เรื่องสั้น

นิยายของคุณไปถึงไหนแล้ว?

by Pookun @April,15 2007 11.04 ( IP : 222...112 ) | Tags : เรื่องสั้น

นิยายของคุณไปถึงไหนแล้ว?

รัตนชัย มานะบุตร

ไฟฟ้าที่บ้านดับลงกะทันหัน ผมเดินไปเปิดประตูเพื่ออาศัยแสงสว่างจากข้างนอก เพิ่งรู้ว่าตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว มีคนถือตะเกียงกระป๋องเดินมาถึงลานหน้าบ้านแล้ววกก้าวขึ้นบันได พวกเขาหยุดตรงหน้าระเบียง คนถือตะเกียงเป็นหญิงสาว

"บั้งๆ เรามา" เสียงผู้ชายที่อยู่ข้างหลังตะโกนบอก ผมเพ่งสายตามองเจ้าของเสียง

เสียงนี้ผมคุ้ยเคยมาก เสียงนี้แหละเจ้าของเรื่องแต่งที่น่าทึ่งหลายเรื่อง และเขายังมีความสามารถเล่าเรื่องแต่งให้เหมือนจริงได้ดีทีเดียว

ใช่แล้วล่ะ เขาคือ กนกพงศ์

ผมรู้จักงานเขียนของเขาก่อนเจอตัวจริงที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา เขาบอกให้เขียนงานส่งมาให้อ่านบ้างถ้าเป็นนิยายยิ่งดี ตอนนั้นเขายังเป็นบอกอ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมจึงไม่ส่งเรื่องไปให้เขาพิจารณา อาจเป็นเพราะงานเขียนของผมออกมาค่อนข้างน้อย และอายตัวเองเมื่อเทียบกับงานที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณภาพของเขา ก่อนจากกันที่เกาะยอ เขาย้ำ...ผมจะคอยนิยายของคุณ

"ในที่สุดคุณก็มาบ้านผมจนได้ คิดว่าคงลืมผมไปแล้ว" ผมกล่าว

"ไม่ลืม สัญญาว่าจะมาก็ต้องมา...ที่พรหมคีรีไฟดับ เราคลำหาเทียนไขไม่เจอ มาเจอตะเกียงน้ำมันก๊าด มาที่นี่ก็เจอปัญหาไฟฟ้าดับอีก ประเทศนี้แย่จริงๆ"

"ครับมันแย่จริงๆ"

ผมชวนกนกพงศ์นั่งเก้าอี้หน้าระเบียง หญิงสาวที่ถือตะเกียงหล่อนคือ คู่ชีวิตของเขานั่นเอง สังเกตจากไฝดำเท่าปลายนิ้วก้อยที่โคนคิ้ว ผมรู้สึกดีใจจนบอกไม่ถูกที่ทั้งสองคนมาที่นี่ หลายครั้งหลายคราแล้วเขาสองคนรับปากว่าจะมาแต่ก็ไม่ได้มา

ผมชี้ให้ดูเงาของต้นไม้ที่เขาให้มาปลูกในตอนนั้น "ต้นไม้พวกนั้นโตทุกวัน ตอนนี้กาหลงเป็นสาวแล้ว ดอกสีขาวบานสะพรั่ง ต้นไกลสุดโน่นคือสารภี ส่วนต้นการเวกที่ให้มาตอนนั้นมันตายไปแล้วและที่ตรงนั้นกระถินเทพามาจากไหนไม่รู้งอกแทนที่ มันคงไม่ชอบดินนา โน่นต้นมะม่วง ถัดไปเป็นขนุนและต้นตีนเป็ด..."

"อา ฮ่ะ! พันธุ์ไม้บ้านเราทั้งเพ" หญิงสาวกล่าว

แสงไฟจากตะเกียงดวงเดียวไม่เพียงพอเราจึงมองหน้าไม่ถนัดนัก ผมพยายามชักนำไปยังเรื่องราวของต้นไม้ แต่กนกพงศ์หาได้สนใจ เขาหันมาถาม "นิยายบั้งไปถึงไหนแล้ว ไหนว่าจะเขียนมาให้เราอ่าน"

มีเพื่อนๆ หลายคนชอบถามคำถามนี้ พอๆ กับถามว่า ไก่ตาบอดของคุณไปไหนแล้ว แล้วผมจะบอกว่า มันหลุดจากกรงตกคลองข้างบ้านจมน้ำตายไปแล้ว พวกเขาจะเศร้าแล้วไม่ถามอีกเลย แต่นิยายนี่สิ ผมจะตอบพวกเขาอย่างไร?

