เรื่องสั้น
ทางมะพร้าว
ทางมะพร้าว ชาคริต โภชะเรือง
ชีวินยืนอยู่หน้าประตูรั้วท่ามกลางสายลมยามเย็นพัดกระโชก เขาถึงกับขนลุกซู่ ใบหน้าแย้มยิ้มของพี่ชายฝาแฝดพลันลอยเด่นอยู่ในห้วงสำนึก
เหมือนเคาะไปยังกำแพงแห่งสำนึกไหวระลอกความทรงจำกระเพื่อมขึ้นอีก ตอนนั้นเขานั่งดูทีวี. จดจ่ออยู่กับข่าวเลือกตั้งผู้แทนที่จะมาร่วมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ซึ่งถูกฉีกทิ้งโดยคณะปฎิวัติ ประเทศนี้ชอบทำอะไรพิลึกๆ เขาคิด
ครู่ต่อมาเขารู้สึกหิว เขาตัดสินใจบึ่งรถออกจากบ้านตั้งใจว่าจะออกไปหาอะไรรองท้อง
เลี้ยวขวาออกจากประตูบ้าน ถนนอบต. นำทางเขาตรงลิ่วไปยังสามแยก ที่นั่นเขาจะต้องผ่านบ้านอดีตกำนันใหญ่ (ซึ่งพยายามผันตัวเองขึ้นไปเป็น สจ.) สองข้างทางมีป่ามะพร้าวที่เคยรกครึ้มเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าเหลืออยู่เพียงไม่กี่ต้นโผล่หน้ามาทักทาย ในเงาดำวูบไหวของลำต้นที่มีให้เห็นอยู่ปละปลายนั้น ท้องฟ้าสีครามสดแผ่กว้างอยู่เบื้องหลัง ต่ำลงมาหลังคาบ้านสีน้ำเงินสดยื่นขึ้นมาจากพุ่มไม้แลเห็นแต่ไกล เขาอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก
ยามเย็นอันเงียบสงบ ณ ลานโล่งในสวนมะพร้าวนี้ไม่ใช่หรือที่เป็นที่นัดพบของเด็กในหมู่บ้านพากันสำเริงสำราญกับการเล่นตำรวจจับโจร หรือไม่ก็เล่นซ่อนหา...
แค่เรื่องไม่เป็นเรื่อง เขาคิด ตะกอนขุ่นมัวในใจคล้ายยังตกค้างไม่จางหาย งานเข้ามามากขึ้นทุกวัน เขาถึงไม่อยากฮั้วใต้โต๊ะ แบ่งเปอร์เซ็นต์กับพวกนักการเมืองแต่ก็เลี่ยงไม่พ้น มิเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้งาน ใครๆก็ทำกัน...เขาคิด ปลอบใจตัวเอง
หมู่นี้มีแต่เรื่องร้ายๆเกิดขึ้นไม่เว้นวัน ข่าวครูสอนที่โรงเรียนถูกลอบยิงเมื่อเช้าทำให้เขาไม่สบายใจ ทุกคนสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นเรื่องการเมือง เพราะว่าครูสอนไปขวางทางปืนเขาไง คำพูดของภรรยาแว่วเข้ามาอีก เขาเหมือนคนที่เก็บความลับไว้ในอกบอกใครไม่ได้ เหนืออื่นใด การที่พี่ชายฝาแฝดจะลงชิงตำแหน่งนายกอบต.ทำให้เขาไม่สบายใจ
รู้อยู่ว่าครูแกเป็นหัวคะแนนให้ใคร แล้วนี่พี่ชายคุณคิดอะไรแปลกๆ อยู่ดีๆจะลงเลือกตั้ง จู่ๆภรรยาเขาก็ปรารภขึ้น
ทำไมล่ะ
จะสู้เขาได้ยังไง?
