เรื่องสั้น
ผู้ปัดเป่า
หล่อนยื่นไม้ขีดติดไฟเข้าไปจุดด้ายไส้เทียนสีขาวสองเล่มด้วยมือค่อนข้างสั่นเทา เมื่อไฟลุกติดดีแล้วจึงได้หดมือกลับมาพนมไว้ระหว่างอก สายตายังคงจับจ้องเปลวไฟปลายเทียนที่กำลังลุกไหม้ด้ายไส้เทียนลามเลียแท่งเทียนทีละน้อย แล้วค่อยๆ หยาดน้ำตาลงในบาตรน้ำมนต์ทีละหยดๆ พร้อมกับเสียงท่องบ่นคาถาพึมพำเบาๆ เป็นทำนองของหลวงตาคำผุย
แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ของวันในเดือนพฤศจิกายนส่องลอดใบไม้ตกกระทบพื้นดิน มองเห็นเป็นลวดลายแปลกตา ขณะที่หล่อนกำลังมองบาตรน้ำมนต์อย่างเหม่อลอย พลางก็ครุ่นคิดถึงสายลมหนาวของเดือนพฤศจิกายนเมื่อหลายปีก่อน นั้นช่างเป็นสายลมหนาวอันหนาวเหน็บเข้าไปถึงเลือดถึงเนื้อ พัดโชยโบยโบกมาตั้งแต่ปลายตุลาคม จนกระทั่งล่วงพ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้วก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงแห่งการพัดโชยโบยโบก แต่นั่นเป็นลมหนาวเมื่อหลายปีก่อน ครั้งล่วงมาถึงพฤศจิกายนของปีนี้ลมหนาวที่เคยมี ยังไม่รู้ว่าพัดพายไปสู่หนแห่งใด มีแต่เพียงแสงแดดระอุร้อน ไม่หยุดหย่อน แผดประกายกระจายไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ท้องนา ท้องไร่ของชาวหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศ นี้ก็ล่วงเข้ากลางเดือนแล้ว ไยสายลมหนาวที่เคยพัดโบยโชยมาสู่หมู่บ้าน ถึงยังไม่เดินทางมาเสียที หรือจะรอให้ถึงการเก็บเกี่ยวข้าวในท้องนาเสร็จสิ้นเสียก่อน
ปลายด้ายไส้เทียนติดไฟกระทบถูกน้ำในบาตรส่งเสียงดังฉ่าๆ นานๆ ครั้งจึงค่อยปลุกภวังค์ของหล่อนให้กลับมาสู่ปัจจุบัน สนใจต่อกิริยาอาการเสกน้ำมนต์ของหลวงตาคำผุย นิ้วมือของท่านมีรอยตกกระ เหี่ยวย่น ตรงปลายเล็บซีดเหลืองของหลวงตานั้น หล่อนก็เพิ่งจะสังเกตเห็นในคราวนี้เอง แม่ของหล่อนเคยเล่าให้ฟังว่า หลวงตาคำผุยเป็นคนจังหวัดมหาสารคาม เมื่อยังเป็นพระหนุ่มได้ออกธุดงค์จากจังหวัดบ้านเกิดไปร่ำเรียนวิชาอาคมถึงเขตแดนประเทศเขมร เกี่ยวกับเรื่องลงคาถาอาคม ทำนายทายทัก ดูดวงชะตา ผูกลัคนาราศรี ปลุกเสก เลขยันต์นั้นหลวงตาคำผุยเป็นจอมขมังทีเดียว เมื่อท่านเดินทางมาจำพรรษาที่วัดประจำหมู่บ้านนี้นั้นแม่ยังเพียงเป็นสาวรุ่นเท่านั้น ชาวหมู่บ้านที่เดือดร้อนด้วยเหตุเภทภัยอันลึกลับ ก็ได้หลวงตาคำผุยนี่แหละเป็นคนปัดเป่าทุกข์ร้อนให้ผ่อนคลาย แม้กระทั่งในคราวที่ข้าวของสูญหาย ชาวหมู่บ้านก็จะมาเพื่อให้หลวงตาคำผุยทำนายทายทักถึงลักษณะของคนขโมย ทิศทางที่จะต้องติดตามนำสืบ ท่านสามารถชี้บอกได้ทั้งนั้น หรือแม้กระทั่งบอกได้ว่าเจ้าของเองนั่นแหละหลงลืมไว้ที่ตรงไหน
