เรื่องสั้น
จันหาราด
จันหาราด ชาคริต โภชะเรือง
และท่านเวสหนู ซึ่งก็คือตัวแทนของพระอินทร์ที่จะมาแก้ปัญหา ท่านบินได้ เหาะได้ไม่เหมือนคนธรรมดา นี่คือการเล่าเรื่องของคนเมื่อก่อน ง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่ลองตรองดูจะพบว่ามีเหตุมีผล และต้องใช้เวลา...ไอ้ตัวกระผมมาจากต้นน้ำคลองภูมีอยู่ทางเหนือน้ำ วันนี้ขอเล่าเรื่องสั้นๆสักเรื่อง
เรื่องนี้ชื่อว่า จันหาราด ราดนี่มาจากคำว่า คราด --คราดนา ส่วนคนชื่อจันมีชีวิตอยู่จริง ๆ มีรูปรอยให้สืบเสาะหาได้ แกมีบ้านเรือน ที่นา ตอนเสียชีวิตศพยังถูกฝังไว้ในวัดติดกับแม่น้ำ แกมีอัจฉริยะทางด้านการเล่าเรื่อง แกนั่งตรงไหนเป็นมีนิทานเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องเขียนขึ้นมาก่อน เล่าตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบัดเดี๋ยวนั้น
ไม่เชื่อลองฟังเรื่องเล่าของแกดูนะครับ... วันนั้นฝนตกพรำๆ ฟ้ามืดครึ้มแลขมุกขมัวไปทั่ว ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนตกพรั่งพรูลงมาดุจฟ้ารั่ว ชั่วพริบตาเดียวก็เห็นสายน้ำเจิ่งนองขาวโพลนไปหมด แกเล่าให้เราฟังว่า วันหนึ่งฝนตกเหมือนวันนี้ แกบังเอิญไปหลบอยู่ที่ศาลา ฝนตกมาก น้ำเอ่อขึ้นมาจนถึงขื่อ พอน้ำลดลงสักประเดี๋ยวปรากกฎว่ามีปลาทกตัวเท่าควายมาติดอยู่บนศาลาลงไปไม่ได้ ไม่รู้ว่ามันว่ายหลุดมาจากคลองไหน เอาล่ะสิ ทำอย่างไรดี สงสารก็สงสาร หิวก็หิว แกหันไปดูปลาทกตัวนั้นทีไรก็ยิ่งน้ำลายสอเต็มปากทุกที เห็นเนื้อขาวๆลอยอยู่ตรงหน้า แกนึกไปถึงแกงส้มปลาสูตรเด็ด ปลาทกนั้นเล่าทำอะไรไม่ได้นอนสะบัดครีบอยู่ไปมา ครั้นแล้วแกนึกอะไรได้ จึงวิ่งตาลีตาลานไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆ นำค้อนตะปูต่างๆมาช่วยกันงัดศาลา แล้วช่วยกันหามปลาลงมา
คุณเอ๋ย ด้วยความที่ปลาทกตัวใหญ่มาก พอแกเฉียงลงไปกับขวาน ทีเดียวเท่านั้นท้องพลันแบะออก มีลิงกับมูสังวิ่งพรวดออกมาจากท้องปลาทกที่ยังไม่ตาย !
นี่คือเรื่องเล่าของลุงจัน...
