เรื่องสั้น

นายแรง

by Pookun @March,20 2007 08.13 ( IP : 124...170 ) | Tags : เรื่องสั้น

นายแรง ชาคริต โภชะเรือง

1 ผมว่าชีวิตเราอยู่ท่ามกลางแรงเหวี่ยงประหลาด มันพร้อมจะเล่นงานเรา หันเหชีวิตไปสู่เส้นทางใหม่ๆที่แปลกเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา และก็มีหลายครั้งที่เส้นทางนั้นวกวน พาเรากลับมาสู่ที่เดิม ผมสงสัยในความสัมพันธ์ชนิดนี้ ผมจะต้องหาคำตอบให้ได้ ผมไม่อยากให้โลกเหยียบเราไว้ในอุ้งเท้า!

2 กาลครั้งหนึ่งที่เมืองพัทลุง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอยู่ด้วยกันมาเป็นเวลาช้านาน แต่ยังไม่มีลูก  ทั้งสองพยายามบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้มีลูก แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถมีลูกได้ จึงพากันไปหาท่านสมภารที่วัด ท่านสมภารจึงแนะนำให้ไปหยิบกรวดที่ริมบ่อน้ำมาก้อนหนึ่ง ให้นำไปห่อผ้าขาววางไว้ใต้หมอน แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอลูก  ไม่ช้าภรรยาก็ตั้งครรภ์ กินอาหารได้มากผิดปกติ ยิ่งท้องแก่ยิ่งต้องการเพิ่มอาหารมากขึ้น เมื่อคลอด ทารกเป็นผู้ชาย ชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู เพราะทารกโตเกือบเท่าเด็ก 1 ขวบ กินนมแม่อยู่ตลอดเวลา เด็กคนนี้โตวันโตคืน กินอาหารจุ น้ำนมแม่ไม่พอเลี้ยงต้องต้มข้าวให้กินมื้อละ 1 กระทะ กินกล้วยครั้งละ 10 หวี ในที่สุดพ่อแม่ต้องยากจนลง จึงคดที่จะฆ่าลูกชายเพราะไม่สามารถที่จะเลี้ยงต่อไปได้ เช้าวันหนึ่งพ่อจึงชวนลูกชายไปตัดฟืนในป่า พ่อลงมือโค่นต้นยางขนาดใหญ่ พอต้นยางใกล้จะล้มก็เรียกลูกให้เข้ามารับ จึงถูกต้นยางล้มทับจมลงไปในดิน พ่อคิดว่าลูกตายแล้วจึงกลับบ้าน อนิจจา ! ตกตอนเย็นลูกชายกลับแบกต้นยางกลับมาวางไว้ที่หน้าบ้าน ชาวบ้านแตกตื่นกันมาดู ต่างเรียกชื่อเด็กชายคนนี้ว่า “นายแรง”
ครั้งหนึ่งมีเรือสำเภาเข้ามาค้าขาย พ่อแม่คิดจะฆ่านายแรงอีก จึงได้ฝากนายแรงไปกับเรือสำเภา เรือแล่นออกสู่ทะเลเป็นเวลาหลายวัน อาหารที่มีอยู่ไม่พอกิน พ่อค้าจึงหลอกให้นายแรงลงจับปลาโลมาแล้วแล่นเรือหนีไป แต่นายแรงยังโชคดีที่พบเรือที่จมอยู่ใต้น้ำ จึงกู้เรือนั้นขึ้นแล้วนั่งเรือกลับบ้าน พ่อแม่ของนายแรงเกิดสำนึกผิดที่คิดจะฆ่าลูก ก็เลยเต็มใจเลี้ยงลูกถึงจะประสบกับความยากจน นายแรงสงสารพ่อแม่ที่ตนเองเป็นสาเหตุทำให้พ่อแม่ยากจน จึงรับอาสาทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าชาวบ้านจะขอความช่วยเหลือในเรื่องอะไร เพื่อแลกกับอาหารมาเลี้ยงพ่อแม่ วันหนึ่งนายแรงจับโจรที่เข้ามาปล้นวัวควายในหมู่บ้านได้ถึง 4 คน ทำให้โจรกลุ่มอื่นๆ หวาดกลัวไม่กล้าเข้ามาปล้นในหมู่บ้านอีก นายแรงจึงเป็นที่รักของชาวบ้านทั่วไป ได้นำวัวควายมาให้นายแรงนำไปเลี้ยง
นายแรงนำวัวไปเลี้ยงไว้ที่เชิงเขาลูกหนึ่ง ปัจจุบันเรียกว่า เขาหลักโค ได้นำไก่ไปเลี้ยงไว้ที่เขาลูกหนึ่ง เรียกว่า เขาหลักไก่ นำควายไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่ เรียกสถานที่นั้นว่า คอกควายนายแรง หมู่บ้านที่นายแรงอยู่มีช้างป่าออกมาอาละวาด ทำลายเรือกสวนไร่นาชาวบ้าน มีจ่าโขลงตัวหนึ่งมีความดุร้ายมาก ออกมาถอนต้นไม้ พังบ้านเรือนราษฎรอยู่เสมอ นายแรงรับอาสาจับช้างตัวนั้น แล้วโยนไปตกที่จังหวัดสงขลา กลายเป็นเขาลูกหนึ่งเรียกว่า เขาลูกช้าง เมื่อพ่อแม่นายแรงเสียชีวิตแล้ว นายแรงได้ย้ายไปอยู่ที่ เขาหลักโค นายแรงเป็นคนที่ชอบกินเนื้อแลน(ตะกวด) วันหนึ่งๆกินไม่ต่ำกว่า 10 ตัววันหนึ่งนายแรงไปหาแลนที่ตะแพน เขาปู่ เขาย่า ได้พบแลนตัวหนึ่ง นายแรงจึงขว้างมีดอีโต้ จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ทุ่งอ้ายโต้ แลนแล่นผ่านบ้านลานแยะ บ้านพังดาน บ้านปากเลน เขาโต๊ะบุญ บ้านพังโย ทางที่แลนวิ่งผ่านกลายเป็นคลอง ชาวบ้านเรียกว่า คลองห้วยแลน แลนยักษ์แล่นลอดเข้าไปทางใต้เขาพนมวังก์ ไปซ่อนตัวอยู่ในโพรงหินทางด้านทิศตะวันตกของเขาเมือง นายแรงขุดด้วยจอบโดยมีหมาช่วยขุดคุ้ยหิน ชาวบ้านเรียกตรงนั้นว่า หินรอยหมากัด จนถึงเที่ยงวัน นายแรงยังจับแลนตัวนั้นไม่ได้  จึงใช้หมาไปเอาข้าวห่อที่บ้านเขาหลักโค ตนเองขุดต่อไป มีก้อนหินมหึมาขวางด้ามจอบ นายแรงจึงดันหินนั้นให้ออกห่างไปทางทิศตะวันตก กลายเป็นเขาลูกหนึ่ง ชาวบ้านเรียกว่า เขารุน ส่วนหินที่เกิดจากการขุดคุ้ย ชาวบ้านเรียกว่า ขี้จอบนายแรง เมื่อนายแรงจับแลนยักษ์ได้ก็ฟาดกับเขาอีกลูกหนึ่ง เลือดแลนยักษ์ไหลอาบหน้าผาเป็นสีแดงฉาน ชาวบ้านเรียกเขาลูกนั้นว่า เขาแดง นายแรงนำหนังแลนไปตากที่กลางทุ่งนาทางทิศตะวันตกของเขาพนมวังก์ ที่นั้นจึงเรียกว่า ทุ่งขึงหนัง นายแรงมักจะเดินทางไปเอาวิ่งของที่ตนต้องการในที่ไกลๆ เพราะเขาไปมารวดเร็ว วันหนึ่งนายแรงเป็นห่วงควายที่นำไปเลี้ยงไว้ที่เกาะใหญ่ จึงออกเดินทางไปเกาะใหญ่ ได้หุงข้าวต้มไก่ที่แหลมแห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า แหลมไก่ฟู่ ลมพัดจัดไม่สามารถหุงข้าวต้มไก่ได้ จึงเลื่อนไปหุงที่ริมเนิน เมื่อกินอาหารเสร็จก็ทิ้งหม้อข้าวหม้อแกงไว้ที่นั่น จึงได้ชื่อว่า ควนตั้งหม้อ ต่อมาเมืองขึ้นของไทยทางมลายูเกิดแข็งเมือง นายแรงอาสาไปรบศึกครั้งนี้ด้วย นายแรงเป็นกองหน้าบุกตะลุยข้าศึกจนได้ชัยชนะ นายทัพฝ่ายไทยเห็นว่านายแรงมีฝีมือยอดเยี่ยมมีกำลังมาก จึงแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง  ครั้งนั้นทางเมืองนครศรีธรรมราชกำหนดบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในเจดีย์ และจัดงานเฉลิมฉลองใหญ่โต บรรดา 12 หัวเมืองปักษ์ใต้ต่างก็นำเงินทองไปบรรจุในพระบรมธาตุ เมืองที่นายแรงเป็นเจ้าเมืองก็เป็นเมืองขึ้นนครศรีธรรมราชด้วย ประกอบกับนายแรงมีความศรัทธาในพุทธศาสนา จึงขนเงินทองเป็นจำนวนมากถึงเก้าแสนบรรทุกเรือสำเภา พร้อมด้วยไพร่พลออกเดินทางไปเมืองนครศรีธรรมราช ขณะกำลังเดินทางเรือสำเภาถูกคลื่นลมชำรุด จึงเข้าจอดเรือที่ชายฝั่งหาดทรายแห่งหนึ่งเพื่อซ่อมแซมเรือ พอได้ทราบข่าวว่าทางเมืองนครศรีธรรมราชได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว นายแรงเสียใจมาก จึงให้ไพร่พลขนเงินทองบรรจุไว้บนยอดเขาลูกหนึ่ง สั่งให้ลูกเรือตัดหัวของตนไปวางไว้ที่ยอดเขา นายแรงกลั้นใจตาย ลูกเรือจำใจตัดหัวเจ้านายไปวางไว้บนยอดเขาตามคำสั่ง
เขาลูกนี้ภายหลังเรียกว่า เขาเก้าแสน และเรียกเพี้ยนไปเป็นเก้าเส้ง ก้อนหินที่ปิดทับอยู่บนยอดเขา เรียกว่า หัวนายแรง ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของนายแรงยังเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์อยู่ที่เขาเก้าเส้งมาจนถึงทุกวันนี้