ผมย้อนถาม "ที่พรหมคีรีล่ะตอนนี้เป็นไงบ้าง...นานแล้วที่ไม่ได้ไป"

"เออ เมื่อวานไอ้บ่าวน้องเจ้าของต้นมะพร้าวร้อยปี บั้งคงจำเขาได้ เล่าให้ฟังว่าดึกดื่นคืนหนึ่ง ได้ยินเสียงเหมือนหินบนภูเขาถูกกะเทาะให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ฟังดังเหมือนเสียงร้องไห้ของภูเขาเชียว ไม่เฉพาะไอ้บ่าวน้องคนเดียวที่บอก แต่ชาวบ้านก็พูดกันเซ็งแซ่ว่าได้ยินเสียงเขาหลวงร้องไห้ เชื่อกันว่าต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาหลวงต้องร้องไห้ บางครั้งได้ยินเหมือนเสียงฟ้าร้องแปลกที่ไม่มีเค้าเมฆฝนที่ก่อให้เกิดเสียงฟ้าร้องเลย แล้วต้นไม้ใหญ่บนภูเขาล้มระเนระนาดเป็นทางเหมือนโดนพายุกระหน่ำทั้งๆ ที่ไม่มีลม..."

"แล้วคุณล่ะ ไม่ได้แปลกใจอะไรบ้างเลยหรือ" ผมถาม

"ผมไม่สบายนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืน กลับมาบ้านพบต้นไม้ล้มทับเสาไฟหน้าบ้าน ไฟฟ้าดับทั้งวัน คืนที่สองก็ยังไม่มาซ่อม ผมรู้สึกหงุดหงิดเลยมาหาบั้ง พบว่าที่นี่ไฟฟ้าก็ดับอีก ดีที่เรานำตะเกียงมาด้วย"

"ผมว่านี่คือเรื่องอำกัน"

"ไม่ได้อำ ขอยืนยันคำพูดบ่าวน้องว่านี่เรื่องจริง"

"ทำไมคุณคิดว่าเป็นเรื่องจริงล่ะ บางทีไอ้บ่าวน้องอาจแต่งเรื่องขึ้นก็ได้"

"เรามาพูดถึงนิยายของบั้งกันดีกว่า มันไปถึงไหนแล้ว มาคราวนี้กะว่าต้องไม่เสียเที่ยว"

เอาอีกแล้ว! ผมตัดสินใจตอบไปโดยไม่อ้อมค้อมอีก "นิยายของผมหรือครับ...กำลังคั่วอยู่ครับ"

"คั่ว" ตามมาด้วยเสียงหัวเราะในคอ "คั่วนานเกินเดี๋ยวก็ไหม้"

ลมกระโชกพัดตะเกียงดับวูบลง นั่นแหละจึงเห็นเงาของกนกพงศ์แจ่มชัดขึ้น แต่หญิงสาวของเขากลับหายไป ได้ยินเสียงเธอกับเพื่อนๆ อีกหลายคนอยู่ใต้ซุ้มดอกเห็ดหน้าบ้าน ต่อมามีใครคนหนึ่งตะโกนบอกว่า "บั้งๆ พวกเราขอตัวไปเที่ยวด่านนอกกัน" แล้วเสียงรถยนต์ดังขึ้น แสงไฟสูงส่องยอดยางแล้วรถก็เคลื่อนตัวฝ่าความมืดหายลับไป

ผมกับกนกพงศ์หาได้สนใจว่าตอนนี้หล่อนและเพื่อนๆ ไปไหนกัน บางทีพวกเขาอาจได้พล็อตเรื่องดีๆ จากเมืองด่านนอกก็ได้

ผมรีบจุดตะเกียง

"คั่วๆ คั่วอะไร อะไรคือคั่ว" เสียงแม่ของผมดังมาจากข้างล่าง แกเดินมาจากบ้านน้องสาว ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับแม่ เท้าของแม่ย่ำบนทางเดินเล็กๆ อย่างเงียบเชียบและคงได้ยินเราคุยกันก่อนนี้แล้ว

แม่นั่งบนเก้าอี้ ผมจึงอธิบายคำว่าคั่วให้แม่ฟัง "เอาสิ่งของใส่กระทะตั้งไฟ ใช้ตะหลิวคนหรือเกลี่ยไปมาจนเกรียมหรือสุก"

"คั่วนานเกินเดี๋ยวก็ไหม้" กนกพงศ์หัวเราะอีก

ผมแนะนำแม่ของผมให้กนกพงศ์รู้จัก เขายกมือไหว้ แต่แม่ไม่เคยชินกับประเพณีไหว้ของคนพุทธ จึงผายสองมือออกท่าทางเขินๆ "เป็นเพื่อนของลูกเหรอ มาเรื่องอะไรล่ะ?"