หล่อนทำหน้าเหมือนเกาไม่ถูกที่คัน เขาถึงกับหัวเราะ น่าแปลกนะ ปกติไม่เห็นเธอสนใจเรื่องพรรค์นี้เลยนี่
อันที่จริง เขาเข้าใจภรรยา เพียงแต่เขาหงุดหงิดใจที่พี่ชายเป็นคนดีเกินไป เขาเองหัวเสียกับเรื่องนี้มานานแล้วแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
กลายเป็นประเด็นถกเถียงในหมู่ญาติๆ แกไม่กลัวพุงเป็นรูรึ? แล้วที่สำคัญแกจะเอาเงินที่ไหนไปลงสู้กับเขา... พ่อเขาว่า การเมืองระดับชาติหรือท้องถิ่นไม่เห็นจะมีอะไรต่าง เล่นการเมืองก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น พี่ชายเขากลับหัวเราะ ผมจะสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ของหมู่บ้านเรา ทำให้การเมืองเป็นเรื่องของเราทุกคนไม่ใช่เป็นเรื่องของผู้มีอิทธิพลหรือมีเงิน เขาว่า
ชีวินไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แม้พี่ชายฝาแผดจะยกตัวอย่าง เพื่อแก้ปัญหาความแตกแยก การสมานฉันท์ของอบต. นั่นคือ ชาวบ้านร่วมมือร่วมใจกันกับนักการเมืองท้องถิ่น สรรหานายอบต.ร่วมกัน โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้ง ปรากฏการณ์ระดับหมู่บ้านที่ไม่อยากให้การเมืองมาทำให้ชาวบ้านแตกเป็นฝักเป็นฝ่ายทำให้นักการเมืองท้องถิ่นมารวมตัวกันกับชาวบ้าน ช่วยกันเลือกสรรผู้นำ แบ่งบาทบาทหน้าที่ของตนเอง ทำให้การเลือกตั้งกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น
ชีวินคร้านต่อปากต่อคำกับภรรยา หมู่นี้เขาเองก็อารมณ์เสียบ่อยครั้ง นึกมาถึงตรงนี้เขาก็เผลอยิ้ม
ผู้ชายวัยทองก็เป็นเสียอย่างนี้ ภรรยาเขาบ่นเปรย
คำพูดของพี่ชายก็น่าคิดเช่นกัน การเมืองสมานฉันท์รึ? บ้าน่า เป็นไปไม่ได้หรอก เขาพูดเสียงดัง มันอุดมคติเกินไป สมัยนี้มือใครยาวสาวได้สาวเอา พี่จะไปหาเรื่องให้เจ็บตัวทำไม ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างรับผิดชอบงานของตัวเองไม่ดีกว่ารึ
จะให้เขาบอกพี่ชายได้อย่างไรว่า เขาเองก็มีเอี่ยวกับนักการเมืองพวกนั้น
ดูเผินๆที่นี่ก็เป็นหมู่บ้านที่เข้มแข็งดีหรอก ชาวบ้านที่นี่รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ช่วยกันคิดช่วยกันทำ แต่พอเว้นวรรคความเดือดร้อนก็หันหน้ามาทะเลาะกัน
ชีวินต่างจากพี่ชายเขาเองไม่ได้อยู่หมู่บ้านตลอดเวลา แรงเหวี่ยงของการศึกษาผลักใสตัวเขาให้เตลิดไปจากหมู่บ้านไปไกล นัยว่าเพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่า คนรุ่นเขาไม่มีทางเลือกมากนัก
ชีวินยังจำได้ดี ทุกครั้งก่อนออกเดินทาง ขึ้นรถไฟไปยังกรุงเทพฯ เขาจะต้องออกเดินไปทีละบ้านล่ำลาคนเฒ่าคนแก่ นึกมาถึงตรงนี้ เขายังจำได้ว่าเมื่อก่อนยังไม่ต่างคนต่างอยู่เหมือนเช่นทุกวันนี้ เขาใจหายเศร้าลึกอยู่ในใจทุกครั้งที่จากบ้าน และเขายังจำได้อีกว่าทุกครั้งในช่วงปิดเทอม เมื่อกลับถึงบ้าน เขาเดินแวะเวียนไปเยี่ยมทีละบ้าน นั่งคุยถามทุกข์สุขอยู่นาน
นั่นคือภาพเก่า...