3 มิถุนายนปีนั้น ครบรอบวันตายของโตมร ผมกับรัมภาไปทำบุญที่วัด  รัมภาถือพวงมาลัยสีแดงสด ผมถือถังสังฆทานใบย่อม เราเดินตรงไปยังโบสถ์พระนอน ตะวันยามบ่ายสาดแสงไปทั่วลานทรายขาวแผ่กว้างละลานตา ป่ายางยืนต้นครึ้มอยู่อีกฟากหนึ่ง ด้านซ้ายมือของผมมีหุ่นพระ 9  รูปกำลังเดินบิณฑบาต  ตั้งขบวนเป็นวงกลม และหมุนด้วยกลไกที่วัดสร้างขึ้น เสียงระฆังที่แฝงไปด้วยสำเนียงของความตายอันเย็นยะเยือกกังวานขึ้นที่ไหนสักแห่งทำให้ผมหนาวสะท้านหัวใจ ผมรู้สึกได้ถึงสายลมที่กำลังพัดโชย
เรามาถึงวัดที่มีพระนอนองค์ใหญ่  ผมรู้สึกตัวเองถูกข่มจนตัวเล็กลงไร้ค่า “ว๊าว !  สวยจัง ทำไมใหญ่โตมโหฬารเพียงนี้ ทำไมฉันจึงไม่เคยมาที่นี่เลยนะ ดูสิ พระพุทธรูปนอนองค์นี้ เอ่อ...เขาเรียกว่าปางไสยาสน์หรือเปล่า ปางที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปสู่นิพพาน ใช่ไหม”
“ใช่”
เราเดินไปไหว้พระพุทธรูปที่อยู่ด้านหน้าพระนอนใหญ่
ท่ามกลางควันธูปที่ลอยกระจาย ผมรู้สึกเหมือนในโลกนี้ คนอื่นๆแม้กระทั่งทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าไร้ความหมาย บัดนี้ถูกหมอกควันบางๆนี้บดบังจนหมดสิ้น วินาทีนี้มีเพียงเราสองคน
“พลเธอดูนี่สิ พระพุทธรูปปางสมาธิองค์นี้ใบหน้าอิ่มเต็ม แฝงความสงบเยือกเย็น ฉันก้มลงกราบพระ พอเงยหน้าขึ้นมา ฉันรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงระฆังแว่วมาในวินาทีนั้น พร้อมๆกับได้ยินคำพูดของใครไม่รู้ลอยมากระซิบ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังเข้ามาสู่โลกอีกใบหนึ่ง” ผมไม่พูดอะไร “จริงๆนะ ฉันคุ้นกับวัดนี้อย่างบอกไม่ถูก วันหนึ่งหากฉันเป็นอะไรไป ฉันจะมาอยู่ที่นี่” รัมภากระซิบ
“บางทีฉันอาจจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานก็ได้” หล่อนพูดขึ้นอีก หล่อนเคยบอกผมว่า ถ้าวันหนึ่งหล่อนเป็นอะไรไป หล่อนไม่ยอมให้ตัวเองเป็นภาระของใคร หล่อนจะขอเป็นฝ่ายจากไปอย่างเงียบสงบ ผมไม่มีอารมณ์ที่จะถกโต้หาเหตุผลในตอนนั้น และไม่อยากให้รัมภาเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก จึงชวนหล่อนเดินเข้าไปข้างในพระนอนองค์ใหญ่ เราเดินอ้อมหัวพระนอน วกเข้าไปด้านหลังที่มีนั่งร้านกำลังก่อสร้าง ทางเข้าเป็นประตูแคบๆ กว้างราว ๆสามเมตร ข้างในนั้นถูกออกแบบสร้างไว้เป็นที่บรรจุกระดูก ตอนที่เราเดินเข้าไป ขณะผมก้มลงถอดรองเท้า มีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียกลุ่มใหญ่เดินสวนออกมา
ผมเดินอ้อมหลังพระประธาน ตรงไปหยิบบัวบรรจุกระดูกของโตมรออกมาจากช่องบรรจุ  หลังจากทำบุญกรวดน้ำให้แล้วเสร็จ รัมภาเดินสำรวจไปรอบๆ
เราเดินผ่านช่องบรรจุกระดูกที่มีอีกนับร้อยช่อง ผมพารัมภาเข้าไปจุดธูปกระดูกของพ่อ มีเพียงบางช่องเท่านั้นที่เว้นว่างไว้ กลิ่นธูป กลิ่นเทียน กลิ่นดอกไม้ กลิ่นน้ำอบร่ำ ลอยตลบอบอวล เราก้าวเดินอย่างสงบสำรวม จับตามองแทบทุกช่องที่มีรูปถ่ายของคนตายประดับไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพถ่ายขาวดำ พร้อมกับลายมือบรรจงบันทึกวันเกิดและวันตายของผู้ตาย แขวนไว้เรียงราย
“ความตายมันก็เรียบง่ายเช่นนี้เองนะ” ผมได้ยินเสียงหล่อนรำพึง “เธอลองคิดดูสิ คนเหล่านี้ครั้งหนึ่งเคยมีลมหายใจ ยิ้มหวัว พูดคุย สนุกสนานล้อเล่นกับคนอื่นๆ แต่แล้วเพียงชั่วพริบตา เขาก็จากโลกนี้ไป หายไปเหมือนกับว่าไม่เคยมีคนๆนี้อยู่ในโลกใบนี้” เราเดินผ่านประตูแคบๆ ออกมาสูดอากาศอันปลอดโปร่งข้างนอก
ใบหน้าของหล่อนขาวซีด ดวงตานิ่งลึกคู่นั้นมีแววประหลาด ทำอย่างไรนะที่จะช่วยให้หล่อนลบเลือนฝันร้ายไปจากชีวิต
“ฉันกลัว...”หล่อนกระซิบแผ่ว “จริงๆนะ มันเหมือนมีบางอย่างที่ฉันไม่รู้จัก แต่ฉันสัมผัสมันได้ มันเป็นเรื่องที่แปลก-แปลกเหลือเกิน เธอรู้ไหมว่าฉันไม่เคยมาที่นี่ แต่ฉันกลับรู้สึกว่าฉันคุ้นกับสถานที่แห่งนี้มาก มากเสียจนกระทั่งฉันกลัว” “เรากลับกันเถอะ” “ไปสิ” มาถึงรถหล่อนก็หยุดชะงัก กุมมือผมแน่น แล้วก็เพิ่มแรงบีบมากขึ้น
“เราไม่น่าจะมาที่นี่เลยใช่ไหม ฉันเสียใจ ฉันขออะไรสักอย่างได้ไหม”
ผมหยุดฝีเท้าด้วยความแปลกใจ
“ฉันอยากให้เธอสัญญาว่าเธอจะปล่อยฉันไป ถ้าหากวันหนึ่งเธอไม่รักฉันอีกต่อไป เธอจะต้องบอกฉันอย่างตรงไปตรงมาให้รู้ก่อนใคร ก่อนที่เธอจะทิ้งฉันไป สัญญากับฉันได้ไหม” จู่ๆรัมภาก็พูดขึ้น
แล้วหล่อนก็เงียบไป อะไรนะ อะไรทำให้หล่อนไม่เชื่อ...ผมไม่รู้ว่าหล่อนต้องการอะไร อะไรที่อยู่ในใจของหล่อน...หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่...ดวงตาของหล่อนเปี่ยมความลึกลับ ดำมืด มีบางสิ่งที่ผมไม่อาจหยั่งถึง แม้กระทั่งในยามที่หล่อนอยู่กับผม และมือของหล่อนกุมมือผมไว้แนบแน่น ผมรู้ว่าหล่อนกำลังต่อสู้กับตัวเอง ต่อสู้กับอดีตอันร้าวราน แน่นอนว่าหล่อนต้องการกำลังใจจากผม ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยให้หล่อนได้อย่างที่ต้องการ