"ผมมาเยี่ยมบั้งครับแม่ แล้วก็อยากมาดูกอยกดvpkdอยกดอยอออออฮญษฤฌฌฌฌฌฌ

ดูต้นไม้ที่ให้มาปลูกว่ามันโตแค่ไหนแล้ว"

"ต้นไม้นั่นมันโตวันโตคืน ไม่นานมันก็ออกดอกออกผล…ลูกชายของแม่คนนี้ตอนนี้มันทำงานแล้วและรับราชการด้วย"

"แม่คงภูมิใจสิว่าลูกรับราชการ"

"ไม่ แม่รู้สึกเฉยๆ"

"แม่มองเขาให้ดีซิ"

แม่หันหน้ามองผม "แม่รู้จักลูกของแม่คนนี้ดี เพราะเลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิด ตอนเด็กมันไม่สู้งานหนักในสวน ชอบอ่านหนังสือและนอน ทำงานราชการเช้าชามเย็นชามนั่นแหละดี เห็นไหมล่ะว่ามือของมันไม่เคยด้านเหมือนคนอื่น"

"แต่เขาไม่ชอบรับราชการ"

"ใช่ แม่ก็รู้ว่ามันไม่ชอบ แต่หากมันลาออกจากงานราชการนั่น แม่ว่าก็ดีเหมือนกัน เชื่อว่ามันต้องไปทำงานดะวะเผยแพร่ศาสนา โลกมุสลิมต้องรู้จักเขาแน่ๆ"

"ทำไมแม่คิดเช่นนั้นล่ะ"

"เพราะเมื่อตอนเป็นเด็กมันชอบอ่านคัมภีร์อัล-กุรอานและอ่านได้ดีทีเดียว แม่รู้สึกหนักใจที่มันไม่ชอบสุงสิงกับเพื่อน แม้แต่วันเด็ก เด็กคนอื่นไปเที่ยวสนุกสนาน แต่ลูกของแม่ไม่ยอมไป แม่เป็นห่วงเรื่องนี้มาก กลัวลูกไม่มีเพื่อน บอกเสมอว่าให้มีเพื่อนไว้บ้าง แม่ดีใจที่คืนนี้มีเพื่อนมาหา แม่จึงมาที่นี่ไง"

"ตอนนี้บั้งแกไม่อ่านคัมภีร์แล้วหรือ"

"ตอนนี้เหรอ แม่เห็นมันอ่านหนังสืออะไรแม่ก็ไม่รู้ ดูซิ" แม่ชี้ไปยังห้องหนังสือ "เต็มห้องเลย หาคัมภีร์อัล-กุรอานสักเล่มไม่มี...พูดก็พูดเถอะ บังอีพี่น้องเราที่แม่รู้จักแกก็ชอบอ่านหนังสือ แต่เป็นเรื่องราวทางศาสนา เป็นผู้ที่มีความรู้ มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ แต่น่าเสียดายอยู่เมืองตานีไม่ได้"

"ทำไมล่ะครับ" กนกพงศ์ตั้งใจจะฟังแม่เล่า

"เมืองตานีเหมือนเมืองถูกสาป...เมืองบาลอ"

"อะไรคือบาลอล่ะครับ"

"ไม่เคยสงบสุขนั่นละคือบาลอ ตั้งแต่สมัยไหนๆ มาแล้ว…บังอีสอนหนังสืออยู่ปอเนาะ จู่ๆ มีเจ้าหน้าที่มาจับโต๊ะครูของแกไป ทราบภายหลังว่าโดนฆ่า แกเลยหนีมาพักค้างแรมที่บ้านเราเพียงคืนเดียวเท่านั้น พ่อไปส่งในตอนใกล้รุ่ง ข้ามภูเขาไปยังฝั่งโน้น...ประเทศมาเลเซีย จากวันนั้นถึงวันนี้สี่ห้าสิบปีแล้ว เราไม่ทราบข่าวคราวแกอีกเลย น่าเสียดายความอาเล็มของแก...น่าเสียดาย ลูกหลานเหลนไม่มีใครมีวิชาความรู้ถึงขั้นได้ชื่อว่าอาเล็มแม้แต่คนเดียว…"