ไม่น่าเชื่อใช่ไหมครับ ส่วนเรื่องหาราดที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องของลุงจันอีกนั่นแหละ เกิดจากวันหนึ่งลุงจันแกไถนาเพื่อที่จะหว่านกล้า ซึ่งสมัยก่อนผู้ชายมีหน้าที่ไถนา ผู้หญิงถอนกล้าและดำนา ตอนเช้าแกแบกไถ ไถ แจง เข้า ลง ซ้าย-เป็นการสั่งวัวเวลาไถนา ซึ่งคนปัจจุบันจะไม่เข้าใจ วัวตัวนอกตัวในก็ใช้คำสั่งไม่เหมือนกัน
วันนั้นลุงจันไปไถนาตามปกติ ไถแล้วเสร็จก็หยุดวัวไว้ แกตั้งใจจะกลับไปเอาราดมาราดนา แต่แล้วแกก็หายไป 3 ปี โดยที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน พอกลับมาอีกทีแกเล่าว่า วันที่ไปไถนา แกกลับไปหาราดที่วางไว้อีกด้านหนึ่งของนา พลันไปถึงเกิดเหลือบไปเห็นผู้หญิงตัวใหญ่เท่ายักษ์มานั่งซ้อนกุ้งอยู่ แกตกใจยืนตัวแข็งทื่อ และยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็น นาง (อุปกรณ์ในการซ้อนกุ้ง) มันซ้อนกุ้งเกือบติดตัวแกไปด้วย แกไม่รู้จะทำอย่างไร หันซ้ายหันขวาไปเห็นป่าต้นเอื้องที่อยู่ริมทาง แกเลยมุดเข้าไปหักต้นเอื้องแล้วเข้าไปซ่อนตัวในปล้องของมัน ผู้หญิงคนนั้นได้กุ้งเยอะมาก ชะรอยคิดว่าจะเอาไปแกงกับต้นเอื้องละมังก็เลยถอนต้นเอื้องออก ทำให้ติดตัวแกไปด้วย ทำไปทำมาแกก็ไปกับต้นเอื้องไปถึงเมืองๆหนึ่ง ที่มีแต่คนตัวเท่ายักษ์ เมืองที่ว่าอยู่ที่รากฟ้าแลเห็นอยู่ไกลลิบๆ แกไม่รู้จะทำอย่างไร
พอมาถึงบ้าน จังหวะที่ผู้หญิงตัวเท่ายักษ์คนนั้นหักต้นเอื้องออกแกก็กระโดดมาทันที ทีแรกนางก็ตกใจแต่พอเห็นว่าเป็นคนก็ชอบใจ ที่สุดแล้วแกเลยกลายเป็นผัวนางยักษ์คนนั้นไป
ลุงจันอยู่เมืองนางยักษ์นานมาก นานจนแกจากที่อยู่อย่างสบายใจและตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งแปลกใหม่ โดยเฉพาะในเรื่องกามกรีฑา ซึ่งเป็นที่อัศจรรย์เพราะความที่แกตัวเล็กกว่ามาก เวลาเกิดอารมณ์จะมีอะไรกับนางยักษ์ต้องใช้วิธีทุ่มลงไปทั้งตัว พอลงไปสุดตัวนางยักษ์ก็สะดุ้งฝัดแกลอยพ้นข้ามแปทูไปไกล ชีวิตวันๆจึงเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องพรรค์นี้
ทำไงได้ล่ะครับสภาพชีวิตในเมืองนางยักษ์ทุกอย่างใหญ่ไปหมด !
ครั้นถึงฤดูหนึ่งที่เมืองนางยักษ์อาศัยอยู่เป็นฤดูเล่นว่าว ปรากฏว่าว่าวของคนที่นั่นมีขนาดใหญ่มาก สายว่าวก็ใหญ่ ตัวว่าวก็ใหญ่ แอกว่าวก็ใหญ่ เวลาสาวลงแต่ละทีเรี่ยวแรงแกก็ไม่มี...เป็นเรื่องยากลำบากไปหมด เพราะการใช้ชีวิตในเมืองนางยักษ์มีแต่ของใหญ่ๆ
นอกจากนั้นแม้แต่เรื่องง่ายๆอย่างการกินอยู่ ก็ยากลำบากไปหมด ที่บ้านนางยักษ์มีต้นทุเรียนใหญ่ เวลาทุเรียนหล่นแต่ละทีแกจะได้ยินเสียงดังมาก ลองนึกภาพดูนะครับ พอรู้ว่าทุเรียนกำลังจะหลุดจากขั้วแกก็ลุกขึ้นตระเตรียมลงมือนวดข้าวเหนียว เพื่อที่จะทำข้าวเหนียวทุเรียน แกฝัดข้าว ร่อน แล้วตาก 1 วัน จากนั้นก็ตำ สี ซึ่งขณะนั้นผลทุเรียนที่หล่นมาแล้วยังหล่นไม่ถึงพื้น พอหุงข้าวเหนียวแล้วเสร็จ ทุเรียนก็หล่นลงมาถึงพื้นเสียงดังมาก ผลของมันมีขนาดเท่าไอ้หมอนทองสักห้าสิบลูกรวมกัน ลูกเรียนที่หล่นมานึกดูแล้วกันว่าหนามทุเรียนยักษ์จะใหญ่ขนาดไหน เสียงดังก้องป่าเมืองยักษ์ทีเดียวแหละ สะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด ต้องไปขอช่วยคนมาผลักทุเรียน เพื่อฉีกเอาเนื้อ พอผลักทุเรียนออก รอยแยกของซีกทุเรียน พลันมีลูกควายฝูงหนึ่ง วิ่งเข้าไปอยู่ในหลุมทุเรียน ลองนึกดูว่าวงทุเรียนจะขนาดมหึมาสักเท่าไร