4 วันต่อมา หล่อนก็แวะมาหาผม ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ฉันตั้งใจจะไม่กินยาอีกต่อไป ฉันจะบอกหมออาทิตย์นี้แหละ ขอให้หมอลดยาให้ฉัน” มีบางอย่างแปลกออกไป ดวงตาหล่อนสงบนิ่งปราศจากแววความแข็งกระด้าง ผมสังหรณ์ใจประหลาด
“น่าแปลกนะ เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้หากไม่มีคนที่ฉันรัก แต่เดี๋ยวนี้ฉันเข้าใจแล้ว คงวามรักไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตของฉัน”
ผมรู้สึกเหมือนหล่อนไม่ใช่รัมภาคนเก่า หล่อนเริ่มต้นง่ายๆ น้ำเสียงราบเรียบเหมือนคนที่ตัดสินใจได้แล้วขณะที่ผมยังก้าวย่ำลงอยู่กับที่
อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะเอ่ยปากบอกกับใครสักคนว่าเราไม่ได้รักกันอีกต่อไป ผมคิดว่ามันคงเจ็บปวดน้อยลงกว่าที่จะมีใครสักคนมาบอกผมว่า “เธอไม่ควรที่จะมาดูแลใคร” หรือไม่ก็ “ชั่วชีวิตนี้เธอดูแลฉันไม่ได้หรอกนะ” แต่ทำพูดประโยคไหนๆก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า ความจริงหลังจากวินาทีจบสิ้นคำพูดประโยคนั้นความหมายของมันทำให้ชีวิตเราทั้งคู่เปลี่ยนไป เส้นทางชีวิตมาถึงทางเบี่ยง แล้วแยกเราเดินไปคนละทางอย่างชนิดที่ไม่อาจกลับมาบรรจบกันอีก ผมไปเป็นเพื่อนหล่อนที่คลีนิค หน้าห้องหมอมีเคาน์เตอร์เล็กๆ พยาบาลคนหนึ่งมีหน้าที่จ่ายยา คนไข้วันนั้นไม่มาก มีผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางเซื่องซึม นั่งตัวแข็งทื่อ เด็กหนุ่มผิวขาวซีดอีกคนหนึ่งนั่งรอคิวหมอ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนป่วย
เราเดินออกมาจากคลีนิค หยุดแวะพักที่ร้านขายลูกชิ้น ผมสั่งชาเย็นกับลูกชิ้นเนื้อ หอยลวกอีกจานใหญ่ถนนหลังโรงแรมใหญ่เริ่มพลุกพล่าน หาดใหญ่เริ่มมีชีวิตตื่นจากหลับ ผมเดินกลับบ้านบอกตัวเองว่าจะต้องยอมรับความจริง แม้หัวใจจะแตกสลาย
“ฉันไม่อยากเป็นภาระของใคร จริงๆนะ” รัมภาพูด “ตราบใดที่ฉันยังคงเป็นคนป่วยอยู่อย่างนี้ ฉันจะรักใครไม่ได้ ฉันไม่อยากเห็นแก่ตัว ฉันไม่อยากให้เธอเสียเวลา ที่สำคัญ ฉันจะต้องเอาชนะมันให้ได้ ด้วยตัวฉันเอง” หล่อนไม่เอ่ยถึงโตมรแม้แต่นิดเดียว ผมสงสัยความหวาดระแวงที่ซุกซ่อนอยู่ในใจ ผมควรจะเป็นฝ่ายเยียวยาหล่อน แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม รัมภาทำให้ผมมองเห็นความป่วยไข้ที่แฝงอยู่ในใจตัวเองกระนั้นหรือ
ช่วงนั้นหล่อนเริ่มที่จะนัดพบจิตแพทย์น้อยลง
แน่นอนว่าจนถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่เคยได้ทำตามที่หล่อนต้องการ ผมเองเคยนึกฝันว่าวันหนึ่งข้างหน้ารัมภาจะจากผมไปง่ายๆ
แล้วหล่อนก็จากผมไปจริงๆ