ตอนผมเป็นเด็ก แม่เล่าเรื่องบังอีให้ฟังบ่อย แม่ว่าผิวขาวเหมือนลูกจีน เล็บมือเล็บเท้าสะอาดสะอ้าน กิริยาท่าทางสุขุมรอบคอบน่าเคารพยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง สมกับเป็นผู้มีภูมิความรู้

หญิงสาวของกนกพงศ์ กลับมาตอนตีสองบอกว่าไปเที่ยวคลาสโนวา เต้นรำจังหวะดันดุทของชาวมาเลเซีย เธอเล่าว่า "หมดเหล้าไปหนึ่งขวด ผู้ชายมาเลเซียมันบ้า คิดว่าผู้หญิงทุกคนที่อยู่ในนั้นเป็นอีตัวทั้งเพละซิ ตอนเราเดินตัวคนเดียวไปหน้าฟอร์ เฮ!มันจับก้นหนูเลยว่ะ..."

กนกพงศ์จากไปพร้อมๆ กับแสงแรกแห่งรุ่งอรุณ เดือนต่อมาผมลาออกจากงานราชการ แทนที่ไปทำงานดะวะเหมือนที่แม่ทำนาย แต่กลับเดินทางไปยังนราธิวาส ไปอยู่ที่บ้านของลุง

เมื่อถึงวันฮารีรายอ ผมกลับมาบ้านพร้อมหน้าพ่อแม่ มีเรื่องราวมากมายที่จะเล่า

มีคนถามว่า "คนที่นั่นเหมือนคนบ้านเราไหม?"

"ตอบว่าเหมือนและไม่เหมือนได้ทั้งสองอย่าง ความเป็นมุสลิมนั้นไม่แบ่งแยกดินแดนไม่มีแบ่งแยกจังหวัด แต่ความเป็นตัวตนนั้นต่างกัน ยกตัวอย่าง ผมเรียกตัวเองว่า ผมเป็นคนแขก โดยไม่กระดากปากหรือขัดเขิน แต่พวกเขาเกลียดคำว่าคนแขกมากยิ่งกว่าใครด่าพ่อล้อแม่เสียอีก"

บ้านลุงเป็นร้านขายของชำ ขายน้ำชากาแฟและมีโรงสีข้าว ร้านน้ำชาบ้านลุงเริ่มตั้งแต่ตอนชาวบ้านออกกรีดยาง ลุงวางเตาต้มและชุดชากาแฟไว้ใต้เพิงนอกบ้าน ก่อนลงกรีดยาง พวกคอน้ำชามาเรียกเลียนเสียงสำเนียงใต้ "ไอ้-แบ-แซะ- ยะ-หน่ำ-ชา" โดยแค่บอกให้รู้ไม่ประสงค์ปลุกให้ตื่นและรู้ว่าแบแซะไม่เคยตื่น พวกเขาก่อไฟชงน้ำชากินเอง จะวางเงินไว้หรือจ่ายรวบยอดตอนกลางวัน เงินค่าขายขี้ยางจะอยู่ที่ร้านน้ำชาแบแซะเกือบหมด ผมสองคนลุงคุยสำเนียงใต้ พวกเขานิ่งฟังจนหูห้อยและบอกเราว่า ฟังเสียงคุยแม้ไม่เข้าใจแต่ก็สนุก ดังทำนองว่า "อี มูง ลูง ตูง ซึง" ตอนกลางวันผมช่วยงานโรงสีข้าว กลางคืนได้ล่องเรือพายในแม่น้ำสายบุรีดักโพงพางกับเพื่อนใหม่คนหนึ่งชื่อสาหะ ผมท่องศัพท์สำเนียงยาวีจากบทเพลงลิเกฮูลูจากเพื่อนคนนี้

บทลิเกฮูลูกล่าวไว้ดังนี้ "เซอ มาแล ตีโด๊ะบีเละ อำแบะ บูแย ลาวา ฮาบิดุวิ เนาะบายา อาเนาะ รูมเมาะปูโฮะลาปา โฮฮา โฮฮา อากู เตาะเยอนือฆอ เนาะตีโดร..."

