เรื่องสั้น
นิทานบนฝาผนัง
นิทานบนฝาผนัง
รัตนชัย มานะบุตร
เสียงเด็ก ๆ กำลังไล่จับลูกไก่
ใครอยากฟังนิทานบ้าง&มาทางนี้ ผมตะโกนออกไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีนิทานอะไรจะเล่า
เฮย!ไอ้ลุงคนนั้นจะเล่านิทานให้เราฟัง เราไปฟังนิทานกันก่อนเดี๋ยวค่อยมาจับกันใหม่
เสียงวิ่งอ้อมไปทางหน้าบ้าน แล้วผมก็เห็นหน้าพวกเขาเกือบทั้งหมดยืนสลอนอยู่ที่ปลายเตียง
พวกเขามีหลายคนเสียจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นลูกหลานใคร บางคนขาดคนสอนให้รู้จักใช้คำพูดคำจาที่เหมาะสม แต่ดูเหมือนการรับราชการมานานทำให้เราห่างเหินจากเด็ก ๆ ไป แต่ก็นั่นแหละพวกเขาเป็นเด็กรุ่นนี้ ใช่ นี่คือเด็กรุ่นนี้
นี่พวกเธอมายืนอยู่ทำไมล่ะ
อย่ามาพูดเล่นลิ้นหลอกพวกเราน๊ะ เราอยากฟังนิทาน
ไม่มีหรอก มีแต่เรื่องจริง ๆ
ไม่เอาเรื่องจริง เราอยากฟังนิทาน
ถ้าพวกเธอต้องการเช่นนั้น
ด้วยปลายนิ้วชี้ของคนธรรมดาสามัญ ผมเลยชี้ไปยังฝาผนัง แสงน้อย ๆ จากดวงจันทร์ และดวงดาวพลาสติกที่ลูกสาวติดไว้บนฝาผนังเมื่อตอนที่เธอเคยอยู่ในห้อง ๆ นี้ ซึ่งเนื้อในมีฟ้อสฟอรัสส่องแสงนวลยามดับไฟ ตรงมุมห้องห้องนี้ยามฝนตกน้ำฝนจะรั่ว ผมเคยนำช่างมาซ่อมแต่ไม่หาย ฝนรั่วมานานจนเห็นคราบไคลและรอยเปื้อน ฉะนั้นพื้นฝาด้านนี้จึงมีอะไร ๆ มากมายเปรียบเสมือนแผนที่ย่อโลกทั้งโลกมาไว้ที่นี่ ภายในห้องนอนบัดนี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์พลาสติกสุกสว่างให้เห็นหยากไย่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวคล้ายกลุ่มเมฆฝอยลอยอยู่บนฟ้าสูง สัตว์ตัวเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งกำลังเดินเรียงแถวใต้กลุ่มเมฆหยากไย่ที่ว่า ผมเพ่งดูอยู่นานยังมองเห็นไม่ชัดว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนั้นเป็นสัตว์ประเภทไหนกันแน่ ตัวเท่ามดแต่ท่าเดินช่างเหมือนคน หากเป็นคนแคระคงไม่ใช่แน่นอน เพราะตัวเล็กเท่ามดดำเอง ผมหยิบแว่นตามาสวมเพื่อขยายให้เห็นชัดว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ บนฝาผนังกว้างยาวสี่เมตรกลับกว้างใหญ่ไพศาลมองดูสุดลูกตา รอยคราบน้ำฝนเป็นเส้นแบ่งคั่นระหว่างแผ่นดินกับแผ่นฟ้ากว้าง เบื้องบนที่มีแสงจันทร์กำลังส่องสว่างเรืองรอง ผมเห็นคนจูงม้าซึ่งบนหลังมีหีบสำภาระ แล้วม้าอีกตัวมีหญิงสาวทรวดทรงอรชรแต่งหน้าทาปากและสวมชุดโนราสวยงามมาก เธอนั่งอยู่บนหลังม้าโดยมีคนจูง คณะโนรากำลังเดินไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่เมืองใดเมืองหนึ่ง ผมดูขบวนโนราจนพวกเขาลับไปจากสายตา ช่างประหลาดที่เสียงขับโนรายังคงแว่วดังอยู่ตามรายทางชวนให้หลงไหลยิ่งนักอย่างน้อยทำให้ใจผมรู้สึกโหยหาและอยากเห็นนางโนราที่นั่งบนหลังม้านั้นอีก