หล่อนไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมหลวงตาจึงได้เลือกที่จะอยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านของหล่อนและไม่เคยย้ายไปที่ไหนอื่นอีกเลย ถึงเวลานี้หลวงตาคำผุยก็แก่ชรามากแล้ว ท่านคงบวชเป็นเวลานานมากทีเดียว หล่อนไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าหล่อนมีลูกชายจะให้บวชได้นานเหมือนอย่างหลวงตาคำผุยหรือเปล่า หรือไม่เช่นนั้น ลูกชายของหล่อนเองนั่นแหละ จะสามารถอดทนนุ่งห่มผ้าเหลืองได้นานสักแค่ไหนกันเชียว เท่าที่หล่อนรับรู้ความเป็นไปของหมู่บ้านนั้น เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกัน ทั้งหญิงและชายต่างก็ได้แต่เที่ยวเตร่ แต่งตัวกรีดกราย ขับรถเครื่องคันโปรดที่ออดอ้อนเอาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพ่อแม่ โฉบเฉี่ยว ฉวัดเฉวียนไปมาในหมู่บ้าน ส่วนงานบ้าน งานนาแม้เพียงเล็กน้อยนั้นก็ไม่เอาใจใส่ ไม่เคยคิดจะแบ่งเบาภาระให้กับพ่อแม่ นี้ช่างแตกต่างจากวันเวลาของหล่อนเสียเหลือเกิน ทั้งที่ยังเรียนหนังสือไม่จบชั้นประถม เด็กรุ่นเดียวกับหล่อนต่างก็ช่วยเหลืองานพ่อแม่เท่าที่จะทำได้ หล่อนตั้งใจหนักแน่นว่า ลูกชายของหล่อนจะต้องไม่เอาเยี่ยงอย่างเด็กวัยรุ่นทุกวันนี้แน่นอน หล่อนจะดูแลลูกของหล่อนเป็นอย่างดี ถ้าเพียงแต่หล่อนจะมีลูกสักคน
ลูกสาวหรือลูกชายดีล่ะ หญิงหรือชายก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเพียงแต่เป็นลูกของหล่อน เพราะไม่ว่าลูกหญิงหรือลูกชายต่างก็เป็นเลือดเป็นเนื้อของหล่อนทั้งนั้น ไม่เห็นจะต้องเกี่ยงงอนว่าหญิงว่าชายเลยสักนิดเดียว ใช่สิ เลือดเนื้อของหล่อน
เปลวไฟยังคงไหม้ลามเลียแท่งเทียน หยาดน้ำตาลงบนผิวน้ำในบาตรน้ำมนต์ เมื่อกระทบกับความเย็นก็จะจับตัวแข็งอย่างรวดเร็ว ปลายด้ายไส้เทียนยังคงจมน้ำลงไปบ้าง พ้นน้ำขึ้นมาบ้าง ตามอาการสั่นไหวของมือหลวงตาคำผุย ทำให้มีเสียงดังฉ่าๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงพึมพำท่องบ่นคาถาเป็นภาษาที่หล่อนไม่มีวันรู้ความหมาย ไฟลุกไหม้เผาเทียนจนเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งเล่มแล้วนั่นแหละ หลวงตาคำผุยจึงได้จุ่มปลายเทียนติดไฟลงไปในน้ำ ดับไฟ ซึ่งเป็นอาการบ่งบอกว่าพิธีเสกน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