แม่น้ำสายบุรีนั้นกว้างตอนนั้นน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก เราได้กุ้งก้ามกรามตัวเกือบเท่าท่อนแขนเป็นร้อยๆ ตัว ตอนผมนำเรือข้ามฟากมีใครคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากน้ำ เกาะแคมเรือ ตัวเขาโตมากทำให้เรือแบะออกเป็นสองซีก ผมเสียหลักตกลงไปในน้ำ ผ้าถุงหลุดลุ่ย โชคดีที่ผมเกาะซากเรือซีกเดียวไว้ได้ น้ำพัดไปติดสันดอนทรายกลางลำแม่น้ำ...ผมไม่เหลืออะไรเลยนอกจากรังไข่ห้อยโตงเตง...

รำข้าวนั้นเมื่อซับเหงื่อรู้สึกคันยั้วเยี้ยไปทั้งตัว กระนั้นยังทนได้ แต่ยังไม่คันเหมือนตอนอยู่งานราชการ

ผมเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนมานั่งร้านน้ำชา แล้วอยู่ๆ คนที่เห็นหน้าทุกวันก็หายไปจากหมู่บ้าน มารู้ทีหลังว่าคนส่วนหนึ่งอพยพไปทำงานที่สวนปาล์มรัฐกลันตัน กลันกานู ประเทศมาเลเซียแล้วต่อมามีคนมาชวนผม

"เอาอะไรไปบ้าง" ผมหมายถึงหลักฐาน เอกสารอื่นๆ ทำใบผ่านแดน

"ไม่ต้องเอาอะไร...บัตรประชาชนก็ไม่ต้องเอา"

ผมและอีกคนชื่อหมะ เราเป็นคณะสุดท้ายของฤดูกาล เราเลือกที่จะลงเรือข้ามแม่น้ำโก-ลกเพราะทางเรือไม่ต้องผ่านด่านตรวจและเราไม่มีใบผ่านแดน ไม่รู้เหตุผลใดว่าทำไมไม่ค่อยมีใครทำหรือมีก็เป็นส่วนน้อย ขึ้นจากเรือเราเช่าแท็กซี่ในราคาแพงกว่าปกติเพราะต้องพาเราหลบหนีตำรวจมาเลเซีย ตอนนั่งอยู่ในรถแท็กซี่ หมะเตือนผมไม่ให้พูดเพราะสำเนียงของผมเพี้ยนเอามากๆ อย่างเช่น

"บีลอ แบเฆาะ ตุแบะ อาเฮ แลกาแวเอย มาแก บั้วยอ ดัวบูเต้ ก็ตะเฮงฆอ" แปลว่า ตอนขี้ออกแต่น้ำ ป้อนน้ำมะพร้าวสองลูกแล้วก็ยังไม่หาย ตอนนั้นวัวที่บ้านลุงขี้รั่ว มีกะแวมาบอกให้ป้อนน้ำมะพร้าว อาการขี้รั่วก็จะหาย เมื่อกะแวมาหาอีก ผมบอกแกด้วยสำเนียงแข็งกระด้างแบบภาษาใต้ คนที่ได้ฟังนั่งหัวเราะกันงอหงาย

ผมนั่งเงียบเสียจนแท็กซี่คิดว่าคงเป็นใบ้

"คุณขับรถมานานหรือยัง" หมะถามโชเฟอร์

"ตั้งแต่อายุยี่สิบ ตอนนี้ห้าสิบ"

"ถ้าผมมาขับแท็กซี่เหมือนลุงบ้างได้ไหม"

"ไม่ได้ ไม่ใช่ผมอิจฉา แต่แท็กซี่ต้องขึ้นทะเบียน คุณอยู่กำปงไหน รัฐให้กำปงละครอบครัว อย่างผมเกษียณ คือขับไม่ไหว ลูกผมมาขับแทนโควตาผม แต่หากลูกไม่รับโควตาผม นั่นล่ะคนอื่นในกำปงรับหน้าที่แทน คุณมีรถยนต์มาขับอิสรเสรีตามใจชอบไม่ได้"

แท็กซี่วิ่งไปตามทางเล็กๆ ในหมู่บ้านเพื่อเลี่ยงด่านตำรวจตรวจ แล้วแวะรับคนอีกสองคนซึ่งเราไม่รู้จัก คนหนึ่งอุ้มไก่ชน เขาแนะนำตัวเองชื่อซุปรีและหมะเตาะแตะ ทั้งสองเป็นคนไทยบ้านอยู่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เข้ามาอยู่ก่อนหน้านี้สองปีเศษ คนไทยมุสลิมสามจังหวัดส่วนใหญ่มาทำงานได้เงินกลับเยี่ยมบ้านแล้วกลับเข้ามาใหม่ แต่เจ้าสองคนนั่นบอกว่าเขาไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว

"ผมกลับบ้านไม่ได้ มันไม่มีที่เดินและหลับนอนสบายๆ สำหรับเราสองคน"

ผมแปลกใจแต่ไม่ได้ถาม

แล้วแท็กซี่ก็หมดทางเลี่ยงด่านตรวจจนได้ โชเฟอร์หยุดรถก่อนถึงทางโค้งซึ่งเป็นเขตปลอดบ้านเรือนชาวบ้าน ก่อนถึงด่านตรวจ ผมสองคนหมะลงเดินเข้าไปในป่าข้างทางเพื่ออ้อมป้อมตำรวจ รถขับไปรอรับเราเลยด่านตรวจไปเสียตั้งไกล ป่าที่นั่นเป็นป่าดิบชื้น ขณะเดินต้องแกะทากตามหู ตา คอ จมูก

"คุณมีใบผ่านแดนหรือ" หมะถามสองคนนั่นเมื่อเราอยู่บนรถแท็กซี่อีกครั้ง

"ไม่ เราสองคนไม่มีใบผ่านแดนเหมือนคุณสองคนนะแหละ พวกตำรวจเขามีบัญชีรายชื่อสมาชิกสังกัดกลุ่มทุกกลุ่ม...เราสองคนได้รับการแบบัสไง"

เราไปพักในสวนปาล์มหลายพันไร่ เจ้าของร้านค้าเป็นผู้จัดการหาที่พักให้เรา บ้านพักคนงานว่างอยู่หลังหนึ่ง เป็นบ้านสองชั้น สำหรับคนโสดพักได้กี่คนก็ได้ มีห้องนอนชั้นละหนึ่งห้อง เจ้าของที่พักเดิมมีสองครอบครัวเพิ่งกลับบ้าน เมื่อเจ้าของร้านค้าส่งเราเข้าที่พักแล้ว ตอนบ่ายนำเอา "พาหะ" ที่มีรูปร่างคล้ายเสียมเป็นเหล็กหนาและคม ใช้งานต่างกับเสียมที่ปักลงดิน แต่พาหะที่ว่าจะใช้กระทุ้งทะลายปาล์มให้ตกลงพื้น แล้วยกทะลายไปกองรวมกัน นับเสร็จแจ้งยอดให้กะแวผู้ควบคุม แล้วขึ้นเงินทุกๆ สิบห้าวัน ผมลองยกพาหะดูเล่นๆ มันหนักเอาการทีเดียว...

กูไม่น่ามาทำงานที่นี่!

มะเตาะแตะตัวดำ ส่วนซุปรีผิวขาวอายุไม่เกิน 25 ปี เขาถลกกางเกงให้ดูหน้าแข้ง แสดงร่องรอยแผลเป็นทั้งสองแข้ง อวดว่ามันหมายถึงการหลบหนีเข้าป่า ปีนภูเขา คร่ำหวอดในการฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อถูกถามถึงความรู้สึกตอนปะทะเจ้าหน้าที่ เขาไม่เคยกลัวถูกปืนตาย แต่กลัวที่สุดคือถูกจับเป็น เขาเล่าว่าเพื่อนที่ถูกจับแล้วถูกเผาทั้งเป็น

"ตกลงไปไหม? เราจะพาไปพบลูกพี่ใหญ่เอง แจ้งชื่อเข้าเป็นสมาชิก แล้วเราได้รับการแบบัส"

เราสองคนนั่งเงียบ ไม่ตอบตกลงหรือไม่ งานกระทุ้งทะลายปาล์มเป็นงานหนักมากจนกลางคืนนอนละเมอมือกระทุ้ง เรารอให้ครบสิบห้าวันรับเงินแล้วจึงตัดสินใจจะเอาแบบัสหรือไม่ วันหนึ่งหมะเตาะแตะควักแผ่นกระดาษออกจากกระเป๋า ตรงหัวกระดาษมีตราประทับรูปแม่น ล้อมกรอบด้วยตัวอักษรรูมี เป็นกระดาษเปล่าไม่มีข้อความใดๆ ไว้สำหรับเขียนข้อความเมื่อมีความประสงค์สิ่งใด จากใคร ที่เมืองไทย ขอเงินหรือต้องการปืน!