5 ปลายฤดูฝนปีนั้น วันหนึ่ง เราตัดสินใจว่าจะบึ่งรถไปนอกเมือง เราขับรถไปเรื่อยๆ เกาะถนนนอกเมืองออกไปทางสทิงพระ ไปจนถึงเกาะใหญ่ ผมเลี้ยวซ้ายเข้าตัวอำเภอ มาถึงทางแยก ผมไม่รู้จะไปทางไหน ขวามือเป็นทุ่งโล่ง อีกฟากเป็นเวิ้งทะเลสาบ เป็นเกาะอันเงียบสงบ ตัวตลาดมีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่นคลี่ใบหนาปกคลุมเพิงร้านค้าทั้งสองข้างทาง ทอดเงาเป็นแนวยาว แม่ค้าชาวบ้านคนหนึ่งยืนขายขนมดู แผงร้านขายผักผลไม้มีคนเดินไปรุมล้อม ลังเลอยู่ชั่วครู่บนสถานที่แปลกหน้าที่เราไม่รู้จัก ผมตัดสินใจไปทางซ้าย ขณะเหยียบคันเร่งขึ้นสะพาน ผมพลันเกิดความรู้สึกประหลาด ผมถามตัวเองว่า แกมาที่นี่ทำไม? จู่ๆก็คล้ายกับมีบางสิ่งขวางกั้นผมไว้ ผมหันไปมองรัมภาที่กำลังทอดสายตาไปยังทะเลสาบอันเงียบสงบ เส้นทางทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าปลายทางไปสิ้นสุดที่ใด ผมจอดรถข้างทาง เดินลงไปสงบสติอารมณ์ในทุ่งหญ้า
ทุกย่างก้าวที่ย่ำไปข้างหน้า ผมรู้สึกเหมือนเผชิญแรงต้าน สับสน ไม่รู้ทิศทางที่จะเดินไป