ไม่นานนักแกก็รู้ว่าเมืองที่นางยักษ์อยู่นี้เรียกว่า ยักษ์ส้า อยู่บนรากฟ้าสูงลิบ ด้วยความที่ลุงจันแกอยู่ที่นั่นนาน จนสนุกสนานพอสมควรแกก็เริ่มคิดถึงบ้าน แต่เอาล่ะสิ ทำอย่างดีเพราะว่ากลับบ้านไม่ได้ เพราะระยะทางไกลมาก นางยักษ์เองเล่าก็หวงแกมาก ครั้นแล้วแกก็อยากกลับบ้าน คิดถึงบ้านมากขึ้นไปอีก เลยหาวิธีการที่จะกลับบ้านที่รัตภูมิ-เขาตกน้ำ อยู่ต่อมาแกยิ่งรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการอยู่เมืองนางยักษ์ วันหนึ่งโชคดีที่มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น คือ ช้างของนางยักษ์ตาย มีแร้งมากินช้าง ความที่หนังช้างหนามากแร้งจึงต้องเข้าไปกินช้างทางก้นช้าง ช่วงที่แร้งเข้าไปกินข้างในช้างแกนับดูแล้วจำนวนสักร้อยตัวเห็นจะได้ แกเลยได้ความคิดที่จะกลับบ้าน โดยคอยดูจังหวะที่แร้งเข้าไปมาก แกย่องเข้าไปเอาหญ้าคาอุดรูทวารของช้างเอาไว้ แร้งที่อยู่ในท้องช้างตกใจบินแกรีบกระโดดขึ้นบนท้องช้าง แล้วกระพือมือทั้งสองข้าง และใช้เท้าถีบที่ท้องช้างเพื่อให้แร้งตกใจแล้วบินปรากฎว่าช้างค่อยๆลอยขึ้นทีละนิด แกบังคับทิศทางให้มาทางบ้านที่รัตภูมิ มันก็มาเรื่อยๆ พอมาถึงแถวสีสอนแกก็ถอดอุดหญ้าออก แร้งในท้องช้างค่อยๆบินออกทีละตัวช้างก็เลยลงทีละนิดอย่างนิ่มนวล แกถึงบ้านในที่สุด
นี่คือเรื่องจันหาราด...ผมได้ยินลุงจันเล่าเรื่องนี้มานานแล้ว ความที่รู้จักลุงจันดีผมจึงรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่าธรรมดา เรื่องเล่าของลุงจัน-อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรกนั่นแหละว่า มันมีเหตุมีผลในตัวของมัน หาใช่ไร้เหตุผล งมงายเหมือนความเชื่อคนทุกวันนี้ เพียงแต่เหตุและผลของคนแต่ละยุคสมัยมันไม่เหมือนกัน ความจริงคนเมื่อก่อนไปเที่ยว หรือว่าไปลัก(ขโมย)ของคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลก คนแต่ก่อน..แสดงว่าเขาสอนให้ลักกันจริงๆ แต่การลักไม่เป็นคนชั่ว สมัยก่อนมันต้องเที่ยว เที่ยวแล้วลัก คนเมื่อก่อนออกจากบ้าน ผ้าถุงผืนเดียว เสื้อตัวเดียว ผ้าขาวม้าผืนเดียว รองเท้าไม่ต้อง เดินทางไปเป็นปี ไปอยู่บ้านเพื่อน สุดท้ายแล้วไปลักกิน คนบ้านเราเมื่อก่อนต้องลัก ไปขอลูกสาวเขา เขาถามว่าลักเป็นไหม ถ้าลักไม่เป็นรำโนราก็ไม่เป็นเขาไม่ยกลูกสาวให้ คือจะต้องเป็นสักอย่าง คือคติของคนเมื่อก่อน ตาจันที่หายไปแกก็ไปลัก ไปอยู่กับผู้หญิงอื่น แล้วแกมาเล่า...โกหกทั้งนั้นแต่เป็นโกหกที่มีเหตุผลก็เล่าต่อกันมา
และผมได้ยินได้ฟังแล้วอดไม่ได้ก็เลยหยิบมาเล่าต่ออีกที.