มีคนมาติดต่อทำบัตรประชาชนมาเลเซียใช้เงินแค่หนึ่งพันบาทเท่านั้นเอง ผู้ที่มาทำงานก่อนหน้านี้มีบัตรเกือบทุกคน หมะบอกถ้าเราทำบัตรประชาชน ให้ใช้นามสกุลหะยีสุหลง เหมือนๆ กันทั้งสองคน เราสองคนเคร่งครัดละหมาดห้าเวลาไม่ขาด สองคนนั่นนั่งดูเหมือนไม่เคยพบ

วันหนึ่งเขาพูดกับเราว่า "หัวหน้าเราเคร่งครัด เหมือนคุณทั้งสอง"

"คุณล่ะ" ผมถาม

"...หากเรื่องละหมาด" หยุดคำพูดแค่นั้นเหมือนโดนตบ คงเป็นเรื่องหนักของเขา

ผมทำทะลายปาล์มตกใส่เท้าเพื่อหาทางกลับบ้าน รุ่งเช้าเท้าผมบวมจนเดินไม่ไหว หมะบอกสองคนนั่นว่า ต้องนำเพื่อนกลับไปรักษาที่เมืองไทย คราวหน้ากลับมารับการแบบัส

ตอนหลังหมะกลายเป็นนายหน้าพาคนไปทำงานสวนปาล์มกิจการเขารุ่งโดยไร้เงาของผม

ผมขับรถยนต์ไปเยี่ยมกนกพงศ์ที่พรหมคีรี พกพาเรื่องเล่าที่เขียนในแผ่นกระดาษหลายสิบหน้าไปฝากเขา ตอนนั้นเป็นเวลาใกล้ค่ำ เลี้ยวเข้าซอยสู่หมู่บ้านฝนโปรยไพร ขับตรงไปเรื่อยๆ เหมือนคุ้นเคยเส้นทาง ขับไปไกลไม่ยักจะพบหัวเลี้ยวเข้าบ้านครูเสม ไม่พบวัดที่ไม่เคยเปิดไฟในตอนกลางคืน ไม่ผ่านรีสอร์ทริมหุบเขา

อะไรกัน ผมเข้าผิดซอยหรือนี่ !

สำหรับที่นี่ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ กนกพงศ์เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะเหตุนี้ด้วย ลองใครมาที่นี่เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลก มันถูกตัดขาดจาการติดต่อโดยสิ้นเชิง รถขึ้นเนินสูงมองเห็นแสงดวงอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตก เห็นเงาของต้นมะพร้าวอายุร้อยปีที่ที่ซึ่งเป็นบ้านของไอ้บ่าวน้อง จริงๆ ไม่ใกล้ไม่ไกลกับหมู่บ้านฝนโปรยไพรของกนกพงศ์ ผมคิดว่าต้องหาทางมุ่งหน้าไปยังที่นั่น

เสียงโทรศัพท์ที่วางอยู่บนเบาะดังขึ้น คงเป็นที่เดียวที่รับคลื่นโทรศัพท์ได้ เป็นข่าวร้ายจากนราธิวาส ลูกของลุงโทรมาบอกว่า ลุงตาย! โรคหัวใจเล่นงาน ผมตัดสินใจถอยรถยนต์กลับทางเดิมมุ่งหน้าสู่จังหวัดนราธิวาส สุดประเทศไทย!