หลวงตาคำผุยบอกให้หล่อนนำถังน้ำฝนซึ่งหล่อนตักจากโอ่งเก็บน้ำแล้วหาบมาจากบ้านลงไปตั้งวางไว้ที่เพิงไม้ข้างกุฏิ ซึ่งได้รับการจัดแต่งไว้ด้วยไม้ฟากสองสามแผ่นกว้างประมาณศอก ยาวเกือบวาผู้ใหญ่ มุงด้วยสังกะสีเขลอะสนิม พอเป็นที่บังแดดได้เล็กน้อยเท่านั้น ที่แห่งนี้หลวงตาทำไว้เพื่อให้เป็นที่นั่งสำหรับประชาชนที่มาเพื่อขอให้หลวงตาคำผุยอาบน้ำมนต์ให้ พร้อมกับบอกให้หล่อนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยผ้าถุงนุ่งกระโจมอกที่หล่อนเตรียมมา หล่อนนั่งลงบนไม้ฟาก เหยียดเท้าไปข้างหน้า พนมมือตั้งใจอธิษฐาน อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้การอาบน้ำมนต์ครั้งนี้เป็นไปตามความปรารถนาของหล่อน สายตาของหล่อนจ้องมองที่ปลายนิ้วเท้า ไล่เรื่อยไปถึงพื้นดินรอบๆ นั้นซึ่งมีร่อยรอยน้ำไหลและหยดน้ำตาเทียนจำนวนมากทั้งเก่าและใหม่ ประชาชนคงเข้ามาให้หลวงตาคำผุยอาบน้ำมนต์เพื่อชีวิตจะได้เป็นเหมือนดังคำอธิษฐานเป็นจำนวนหลายคนในแต่ละวัน ไม้ฟากที่หล่อนนั่งเหยียดเท้าอยู่นั้นก็ผุกร่อน ชื้นน้ำอยู่ตลอดเวลา หล่อนคิดไปถึงคำว่าหัวกระไดไม่เคยแห้ง แล้วก็ต้องอมยิ้มกับความคิดของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องรีบปัดความคิดเช่นนั้นออกไปจากห้วงคำนึงทันที บ้าจัง คิดออกมาได้ยังไง ดุความคิดของตัวหล่อนเองในใจแล้ว หล่อนจึงพนมมือมั่น ตั้งสติอีกครั้ง แม่ของหล่อนกำชับก่อนมาว่า ขณะที่หลวงตาเทน้ำขันแรกลงรดราดบนศีรษะนั้น ให้หล่อนนึกถึงแต่สิ่งดีงามที่เกิดขึ้นกับตัวเองหรือให้ภาวนาถึงบุญกุศลที่เคยกระทำ แม่กำชับหนักหนาแต่หล่อนก็ทำลืมเสียแล้วหรือ ช่างบ้าแท้เทียว
หลวงตาคำผุยเดินถือบาตรน้ำมนต์มาที่หล่อน เทน้ำในบาตรลงในถังทั้งสองใบ พร้อมกับก้มลงเป่าลมลงไปด้วย เสร็จแล้วจึงใช้ขันกวน จ้วงตักน้ำจากถึงใบหนึ่ง เทผสมกับน้ำในถังอีกใบ แล้วทำสลับข้างกันสองสามครั้ง ในระหว่างนั้นก็ท่องบ่นคาถาเป่าลมลงไปในถังน้ำแต่ละใบพร้อมกันไปด้วย
ในระหว่างนี้ จิตใจของหล่อนตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับคำอธิษฐานเท่านั้น พยายามนึกถึงบุญกุศลที่เคยกระทำมาแล้ว สายน้ำหยาดแรกที่ไหลราดจากกระหม่อมลงสู่เนื้อตัวเย็นวาบ ซึมลึกเข้าไปถึงหัวใจ ร่างของหล่อนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความเย็นของน้ำ แต่ละขันน้ำที่หลวงตาคำผุยเทราดลงบนร่างนั้น หล่อนภาวนาถึงแต่คำอธิษฐานและความตั้งใจเริ่มแรกที่นำพาให้หล่อนหาบน้ำมาหาหลวงตาถึงในวัด