ผมลุกจากที่นอนกรายเท้าไปตามเสียงขับขาน ตามองหารอยเท้าม้า ผมเริ่มคิดทบทวนเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองไหนบ้างผมยังนึกไม่ออก ผมนึกได้ว่างานวัดมักสั่งโนราจากที่อื่นไปเล่นเสมอ และคนพวกนั้นคงขับโนราทบทวนความจำในระหว่างการเดินทาง ด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะของนางโนราทำให้เสียงนั้นติดตามยอดไม้ใบหญ้าที่ขบวนเดินทางผ่าน
ผมเดินไปไม่นานก็มาถึงภูเขาที่โล้นเลี่ยน จะเพราะเหตุใดก็ตามแต่มันเป็นภูเขาที่ถูกตกแต่งมาแล้วด้วยการเรียงร้อยก้อนหินใหญ่น้อยวางเรียงรายไว้อย่างมีระเบียบสวยงาม มีร่องทางเดินตัดภูเขาสำหรับคนผ่านทางได้รับความสะดวก ขณะที่ผมกำลังก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้น จู่ ๆ ปรากฏเสียงกระแทกของวัตถุบางอย่างดังขึ้น แล้วผมก็เห็นสิ่งประหลาด มีหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งกำกลิ้งขึ้นมาจากที่ลาดต่ำด้วยความเร็วไม่ต่างไปจากที่มันตกมาจากบนภูเขา ผมคิดว่าตอนนี้โลกกำลังวิบัติทำให้แรงดึงดูดเปลี่ยนทิศทางไป มันกระแทกกับก้อนหินขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างแรงกระแทกทำให้มันกระเด้งกระดอนผ่านผมไปจนเกือบหลบไม่ทัน ไม่เช่นนั้นกระดูกกระเดี้ยนิ่มเหมือนงูเหลือมรัดทีเดียว ภาพสุดท้ายที่เห็นมันกระแทกกับหินก้อนโตที่สุดที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาจนไอ้ก้อนโตสั่นสะเทือนแล้วกลิ้งตกลงมา ผมแอบใต้ซอกหินก้อนหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัย อึดใจรอ.ให้มันผ่านไป ช่างเป็นภาพที่สวยงามที่สุดคือภาพที่มันกระเด็นกระดอนไปตามแรงกระแทกจากก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนที่เรียงรายลดลั่นสู่เบื้องล่างท่ามกลางเสียงดังปานฟ้าถล่ม มันเป็นก้อนมหึมาหากเทียบกับก้อนที่กลิ้งขึ้นไปแทน แทนที่มันจะหยุดอย่างเชื่องช้าสวยงามที่เชิงเขาแต่กลับกลิ้งหลุดหายไปจากสายตา
ไอ้ก้อนเล็กไปแทนหินก้อนโตอย่างอหังการ
ผมคิดถึงแม่น้ำสายเล็ก ๆ ในหน้าแล้ง มันอหังการมากในหน้าฝนเพราะไม่มีใครสามารถหยุดความแรงกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดของมันได้
เมื่อทุกสิ่งสงบลงผมมองหารอยเท้าม้าซึ่งได้หายไปจากร่องทางเดิน หูเงี่ยฟังเสียงขับโนรา มันช่างเงียบเชียบดั่งตกอยู่ในป่าช้า ผมกำลังหลงทิศหลงทางเหมือนไก่ตาบอดที่เดินไปอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งผมมาพบบ้านหลังหนึ่งปลูกอยู่กลางสวนผลไม้ เงาะสุกเต็มต้น ทุเรียนหล่นเกลื่อนส่งกลิ่นหอม ผมอยากกินทั้งทุเรียนและเงาะแต่มองหาเจ้าของไม่พบ หากผมถือวิสาสะกินเข้าไปย่อมได้ หากเจ้าของมาพบเข้าเราก็ขอเขากิน หากเขาไม่ให้เราก็จ่ายเงิน หากเจ้าของไม่มาพบเราก็กลายเป็นขโมยของของเขากิน&ก็เท่านั้น