หลังงานศพลุงไม่นาน สูสมานเป็นหลานของพ่อโทรมาบอกว่าช่วงนี้ที่ภูเก็ตทะเลสงบ น้ำใสยิ่งกว่าก่อนเกิดสึนามิเสียอีก พวกตกเบ็ดได้ปลาพันธุ์แปลกๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน และปลามีเยอะกว่าเมื่อก่อน ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นับเวลายี่สิบห้าปีเต็ม ผมเคยลงเรือตกปลากับน้องของพ่อ วันนั้นเรือตกเบ็ดลำเล็กๆ ล่องไปริมเกาะแว้ก พบกลุ่มปลาโทงฝักดาบอยู่ใต้ผิวน้ำเป็นก้อนสีดำเหมือนก้อนเมฆ พวกเราแค่โยนเบ็ดลงน้ำพวกมันก็รุมกันแย่งเหยื่อ ไม่ต้องรอแค่กระชากขึ้นเรือ ร้อยทั้งร้อยไม่มีเหลือ มีบ้างบางตัวที่ปากฉีกหลุดจากเบ็ด เช่นกันในวันนั้นเราก็ต้องแข่งกับพายุที่ค่อยๆ ก่อตัวอยู่ที่สุดขอบฟ้า เราได้ปลาโทงเต็มลำเรือแบกปลากลับบ้านคนละหาบก่อนพายุฝนกระหน่ำอย่างหนัก ไม้คานหาบของผมหักถึงสองครั้ง ชาวบ้านที่นั่นเล่าว่าปลารู้ว่าพายุจะมา มันอาศัยเกาะหลบภัย นานๆ ครั้งถึงได้พบเหตุการณ์เช่นนี้ หลายครั้งหลายหนที่ผมต้องเสียเที่ยวเมื่อขึ้นภูเก็ตเพื่อหวังออกทะเลตกปลา แต่ไปเจอฤดูมรสุมทุกที ผมตัดคิวเยี่ยมบ้านกนกพงศ์ทิ้งไป มุ่งหน้าไปจังหวัดภูเก็ตโดยไม่รอช้า สูสมานเคยมีเรือหาปลายาวเจ็ดวา เครื่องยนต์ยันม่าเจ็ดแรงม้าสูญหายไปกับคลื่นสึนามิ ฝรั่งให้เงินมาต่อเรือลำใหม่ ตอนนี้ยังไม่เสร็จ เจ้าตัวบอกติดต่อเรือสำรองเอาไว้แล้ว เราพร้อมสัมภาระขับมอเตอร์ไซค์ออกไปคอยที่นอกเลบ้านใต้ พื้นที่ตรงนี้เป็นอ่าวที่หลบเรือจากพายุและขึ้นปลา ยังคนสภาพเดิมไร้เงาธุรกิจโรงแรม ผมกับสูสมานเดินไปดูคนงานกำลังไสกบเรือลำใหม่ของแก เสียงโทรศัพท์บอกสูสมานว่า ให้คอยด้วยอย่าเพิ่งออกเรือ สูสมานถามว่าใคร เขาบอกว่าเขาชื่อหมะเตาะแตะ จากนราธิวาส ตอนนี้กำลังมาใกล้ถึงแล้ว

"ใครคือมะเตาะแตะ" สูสมานหันมาถามผม

"เพื่อนผมเอง" ผมตอบ

ผมคิดถึงเขา...ในเรื่องเล่าหลายสิบหน้าของผมมีเขาอยู่ด้วย แต่เรื่องจริงตอนนี้จะขัดแย้งกับเรื่องเล่าตรงที่ผมเขียนไว้ว่าเขาไม่สามารถแบบัสทุกตารางนิ้วในประเทศไทย

พอสูสมานวางสายจากหมะเตาะแตะก็มีเสียงโทรศัพท์อีกสายดังขึ้น บอกว่าเรือสำรองกำลังวิ่งผ่านหาดสุรินทร์หน้าโรงแรมพันซีเบ ไม่นานเราก็เห็นหัวเรือขับอ้อมแหลมสนหันหัวเรือมาทางเรา ผมเห็นหัวเรือคาดผ้าสีแดงมาแต่ไกล พอเรือวิ่งใกล้จึงเห็นว่าเป็นเรือยังไม่ลงสีแต่งแต้มใดๆ ลงบนเนื้อไม้ คงเป็นเรือที่เพิ่งต่อหลังคลื่นสึนามิ เมื่อเรือเข้ามาใกล้จึงเห็นนายท้ายตัวผอมแก้มตอบ มีผ้าคาดศีรษะสวมเสื้อแขนยาวรัดรูป กางเกงยีนส์ขาสั้น รูปร่างแบบนี้ สวมเสื้อผ้าแบบนี้ คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เขาตะโกนโหวกเหวกเหมือนคนเคยรู้จักกัน แหละแล้วผมก็ตะโกนดังๆ

"ใช่ !กนกพงศ์!" เขาสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับตอนแบกฟืนลงจากภูเขาหลวง

บนเรือมีคนนั่งมาด้วยสองคน คนหนึ่งรูปร่างอ้วนสูงอายุนุ่งผ้าถุงลายหมากรุก แม้อายุมากแต่ท่าทางยังคงแข็งแรง และอีกคนตัวเล็กๆ ผิวดำ สวมกางเกงยีนส์เสื้อยืดบินลาดิน เมื่อเรือเกยหาดสนิทจึงได้ยินเสียงร้องเรียก

"บั้ง ๆ นี่ลุงของบั้ง แหละนี่หมะเตาะแตะ ผมรับพวกเขามาจากจังหวัดนราธิวาส"

ทั้งสามหัวเราะร่าขณะก้าวเท้ายาวเข้ามาหา!

แสดงความคิดเห็น

« 1614
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