มากระทั่งวันหนึ่ง พี่ชายเขียนจม.มาบอกข่าวว่าทางการจะลงมาสำรวจทำถนนเข้าหมู่บ้าน แต่แล้วข่าวนั้นก็หายไปอีกหลายปี กระทั่งในปีที่เริ่มมีการเลือกตั้งอบต. ปิดเทอมปีนั้นเขาเริ่มพบสิ่งผิดปกติ
หลายอย่างเปลี่ยนไปจากเดิม
เช่นว่าถนนลูกรังที่เกิดขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของคนทั้งหมู่บ้านหายไป กลายเป็นถนนลาดซิเมนต์มาแทนที่ บ้านทุกหลังเริ่มมีรั้วกั้น...และนั่นทำให้เขาถึงกับหยุดชะงัก ปิดเทอมปีนั้น เขามายืนหน้าบ้านลุงเคล้าไม่กล้าแม้จะเคาะประตูเรียก ได้แต่ยืนเก้ๆกังๆอยู่หน้าประตูด้วยความขัดเขิน
หากทว่าตัวเขาเองนั้นเล่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน แปดปีมาแล้วที่เขาทำงานอยู่ในเมือง นับแต่เขากับครอบครัวแยกออกมาตั้งเรือนใหม่ หากทว่าพิษเศรษฐกิจปี 40 เล่นงานทำให้เขาต้องซมซานกลับบ้าน กลับมาพึ่งพ่อและพี่ชาย พอเริ่มตั้งตัวได้ ชีวินเก็บหอมรอมริบ ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เขาพบว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านไปแล้ว
เริ่มตั้งแต่พี่ชายของเขามาชักชวนให้ลงสมัครอบต. เขาหัวเราะแล้วก็ปฎิเสธไป พลางนึกประหลาดใจ ไม่นึกไม่ฝันว่าพี่ชายเขาจะมีความคิดเช่นนี้ได้ อบต.รึ? จะทำอะไรได้ เขาคิด เรื่องอะไรจะพาตัวเองเข้าไปเสี่ยง เป็นนักธุรกิจใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือไม่ดีกว่าหรือ เขาคิด ...
กำลังคิดเพลินๆ พลันสะดุ้งเยือก
มีกำแพงบางอย่างขวางกั้นระหว่างเขากับพี่ชาย...สติกลับคืนมาอยู่กับตัว ชีวินที่นั่งอยู่ในรถถึงกับผงะ เอ๊ะ ! ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วเสี้ยววินาที ลางสังหรณ์แปลกๆกระซิบบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ -ในอากาศ หรือที่ไหนสักแห่ง...สัมผัสสิ่งแปลกๆเกิดขึ้น ไวเท่าความคิด เขากระตุกเท้าเหยียบเบรกตัวโก่ง!
เริ่มจากเสียงหักเปาะเบาๆ แล้วมีอะไรบางอย่างคล้ายวูบไหวขีดผ่านตาลงมา อย่างเป็นจังหวะที่ต่อเนื่องและเกิดขึ้นจนเขาชะงักในชั่วเสี้ยววินาทีหลังจากที่ได้ยินเสียงดังตุ๊บ ! มีบางอย่างร่วงหล่นใส่หลังคาตัวถังรถ แล้วไถลร่วงข้างทาง
ตามมาด้วยเสียงล้อเบียดบดกับผิวถนน ในจังหวะที่ต่อเนื่องอีกนั้นโชคดีเหลือเกินว่าเขาไม่ได้ขับรถมาเร็วเกินไปจนทำให้รถเสียหลักจากแรงกระชากตัวหยุด
แตะเบรค หยุดรถหันกลับมาดู อ้าว - นั่นไง !