6 วันหนึ่ง ผมกับรัมภาเรานั่งอยู่บนโขดหินริมทะเลที่เขานายแรง เราเหมือนนั่งทับชะตากรรมของตัวเอง มองท้องฟ้าเบื้องหน้าราวกับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ริ้วเมฆสีเทาแกมเหลืองและมีสีน้ำเงินแซมลอยเด่นเหนือท้องทะเลเบื้องหน้า ครู่เดียวท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองจาง มีเรือลำหนึ่งลอยลำอยู่ใกล้เกาะ หล่อนนั่งอยู่เคียงข้าง ในมือถือขนมร้านสองแสน ดวงตาจับจ้องไปยังท้องทะเลสงบงามเบื้องหน้า มีนกสองสามตัวโฉบบินอยู่เหนือท้องฟ้า หางเมฆก้อนหนึ่งชี้ตรงไปยังทะเล หล่อนสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ มีลายน้ำไหลหลากสีพาดกลางหน้าอก ตัดผมสั้น
เรามาจากถนนราษฎร์อุทิศซึ่งเต็มไปด้วยร้านขายดีงู กับตัวเดียวอันเดียวตุ๋น เราลอดใต้อุโมงค์เข้าไปในเมือง  พฤษภาทมิฬผ่านไปไม่นาน หาดใหญ่กลายเป็นเมืองใหญ่เต็มตัว โรงแรม คาราโอเกะ นวดแผนโบราณ ร้านอาหารผุดขึ้นหนาตา ผู้คน นักท่องเที่ยวเริ่มพลุกพล่าน
เราตรงไปแหลมสมิหรา เลี้ยวซ้าย เลียบชายทะเลไปเรื่อยๆ ผ่านรูปปั้นนางเงือก เราแวะไปใกล้ๆเก้าเส้ง ที่จอมพลสฤษ ธนะรัตน์ จอมพลผ้าขะม้าแดงเคยเดินทางผ่าน เดินขึ้นไปบนเขา ผ่านหัวนายแรง เผชิญหน้ากับท้องฟ้าอันกว้างไพศาล ทะเลสีเขียวจางๆเบื้องหน้าสงบนิ่งเวิ้งว้าง เผชิญหน้ายามเย็นอันเงียบสงบ
แดดเริ่มอ่อนตัว ผมมองเห็นเส้นตรงขอบฟ้าอย่างแจ่มชัด ท้องทะเลคลายจากสีครามมรกต ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ได้แบกเอาความทุกข์ ความสับสนนานาของชีวิตทิ้งไว้ก้นบึ้ง ผมเอนหลังลงนอนพริ้มตาหลับ “ผมรู้แล้วว่าทำไมเธอจึงอยากอยู่ที่นี่” ผมพูดกับรัมภา ผมรู้สึกว่าทะเลอันเวิ้งว้างเบื้องหน้า กำลังแปรเปลี่ยนเป็นร่างขาวซีดของชายคนหนึ่ง แล้วเขากำลังเขม็งจ้องมายังเราทั้งคู่ “เธอยังไม่ลืมเขาใช่ไหม” ผมกระซิบถามเสียงแผ่ว
ถึงรัมภาไม่ตอบ ผมก็รู้ดีแก่ใจ

7 ผมพาหล่อนไปเลือกอพาร์ทเมนต์ “เธอแน่ใจหรือว่าจะช่วยให้ฉันดีขึ้น” รัมภาเดินสำรวจไปรอบๆ ผลักประตูออก เดินตรงไประเบียง เมืองใหญ่อยู่ต่ำลงไปเบื้องล่าง “แน่นอน” ผมวางรูปตัวตลกหนังตะลุง เดินตามมาสมทบ ณ ใจกลางเมือง มองดูผู้คนที่เล็กราวกับมด ผู้คนที่คลุ้มคลั่งกับการหาเงิน ตึกรามบ้านช่องเบียดขนัดไร้ระเบียบ ถนนหลายสิบสายตัดผ่านไปมา เมื่อมองดูรถราที่วนเวียนอยู่รอบๆตัว ผมรู้สึกเหมือนเราบินอยู่บนท้องฟ้า อยู่ในเกาะที่ปลอดภัยที่สุด คืนหนึ่งในช่วงออกพรรษา ผมพาหล่อนไปนั่งฟังเพลง เราดื่มกันจนหนำใจ หล่อนจิบไวน์จนหน้าแดง ขณะที่ผมเริ่มมึนแทบทรงตัวไม่อยู่ หล่อนพยุงตัวผมขึ้นไปบนห้อง “โตมรมีดีตรงไหน”
ผมดึงแขนหล่อนมาแล้วกอดหล่อนไว้แนบอก “ทำไมเธอจึงรักเขา ทำไมเธอจะต้องเจ็บปวดเพราะเขา กับไอ้หอกหักที่ดีแต่ทำร้ายผู้หญิงนั่น” รัมภาหน้าแดงก่ำแล้วก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด คืนนั้นผมนอนกับรัมภา

8 วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 รัมภาชวนผมไปทำบุญที่วัด เราซื้อดอกไม้ธูปเทียน จากนั้นเราก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังวัดเกาะเสือใกล้บ้าน
คนเริ่มพลุกพล่าน อุโบสถอยู่อีกฟากหนึ่งของที่จอดรถ เราเดินเบียดแทรกคลื่นผู้คนผ่านประตูวัดเข้าไป คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวงเปล่งประกายอันเรืองรองจับฟากฟ้า อุโบสถหลังใหญ่ยืนตระหง่านอาบแสงของดวงจันทร์ รอบๆสว่างไสวไปด้วยแสงเทียน ควันธูปลอยตลบอบอวล แสงเทียนนับร้อยที่ปักไว้บนดินทราย รวมกันเปล่งแสงระยิบระยับเป็นเกร็ดแสงวิบวับสุกสกาวไปรอบโบสถ์ เราเดินวนไปรอบโบสถ์ ปักดอกไม้และธูปเทียนไว้บนพื้นดิน รัมภาก้มลงวางดอกไม้ลง ใบหน้าของหล่อนอาบแสงเทียนงามซึ้งน่าประหลาด
“ฉันทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้เขา ฉันอยากให้เขาไปสู่สุขคติ ไปในที่ดวงวิญญาณสงบสุขที่สุด เรื่องระหว่างเราฉันอโหสิกรรมให้หมดแล้ว” รัมภากระซิบ ผมขับรถมาส่งรัมภาที่อพาร์ทเมนต์

9 ผมไม่เข้าใจ นึกไม่ออกว่าทำไมผู้หญิงที่สดสวยมีเสน่ห์อย่างรัมภาจึงทุ่มเทใจให้กับผู้ชายอย่างโตมร ในเมื่อหล่อนก็เพียบพร้อมกว่าไปเสียทุกอย่าง ผมไม่เข้าใจกระทั่งวันหนึ่ง รัมภาบอกผมว่า “เพราะความรักไงล่ะ...” โตมรคนรักของหล่อนฆ่าตัวตายเพราะเข้าใจว่าหล่อนเปลี่ยนใจไปมีคนรักใหม่ ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่มากนัก รู้เพียงแค่ว่าโตมรโทรมาหาหล่อน พวกเขาทะเลาะกัน แล้วโตมรก็ฆ่าตัวตาย ฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่คือเรื่องจริง ! ที่แย่ก็คือเสียงปืนในวันที่โตมรฆ่าตัวตายนัดนั้นดังก้องอยู่ในหัวของหล่อน ทำให้รัมภามีอาการซึมเศร้า “มันทำให้ฉันกลายเป็นคนป่วย เธอเข้าใจฉันไหม” หล่อนพูดแล้วก็หัวเราะ
วันเวลาผ่านไป
ผมรู้สึกปวดร้าวที่ไม่อาจช่วยอะไรหล่อนได้ ผมเหมือนหัวใจด้านชา สมองว่างเปล่า ทำตัวไม่ถูก คืนหนึ่งหล่อนสะดุ้งตื่นกลางดึก “ฉันฝันร้าย...” หล่อนปาดเหงื่อที่ผุดพรายเต็มหน้าผาก หล่อนชันร่างลุกขึ้น สีหน้าขาวซีด
“ฉันฝันถึงโตมร...ฉันเห็นเขามาทวงสัญญา เขาต้องการให้ฉันไปอยู่กับเขา” ตอนนั้นเราใช้เวลาอยู่ด้วยกันช่วงสั้นๆ หล่อนเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ในตัวเมือง ทุกเย็นหลังเลิกงานผมจะไปขลุกอยู่ที่นั่น ช่วยหล่อนทำอาหารมื้อค่ำ ตำน้ำพริก เจียวไข่ รวกผัก หุงข้าวแล้วก็ทานมื้อค่ำด้วยกัน บางคืนผมก็แวะค้างที่นั่น

10 วันหนึ่งผมถามรัมภา “เราทุกคนเป็นใครกัน?” รัมภามองหน้าผมแปลกๆ
ผมไม่ตอบ
“ฉันเหมือนเป็นคนสองโลก จริงๆนะ เรามีชีวิตอยู่ก็เหมือนร้างไร้ตัวตน นึกไม่ออกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร โลกที่เราอยู่นี้ไม่ใช่โลกของเรา...มันเป็นของคนบางคนเท่านั้น-คนที่ทั้งเก่ง ทั้งฉลาด ทั้งร่ำรวย แล้วก็มีโอกาส สำหรับคนอย่างเรามันมีบางอย่างที่ขาดหายไปซึ่งฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร?...” ผมอยากจะบอกรัมภาอย่างนั้น
“แต่เราก็ไม่มีทางเลือก ทุกอย่างไม่อาจหยุดนิ่งอยู่กับที่ ฉันเข้าใจ...มันเหมือนเราต้องก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ว่าจะไปทางใด ชีวิตหมิ่นเหม่ประคองตัวอยู่บนสะพานเชือกที่พร้อมจะเปื่อยขาด มันแกว่งไกวไปมาอยู่ระหว่างสองฟากฝั่ง ฟากหนึ่งคืออนาคต อีกฟากหนึ่งคืออดีต ที่ไม่เคยทอดข้ามไปหากัน” “ฉันเข้าใจดี ทุกอย่างเป็นเพราะเรากำลังค้นหาตัวเอง ในโลกที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอันผิดเพี้ยนแปลกเปลี่ยน เราไม่ได้เกิดมาพร้อมความบริสุทธิ์ เราเหมือนเด็กที่เริ่มหัดพูด เราไม่ใช่มนุษย์คนแรกที่เกิดมาพร้อมโลก มีชีวิตมาได้ มาถึงวันหนึ่ง เราจึงพบตัวเองอยู่ท่ามกลางความสับสน...ว่าแต่เราควรทำอย่างไรกับชีวิตดี ถ้าหากเราไม่สามารถจัดการกับความผิดพลั้งในอดีตของเราได้”
“หือ เธอถามว่าอะไรนะ” รถผ่านตลาดสด ผมถามซ้ำอีกครั้ง
รัมภากำลังมองหาเบอร์โทรศัพท์ของเทวินทร์
“เราก็เก็บมันไว้สิ ไม่เห็นต้องไปทำอะไร เก็บแต่ความทรงจำดีๆเอาไว้ไง ส่วนความทรงจำไม่ดีเราก็ลบทิ้ง” หล่อนหัวเราะพูดอย่างไม่ยี่หระ “แล้วเธอล่ะ มีความทรงจำดีๆอะไรบ้าง” ผมถาม หล่อนเงียบไป ทุกวันศุกร์ตอนเย็น เราใช้เวลาว่างด้วยกัน หากไม่ไปชายทะเล เราก็แวะลงหาร้านกาแฟ ผมพบเพื่อนสมัยเรียนอีกคนที่นั่น สุวิทย์เป็นอาจารย์สอนสถาปัตย์ ภรรยาของเขามาเปิดร้านขายขนมปังกับกาแฟใกล้ๆกับช่องเขา “เธอลองคิดดูสิ ว่าคนรุ่นเรานี่แปลกไหม” ผมว่า หล่อนขอเมนู แล้วก็สั่งเค็กกาแฟมา 2 ชิ้น พร้อมกับชาเขียว “เหมือนกับว่ามีบางอย่างผลักใสไล่ส่งเราจากบ้านเกิด วันหนึ่งเราก็เดินทางออกจากบ้าน ไปอยู่ต่างถิ่นต่างที่ ทำให้เราไม่รู้สึกผูกพันกับบ้าน” “แล้วไง?” “ฉันอยากรู้ว่าคนเราจำเป็นไหมที่จะต้องผูกพันผูกยึดอยู่กับบางสิ่งบางอย่าง” รัมภานิ่งคิด รากเหง้าทำให้เรารู้จักตัวเอง รู้ที่มาที่ไป แต่ไม่จำเป็นจะต้องยึดติด เพราะโลกนี้กว้างนัก กว้างกว่าที่ตัวเราจะคาดคิด ผมบอกรัมภา “อือ แล้วสุดท้ายเรามีเพื่อนที่รู้จักกันจริงๆสักกี่คน?” “ว่าแต่จะให้รู้จักแบบไหนล่ะ เพื่อนกิน? เพื่อนเที่ยว? เพื่อนตาย?” “เพื่อนที่สนิทสนมกันจริงๆ” รัมภานิ่งคิดแล้วก็ตอบ “น้อยมาก” “ใช่” เราเงียบไปครู่หนึ่ง “แล้วเธอว่าเป็นเพราะอะไร” ผมถาม รัมภารับจานเค้กจากเด็กเสิร์ฟแล้วมองหน้า
“ก็เพราะว่าเราต่างไม่เป็นตัวของตัวเอง เราไม่เคยพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ เป็นอยู่ เราไม่รู้จักตัวเอง เราบอกใครต่อใครว่าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิต”
“แล้วอะไรที่ดีที่สุดรึ?” เราเงียบไปอีก  ความที่เราคิดว่าเราเป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ ความต้องการในชีวิตก็เพียงความสุขอันเรียบง่าย สมถะ ใครเลยจะคิดว่า ชีวิตในยุคสมัยนี้ไม่ได้ให้เราได้ง่ายๆ ไม่มีอะไรที่จะได้มาง่ายๆโดยไม่รู้จักความเจ็บปวดจากการสูญเสีย

11 ผมรู้ดีว่าต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลที่จะพาตัวและหัวใจก้าวทะยานไปข้างหน้า และหยัดยืนให้มั่นคงต่อแรงเหวี่ยงที่พร้อมจะถาโถมใส่ชีวิต ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมก็ต้องทำ iรัมภาก็เช่นกัน... สำรวจเส้นทางที่ผ่านมา ผมได้แต่บอกตัวเองว่าเราอาจมือใหม่เกินไปสำหรับการเดินทาง  เราดันทุรังเดินไปข้างหน้า ก้าวไปเรื่อยๆ จนเมื่อพานพบพายุแห่งชะตากรรมที่ซัดกระหน่ำ เราก็มุทะลุดุดันฝ่าไปไม่ยั้งคิด ในท่ามกลางกระแสแรงเหวี่ยงอันหนักหนาสาหัส เราปราศจากเครื่องมือ เครื่องทุนแรง ที่พอจะช่วยผ่อนกำลัง เรามีเพียงร่างกายและหัวใจดวงร้าวที่สั่นไหว และมีแต่บาดแผลที่จะยืนต้าน
อีก 3 ปีต่อมา หลังจากลังเลใจอยู่นาน ต้นปีของปีนั้น ผมตัดสินใจไปหารัมภา ! ที่เขาลูกช้าง ผมแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง  หล่อนนอนอยู่บนแคร่ไม้เตี้ย ร่างบอบบางผ่ายผอมรองด้วยเตียงน้ำอ่อนนุ่ม เผยแขนขาทั้งสองข้างแนบร่าง-ร่างเหมือนตุ๊กตาพิการนั้นมีเพียงใบหน้าอิ่มเต็มที่ยังเหมือนเดิม หล่อนเอียงคอออกปากให้ผมช่วยพยุงขึ้นนั่งพิงกับผนัง ผมถอยออกมานั่งบนเก้าอี้หวายริมประตู “เมื่อสองวันก่อน ฉันฝันถึงเธอ พอตื่นขึ้นมาฉันคิดว่าชาตินี้ฉันคงจะไม่เห็นหน้าเธออีกแล้ว” หล่อนพูด “แม่ๆ มาดูสิว่าใครมา หาอะไรมารับแขกหน่อย...” ดวงตาหล่อนสะท้อนแสงยามบ่าย สีหน้าหล่อนแดงระเรื่อ ก้มลงดูตัวเองในซ่อนอยู่ในเสื้อคอกระเช้าหลวมโพรก ภายในห้องรายล้อมด้วยผนังสีขาวขุ่นเปล่าเปลือยยังไม่ได้ทาสี มุมหนึ่งมีหิ้งพระบูชาและภาพถ่าย’ในหลวง’ วางเด่นลอยออกมาจากมุมสลัว ใต้เขากวางนอกจากชั้นวางของกระจุกกระจิกก็มีเพียงทีวี. 14 นิ้วเครื่องเดียววางอยู่บนตั่งไม้ “ได้ข่าวว่าเธอเจ็บหนักเข้าโรงพยาบาล...ว่าแต่เธอออกมาจากโรงพยาบาลนานหรือยัง” ผมถามด้วยเสียงเบาหวิว “ห้าวันแล้ว” ผมบอกหล่อนไปว่าเทวินทร์สามีของหล่อนแวะมาหาผม แต่หล่อนก็ไม่พูดอะไร “ตอนนี้ฉันไม่คิดอะไรมากแล้วล่ะ ใจฉันมันด้านชาหมดแล้ว ว่าแต่เธอเหอะ สบายดีหรือ” ครั้นแล้วก็เหมือนนึกขึ้นได้ ดวงตาหล่อนมองผมแปลกๆ “ว่าไง วันนี้มาเยี่ยมฉันหรือว่าแวะมาแจกการ์ดแต่งงาน...” “แต่งงานรึ บ้าน่า...”ผมสั่นหน้า “ยังไม่มีใครอยากแต่งงานกับฉันจริงๆหรอก” ผมเน้นตรงคำว่า ‘ไม่มีใคร’ เป็นพิเศษ สักครู่ต่อมา หญิงชราเดินถือแก้วน้ำกับกล้วยหอมมาวางให้ “ได้ข่าวว่าออกจากงานแล้วรึ” “ครับ” “แล้วตอนนี้ทำอะไรล่ะ” ผมไม่ทันได้พูดอะไร โนราก็แทรกขึ้นว่า “แม่น่ะจะรู้ไปทำไม” “อ้าว แกนี้ถามแปลกๆ แม่ก็อยากรู้ตามประสาแม่น่ะสิ ไม่ถามก็ได้วะ” ดวงตะวันกำลังจะคล้อยลับขอบฟ้า ผมได้ยินเสียงจักจั่นเซ็งแซร่ขึ้น ผมถามตัวเองว่ามาที่นี่ทำไม ผมต้องการอะไรรึ
12 ช่วงสงกรานต์ผมแวะไปหารัมภาอีกครั้ง  อาการหล่อนทรุดหนักมากขึ้นไปอีก ร่างกายที่เคยสวยงาม ดึงดูดสายตาคนดู เริ่มตายด้านไร้ความรู้สึก ผมนั่งมองหล่อนเหมือนจ้องดูความผิดพลาดในอดีตที่เราไม่อาจแก้ไขได้อีก ท่ามกลางสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ ผมคิดถึงหล่อนผู้ซึ่งพักพิงกับบ้านหลังนี้ เป็นส่วนหนึ่งกับพิษแผลในใจที่ ซึ่งไม่รู้ว่ามันซ่อนเร้นอยู่แห่งใด แสงอันสว่างไสวของดวงไฟสาดฉายมาแทนที่ ผมคิดถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตนั่นคือกำลังใจ—กำลังใจที่เราจะต้องสร้างมันขึ้นมา ผมรู้-มันอยู่ในใจเรา แต่บางครั้งมันก็ได้มาจากคนอื่นได้เช่นกัน และนั่นคือสิ่งที่ผมพยายามจะทำ ผมคิดไปถึงปาฏิหาริย์ในชีวิต ผมไม่รู้ว่ามันจะมีอยู่หรือไม่ แต่สิ่งที่มีอยู่จริงในเวลานี้ก็คือคำพูดให้กำลังใจดีๆสักประโยค ผมใจหายวูบ ดวงตากลมโตคู่นั้นเป็นสิ่งเดียวที่อยู่บนใบหน้าดูแปลกไป รัมภาเหมือนคนธรรมดาเมื่อไม่มีเทริดครอบศีรษะ ผมไม่รู้หรอกว่าอะไรทำให้หล่อนมีกำลังใจมีชีวิตต่อไป หล่อนกลับเป็นผ่ายบอกผมขึ้นมาว่า “ชีวิตฉันน่ะหรือจริงๆแล้วไม่สำคัญหรอก เพราะว่ามันไม่ได้เป็นของฉันเพียงคนเดียว...” ผมนิ่งตริตรองคำพูดของหล่อน อึ้งไปชั่วครู่
จริงสินะ...ชีวิตที่แท้แล้วไม่ได้เป็นของเราคนเดียว  มองไปรอบๆกาย เรายังมีพ่อ แม่ พี่ป้าน้าอา ญาติพี่น้อง ทุกคนล้วนผูกพันกับตัวเรา เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ทำไมนะ ทำไมเราจึงมองไม่เห็น