ดวงตะวันกำลังคล้อยต่ำลง แสงแดดก็กำลังอ่อนลง เย็นย่ำของวันในเดือนพฤศจิกายนกำลังคืบคลานเข้ามาเหมือนจะกลืนกินหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศเข้าไปในท้องแห่งความมืดมิดของกลางคืน ความมืดกำลังคืบคลานเข้ามาสู่หมู่บ้าน
ลมเย็นหวีดหวิวพัดยอดใบหูกวางเสียงดังกรูกราว สายลมหนาวแห่งเดือนพฤศจิกายนพัดโบยโบกเดินทางเข้ามาสู่หมู่บ้านหลายวันแล้ว ความหนาวเหน็บกระหน่ำแส้โบยลงบนผิวเนื้อจนแห้งผาก ดวงตะวันค่ำคล้อยลงเรื่อยๆ หล่อนนั่งมองใบหูกวางสีส้มแห้งกรอบที่หล่นเกลื่อนอยู่บนพื้นดินรอบๆ ความหนาวเหน็บดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของหล่อนดับลงได้ เหงื่อชื้นฝ่ามือทั้งสอง จนบางครั้งเมื่อหล่อนรู้สึกตัวว่ากำลังกำมือแน่นแล้วจึงปล่อยคลายออกนั่นแหละ เหงื่อที่ชื้นจึงได้แห้งลง แต่ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะหล่อนจะเผลอกำมืออีกครั้งด้วยความรู้สึกร้อนรนอยู่ภายในหัวใจ
ลมหนาวแห่งเดือนพฤศจิกายนไม่ได้ทำให้หล่อนรู้สึกคลายร้อนรนได้เลย
หล่อนออกจากบ้านมาเพื่อรอคอยพบเขาที่ต้นหูกวางเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำสายที่ยาวที่สุดในประเทศ สายน้ำไหลเอ่อเกือบถึงฝั่ง ในเวลาย่ำค่ำเช่นนี้มองดูน่ากลัวเหมือนมีความลึกลับบางอย่างซ่อนอยู่ภายใต้ ถึงแม้สายน้ำจะไม่ไหลโถมถั่งดังน้ำในฤดูฝนแต่ก็ยังน่ากลัว หล่อนหวาดกลัวสายน้ำเสมอเมื่อจ้องมองอยู่เพียงลำพัง กระทั่งตอนนี้หล่อนยังรู้สึกหวาดกลัว เขามาพบและจากหล่อนไปในคืนวันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายนที่ลมหนาวยังคงพัดกรูกราว ต้องยอดใบหูกวางส่งเสียงเกรียวกราว หล่อนพยายามที่จะเหนี่ยวรั้งร่างกายและหัวใจของเขาไว้ด้วยความรักและร่างกายของหล่อน แต่ก็เป็นเหมือนดังใบหูกวางสีส้มที่ถูกสายลมหนาวพัดโบกให้ปลิดปลิวจากขั้ว ลอยคว้าง หล่นลงบนผิวน้ำแล้วลอยหายไป
เสียงร่ำลือล่องลอยครอบคลุมทุกพื้นที่ของหมู่บ้านอย่างรวดเร็วปานประหนึ่งสายลมหนาวแห่งเดือนพฤศจิกายนที่พัดพาความเหน็บหนาวเข้ามาห่มคลุมหมู่บ้านเอาไว้ วันเวลาทอดห่างออกไป ปีเดือนเคลื่อนผ่านเลยไป เสียงร่ำลือยังคงล่อยลอยครอบคลุมหมู่บ้าน ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปหาได้ทำให้ถ้อยคำร่ำลือเปลี่ยนไปตามด้วยเลย
ชาวหมู่บ้านต่างพูดกันทั่วไปว่าเป็นด้วยเขาทิ้งหล่อนไปแล้วและไม่มีวันที่จะหวนกลับคืนมาอยู่กับหล่อนอย่างแน่นอนจึงทำให้หล่อนเพ้อคลั่ง ทำกับตัวเองได้ถึงเพียงนี้ จะมีก็เพียงแต่แม่ของหล่อนเท่านั้นที่ยังเพียรพร่ำบอกหล่อนอยู่ทุกคืนว่าเขาจะกลับมาหาหล่อน กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับหล่อน แม้ดูเหมือนการรอคอยอันยาวนานของหล่อนจะเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่หล่อนกลับไม่เคยคิดท้อ วันและคืนยังผ่านพ้นไปด้วยหัวใจฟูฟ่อง
หล่อนกำลังจ้องมองสายน้ำด้วยความรู้สึกหวาดกลัว สับสนและครุ่นคิดถึงการกลับมาของเขา เพ่งสายตาออกไปสู่ความเวิ้งว้างของแม่น้ำเบื้องหน้า เหมือนว่าหล่อนหวาดผวา กล้าและกลัวในขณะแห่งความรู้สึกเดียว หล่อนบอกกับตัวเองว่ามองเห็นเขาลอยอยู่กลางแม่น้ำ เขากำลังกระเสือกกระสนเพราะกำลังจะจมน้ำตาย หล่อนมองเห็นสายตาขอความช่วยเหลือจากเขา หล่อนได้ยินแม้กระทั่งเสียงเต้นแรงของหัวใจเขา เท่าที่หล่อนยังคงรู้สึกและจดจำเหตุการณ์นี้ หล่อนรู้ว่าตัวเองได้กระโจนลงไปในความมืดของแม่น้ำสายนั้น
ในทุกๆ เย็นย่ำของวันที่ลมหนาวแห่งเดือนพฤศจิกายนพัดโชยโบยโบก หล่อนหวังว่าเขาจะกลับมาหาหล่อน ใช่สิ! เขาบอกให้หล่อนมาเฝ้ารอใต้ร่มหูกวางเก่าแก่ต้นนี้ เขาจะกลับมาเหมือนดังที่สายลมที่กลับมาเยือนหมู่บ้านเมื่อเดือนปีเคลื่อนคล้อยถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
เมื่อน้ำในถังทั้งสองใบเหลือน้อยจนไม่สามารถใช้ขันจ้วงตักได้อีก หลวงตาคำผุยจึงยกถังน้ำขึ้น ยกเท้าขวาขึ้นเหยียบลงบนกระหม่อม เทน้ำราดลงตามไป หยดเทียนจำนวนหนึ่งติดอยู่ตามเส้นผม หลังไหล่และชายผ้าถุงที่รัดกระโจมอกของหล่อน หลวงตาบอกให้หล่อนเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าดังเดิม ส่วนตัวเองเดินกลับมานั่งบนอาสนะ หยิบด้านสายสิญจน์ที่เตรียมไว้ผูกข้อมือขึ้นมากำไว้พอหลวมๆ เสกเป่าคาถาลงในด้ายผูกข้อมือ ใช้ฝ่ามือทั้งสองคลึงเส้นด้ายเบาๆ จนม้วนเข้ากันเป็นก้อนกลม
หล่อนเดินกลับมานั่งลงกราบสามหน แล้วใช้มือซ้ายต่อศอกมือขวา หงายฝ่ามือ ยื่นออกไปเพื่อให้หลวงตาผูกข้อมือ หลวงตาคำผุยดึงเส้นด้ายให้ตึง วางขวางกับข้อมือของหล่อน ลากรูดไปมาแล้วจึงไขว้ปลายเส้นด้ายสลับกัน ผูกเงื่อนทั้งสอง เป็นสองครั้งแล้วบิดหมุนปลายด้ายให้เป็นเกลียว ปากก็เป่าลงไปบนข้อมือขวาของหล่อน
หายแล้วๆ หลวงตาคำผุยบอกหล่อน
เสร็จแล้วผูกข้อมือซ้ายอีกครั้งด้วยอาการเช่นเดียวกัน
หายแล้วๆ
ถึงวันนี้แล้ว มีเพียงแม่เท่านั้นที่ยังเข้าใจถึงหัวใจแห่งการรอคอยของหล่อน จึงได้แนะนำให้หล่อนมาหาหลวงตาคำผุยและหล่อนไม่ปฏิเสธคำแนะนำของแม่ ขณะที่ความมืดกำลังโรยตัวเข้าปกคลุมหมู่บ้าน หัวใจของหล่อนเบาลอย เดินหาบถังน้ำเปล่าสองใบกลับคืนสู่บ้านรู้สึกเบิกบานยิ่งนัก
หล่อนเผลอทำเสียงร้องเพลงเบาๆ ในลำคอ ถ้าเพียงแต่หล่อนจะมีลูกสักคน.