อ้อ ! เขาแทบอุทานออกมา มีทางมะพร้าวหล่นร่วงอยู่ข้างทาง
เขาเดือดพลั่กในอก ทำไมกูถึงซวยนักวะ? ชีวินสบถ หันไปมองกระจกหลัง ทางมะพร้าวแห้งตายซากนอนเค้เก้ขวางถนนเอาไว้ ท่อนโคนนั้นจมอยู่ในพงหญ้า ส่วนใบที่แห้งกรอบกำลังเหยียดชี้ยื่นขึ้นไปยังท้องฟ้า นอนเอียงราบไปกับผิวถนน ดูแล้วขวางหูขวางตาพิลึก เขามองผ่านกระจกหลัง ใต้อายแดดที่แผดจ้า นึกได้ว่าตอนเย็นเด็กๆในหมู่บ้านจะต้องปั่นจักรยานผ่านมา
อ้าว ! นั่น มีรถตามมา แต่แล้วพอเห็นเขาจอดรถตีไฟฉุกเฉินเบรกอย่างกะทันหันอยู่ข้างทางก็พากันตีไฟเลี้ยว แล้วอ้อมรถจากไป
นิ่งสงบอยู่ในความเงียบชั่วครู่ ต้องมีใครสักคนรับผิดชอบ เขาคิด
ทว่าใครล่ะ?
เขาลังเลที่จะลงจากรถ...พลันวูบไหวความคิดอย่างต่อเนื่อง นึกถึงพี่ชายขึ้นมา ทันทีนั้นเขาตัดสินใจหักหัวรถเลี้ยวกลับ ตรงลิ่วไปยังปากซอย
เลี้ยวซ้ายตรงหัวโค้ง ตัดผ่านทุ่งนาโล่งข้างวัด เลียบกำแพงรั้วที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จ มุ่งหน้าผ่านประตูเหล็กที่เปิดกว้าง สำนักงานชั้นเดียวของอบต.ตระหง่านอยู่ข้างหน้า ติดกระจกทึบมองอะไรไม่เห็น เขาบีบแตรเสียงดังลั่น
ประตูกระจกทึบแสงพลันถูกผลักเปิดออกกว้าง หน้าสำนักงานมีเพียงรถมอเตอร์ไซด์จอดแช่อยู่ 2 คัน ชีวินไม่เห็นรถของนายกอบต.
ครู่เดียวก็มีไอ้หน้าบื้อคนหนึ่งโผล่หน้าออกมาดู
เฮ๊ย ! นายกฯอยู่ไหม? เขาลดกระจกลงถาม หมอนั่นส่ายหน้า เออ ฝากไปบอกนายกหน่อยว่า เฮียฮ้อขอให้ส่งเด็กไปเก็บทางมะพร้าวบนถนนเลยอนามัยให้หน่อย มันหล่นขวางทางรถอยู่
ไอ้หน้าบื้อนั่นยังทำหน้างง
บึ่งรถกลับมา เขานึกถึงพี่ชายหน้าโง่ขึ้นมาอีก มึงเกิดมาผิดยุคผิดเวลาว่ะ...เขาคิด แปลกใจเพราะไม่เห็นทางมะพร้าว อ้าว-นั่นไง ! ตรงที่ทางมะพร้าวหล่นอยู่นั้น เขาเห็นรถเก๋งคันหน้ากำลังพุ่งเข้าเหยียบ เวลานี้ดูเหมือนว่าหักเป็นสองท่อนไปแล้ว ก่อนมุ่งหน้าต่อไปอย่างไม่แยแส
ชีวินมองดูนาฬิกา เขากดคันเร่งจมมิด รถพุ่งเข้าเหยียบทางมะพร้าวทั้งสองท่อนที่เค้เก้ขวางทางรถแล้วจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง.