่า โดยตัวของกนกพงศ์จะเป็นคนดูแลคัดสรร

แต่ก็ต้องเปลี่ยน จากนี้ไปหน้าที่คัดสรรจะใช้ระบบ 'ทีมบรรณาธิการ' แทนที่จะเป็นคนใดคนหนึ่ง เพื่อป้องกันปัญหาเรื่องวิกฤติศรัทธาในวงการวรรณกรรมที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เบื้องต้นยกหน้าที่ให้ 'ผู้ก่อตั้งกองทุนฯ ทั้ง 5' ไปก่อน

ด้านเนื้อหาต้นฉบับ แต่เดิมไม่มีการประกวดประชันขันแข่งกัน ได้มาจากการที่กนกพงศ์ได้ออกเทียบเชิญนักเขียน 'ขาใหญ่' มาก่อน ต่อไปจะแปรเป็น 'เวทีของคนรุ่นใหม่' เปิดรับพิจารณาจากทั่วประเทศ ทั้งมือเก่า-มือใหม่ มีสิทธิส่งได้เท่ากัน

พอถึงปีหนึ่งก็จะมีการมอบรางวัลให้กับ 'เรื่องสั้น' ที่ผ่านการพิจารณาและพิมพ์ลงในเล่มไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง โดย 'คณะกรรมการ' ซึ่งอาจจะเป็นกรรมการจาก 'ผู้ก่อตั้งกองทุนฯ' หรือ 'แต่งตั้ง' กรรมการขึ้นมาใหม่ ก็ต้องคุยในรายละเอียดต่อไป เพราะต้องคำนึงและระวังเรื่องวิกฤติของกรรมการในแวดวงมีอยู่สูงมาก

"เราต้องทำให้ได้ว่าเรื่องสั้นที่มีคุณภาพ กรรมการที่มีคุณภาพ เวทีที่มีคุณภาพ ถ้าหากได้จากตรงนี้แล้ว มันจะต้องบอกตัวตนนักเขียนได้ชัดเจน"

ด้านรูปแบบและวิธีการดำเนินการให้ 'เงินรางวัล' นั้น ก็ไม่เหมือนใคร คือจะมีการหักค่าลิขสิทธิ์ส่วนหนึ่งของค่าเรื่องในแต่ละเล่ม แล้วนำไปสมทบปลายปีเป็นรางวัลให้กับเรื่องสั้นที่ดีที่สุดในรอบปี

วิธีนี้นอกจากจะทำให้ระบบการเงินอยู่ในเกณฑ์แล้ว ยังเป็นเรื่องของ 'ความภาคภูมิใจ' ทั้งคนให้รางวัล และคนได้รับด้วย

"คนที่ได้รางวัลก็ไม่ใช่เอาเงินรางวัลมาจากที่อื่น แต่เป็นค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้นทุนในการทำ สมมติค่าลิขสิทธิ์เรื่องหนึ่ง 4 พัน 3 ฉบับ ก็ 12,000 บาท เป็นเงินของทุกคนที่ถูกหักไว้ ใครเขียนเรื่องสั้นผ่านแต่ไม่ค่อยดี ก็ถูกหักเงิน ใครเขียนดีที่สุดก็ได้เงินก้อนนี้ไป (ปลายปี) ให้เป็นความภาคภูมิใจว่านี่เป็นเงินของพวกคุณเองทุกคน แล้วก็จะทำให้เราไม่ต้องไปหาเงินที่ไหนมาให้รางวัล เพราะมันอยู่ในค่าลิขสิทธิ์แล้ว ไม่ต้องไปยื้อยุดอยู่กับทุนที่จะมาเป็นสปอนเซอร์ให้เลย"

ทั้งนี้ ไม่ต้องห่วงว่ากองทุนนี้เงินจะร่อยหรอไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะจะมีเข้ามาเติมตลอด

ประการแรก มาจากค่าลิขสิทธิ์ของกนกพงศ์ในการตีพิมพ์แต่ละครั้ง จำนวนหนึ่งจะนำมาเติมให้กองทุนนี้ตลอด ส่วนนี้ก็จะทำให้การดำเนินกิจกรรมอื่นๆ ที่ต่อเนื่องจากการทำหนังสือเกิดขึ้นได้ด้วย

ประการที่สอง มีระบบเบิก-จ่ายการเงินที่เข้มงวด โปร่งใส โดยมีคณะกรรมการชัดเจน ไม่ใช่มอบหมายให้ใครคนใดคนหนึ่งทำเพียงคนเดียว

สำหรับตำแหน่ง 'ผู้จัดการกองทุน' นั้น ยังไม่ได้เจาะจงให้ใครเป็น แต่คงเริ่มจาก 5 คนผู้ก่อตั้งชุดนี้ก่อน ส่วนคนอื่นที่จะเข้ามาช่วยนั้น ก็คงจะหารือกันหรือเชิญกันมาอีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ดี กำลังทาบทาม อุรุดา โควินทร์ มาเป็นผู้ดูแล แต่ตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มีอำนาจในการเซ็นเช็คใดๆ ทั้งสิ้น คาดว่าหลังงานฌาปนกิจคงได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากกว่านี้ รวมถึงงานอื่นๆ ต่อไป

สำหรับที่ตั้งกองทุนฯ นั้น จะขึ้นป้ายยังตึกด้านหลังของนาครเลขที่ 4/6768 ไปก่อน เพราะมีประวัติศาสตร์กนกพงศ์แนบแน่นอยู่ ทั้งที่มาของตึก ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากเงินรางวัลซีไรต์ที่กนกพงศ์ได้ แล้วกนกพงศ์ก็ใช้ตึกนี้เป็นบ้านด้วยคราที่ทำนิตยสารไรเตอร์ ถือว่าใช้ชีวิตที่นี่มากกว่าชื่อเจ้าของตึกเสียอีก

ด้านสำนักงานของนิตยสาร 'ราหูอมจันทร์' ก็จะอยู่ที่นี่ด้วย

"เนื้อหาปีแรกนี้อาจจะเป็นวาระพิเศษหน่อย เพราะมีงานเทียบเชิญอยู่ ฉบับแรกอาจจะไม่นำมาพิจารณาร่วมก็ได้นะ กำลังดูความเหมาะสมอยู่ ในส่วนการมอบรางวัลของปีแรกอาจจะยืดไป นี่เป็นรายละเอียดที่จะต้องไปคุยกันว่า ทำยังไงที่จะให้การพิจารณารางวัล พิจารณาได้ไม่น้อยกว่าสามฉบับ เพราะฉะนั้น ถึงเวลานี้มันอาจจะไม่ถึง 3 ฉบับแล้ว เราอาจจะรวบเป็นปีครึ่งในส่วนของการประกาศรางวัลครั้งแรกเพื่อให้ได้นักเขียนอย่างน้อยสัก 30-40 คน"

โดยเล่มแรกชื่อ 'กีตาร์ที่หายไป' นำมาจากเรื่องสั้นของ สุรชัย จันทิมาธร เตรียมออกฉบับปฐมฤกษ์เดือนมีนาคมนี้ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ พร้อมด้วยรวมเรื่องสั้นของกนกพงศ์ ชื่อ 'คนตัวเล็ก'

ทั้งนี้ จะไม่มีการเปิดตัวหนังสือใดๆ ทั้งสิ้น เช่นเดียวกับหนังสือเล่มใหม่ของกนกพงศ์ทุกครั้งที่ผ่านมา

"เราแค่พิมพ์หนังสือเท่านั้น เพราะว่าเราไม่ชัดเจนว่า เวลาที่จัดทำแล้ว กนกพงศ์จะเห็นด้วยหรือไม่ เพราะกนกพงศ์มีความรู้สึกว่า บางเรื่องที่เราเติมเงินลงไป มันเติมไปในสิ่งที่ไร้สาระ ไม่ได้ก่อให้เกิดภูมิปัญญาทางวรรณกรรม เป็นงานทั่วไป ไม่ใช่งานที่มาเสริมให้การอ่านการเขียนดีขึ้น เราจึงไม่ทำตรงนี้"

เมื่อส่งราหูอมจันทร์ ขึ้นสู่เวิ้งฟ้าวรรณกรรมแล้ว กิจกรรมอื่นๆ ก็คงจะตามมา โดยเฉพาะข้อเสนอของกลุ่มนักเขียนเมืองลิกอร์ ที่ว่า ให้รักษาบ้านกนกพงศ์ที่ อ.พรหมคีรี ไว้เป็นพิพิธภัณฑ์ของการเขียนหนังสือ และเป็นที่พักของนักเขียนหนุ่มที่มาหาแรงบันดาลใจต่อไป

แม้ร่างและลมหายใจของกนกพงศ์จะจากไป แต่ทุกแรงบันดาลใจ จะยังคงอยู่กับแวดวงน้ำหมึกตลอดไป-ไม่แปรเปลี่ยน!!

แสดงความคิดเห็น

« 5322
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