13 วันหนึ่ง ผมเปิดทีวี.ดูข่าว พายุเข้า นักข่าวสัมภาษณ์ชาวบ้านที่ถูกลมพัดหลังคาบ้านเสียหาย รายงานข่าวสั้นๆ ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงเงาทะมึนแห่งพายุที่พร้อมจะกระหน่ำผืนแผ่นดิน พอได้ยินคำว่า “เสียชีวิต” ผมตาสว่างในทันควัน ขับรถออกจากบ้าน มองเห็นผู้คนพลุกพล่านอยู่เต็มตลาด ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาหรือเธอเป็นใคร บางคนอาจเป็นยาจก บางคนอาจเป็นเศรษฐี บางคนเป็นข้าราชการ บางคนเป็นเพียงสามัญชน บนแผ่นดินนี้ทุกคนมีศักดิ์ศรีเสมอกัน แล้วอะไรหนอทำให้คนเราแตกต่างกัน?
คนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?...ผมถามตัวเอง เพราะโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เราหยั่งลึกถึงจุดเริ่มต้นและการสิ้นสุดลงในแต่ละครั้ง บางครั้งผมก็เหมือนเผชิญแรงต้านไม่ให้ชีวิตก้าวไปอย่างเติบโตและต่อเนื่อง เราจะทำอย่างไรที่จะให้ชีวิตก้าวผ่านไม่ให้สะดุดหยุดชะงักงันอยู่ในหลุมลึกแห่งชะตากรรมที่พร้อมจะดูดดึง ผมต้องการเวลาสักระยะหนึ่งที่จะทบทวนตรวจสอบความเป็นไป การที่ผมตามหาหัวใจของตนเองอยู่นาน และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ทำให้ผมเติบโตขึ้นมาก

14 มาบัดนี้ภาพสุดท้ายของรัมภายังแจ่มชัด ผมพบหล่อนครั้งสุดท้าย ร่างกายหล่อนผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ได้แต่นอนรอความตายอยู่บนแคร่ไม้ ในห้องที่กั้นมิดชิดเป็นสัดส่วน หล่อนพูดไม่ได้ เราได้แต่สื่อสารกับหล่อนด้วยการอ่านความรู้สึกของทุกคนที่มาเยี่ยมไข้และได้เขียนบันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กให้หล่อนรับรู้ ผมไม่อาจสะกดก

Comment #1
จีรภัทร ขุนทองแก้ว
Posted @November,19 2010 22.28 ip : 182...28

นายแรงเป็นคนที่เก่งและกล้าหาญมาก  มีความพยายาม  นายแรงเป็นคนตัวใหญ่เหรอ?

Comment #2
จีรภัทร ขุนทองแก้ว
Posted @November,19 2010 22.32 ip : 182...28

นายแรงนี่เองที่เป็นคนทำให้  จังหวัด พัทลุง มีอำเภอมากมาย ขอให้นายแรงไปสู่สุคติ ขอให้หลับสบายนะค่ะ  หนูอยากเห็นรูปนายแรง  ที่เขาเก้าแสน  หนูไปผลักก้อนหินได้ไหม?  พี่หนูไปผลักแล้ว  หนักจริงๆ

แสดงความคิดเห็น

« 5248
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