แต่กิเลสตรงนั้นผมไม่มี ประตูบ้านปิดสนิท มีหมาสีดำตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ถุน เมื่อผมเดินเข้าใกล้ก็เห็นว่ามันท้องแก่ หลับเป็นตายไม่ยอมรับรู้เรื่องราวรอบข้างแม้แต่น้อย แต่เมื่อผมเดินผ่านเกิดได้ยินเสียงเห่าดังเล็ก ๆ ซึ่งไม่ใช่เสียงแม่หมาที่หลับแน่นอน ผมหันกลับไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง มองดูรอบ ๆ จนทั่วใต้ถุนว่ามีหมากี่ตัวกันแน่ แต่ไม่เห็นมีลูกหมาภายในบริเวณนั้นแม้แต่ตัวเดียว เสียงเห่าดังขึ้นอีกครั้งผมเงี่ยหูฟังจนแน่ใจว่าเสียงเห่าดังมาจากลูกหมาที่อยู่ในท้องแม่ของมันนั่นเอง
ผมคิดถึงเด็ก ๆ ที่บางทีพวกเขากำลังลอบมองผมอยู่ตามเหลือบมุมใดมุมหนึ่งในห้องนอนของผมก็ได้ อาจมีใครคนใดคนหนึ่งเรียกห้องนอนห้องนี้ว่า ห้องนอนคนบ้า
ผมผ่านสวนผลไม้มาครู่หนึ่งถึงที่ราบเตียน เปลวแดดที่ร้อนระอุจนรู้สึกหิวน้ำขึ้นมาเป็นกำลัง มองหาที่ราบลุ่มเผื่อมีสายห้วย แล้วผมมองเห็นกาบหมากซึ่งเย็บเป็นภาชนะเล็ก ๆ มีสายเชือกสำหรับหย่อนลงไปในบ่อจ้วงตักน้ำ มันครอบอยู่บนหัวไม้หลัก เมื่อเดินไปใกล้ปรากฏมีบ่อซึ่งไม่รอช้าที่จะตักน้ำมาดื่มแก้กระหาย แต่อนิจจาไม่ปรากฏว่ามีน้ำในบ่อแม้แต่น้อย ขณะที่อารมณ์เสียนั้นได้เหลือบไปเห็นบ่อน้ำอีกสองลูกซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ในบ่อสองลูกนั้นมีน้ำเต็มปริ่มอย่างประหลาด
ผมคิดถึงการซึมซับของดินที่ไม่มีในพื้นที่แคบ ๆ ตรงนี้ แล้วคิดถึงการแบ่งสันปันส่วน แล้วก็หวนคิดถึงคนที่รวยกับคนที่จน
ผมกำลังกลายเป็นคนหลงทางที่ตัวเองอาจหลงเข้าไปอยู่ในเรื่องเล่าที่คนคนหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ในเมือง ญินน์ สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ไม่สามรถมองเห็นพวกเขาได้ ผมยังคิดไปถึงการได้แต่งงานกับพวกญินน์โดยลืมลูกลืมเมียบนโลกมนุษย์เสียด้วยซ้ำ อะไรเป็นต้นเหตุทำให้ผมพาตัวตนมาหลงทางในครั้งนี้ แน่ล่ะ เพราะผมต้องมนต์เสน่ห์ นางโนราจนหลงงมงาย มันคือตัวกิเลส ทำให้ผมต้องหลงอยู่ในดินแดนที่ไม่ใช้บ้านเกิดเมืองนอนขณะนี้
ทุก ๆ ย่างเท้าที่ก้าวไป หาได้เป็นสิ่งที่ผมกำหนดทิศทางได้เลย มันเป็นไปโดยมีอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลัง ผมมีตัวตนก็เหมือนรูปตัวหนังตะลุง มีเพียงความพยายามเท่านั้นที่เป็นของผม ขณะนี้ผมพยายามที่จะหลุดออกไปจากการตามหานางโนรา ผมจะไม่คิดถึงมันอีก เท้าพาผมไปใจพยายามหาเส้นทางเดินกลับ ผ่านที่ไหน? เขตแผ่นดินเมืองใด? ไม่รู้จะถามใคร เพราะไม่พบใครสักคน
แต่แล้วผมก็พบคนเข้าจนได้ เป็นคนแรกในโลกปริศนาเพียงคนเดียว นางคือหญิงชรามีผ้าคลุมศีรษะกำลังนั่งเหลาไม้ไผ่จักสาน ผมออกท่าทางดีใจรีบวิ่งเข้าไปถาม โต๊ะแก่ครับ บ้านสะเดา เมืองหวัดสงขลาไปทางไหนครับ
ที่นี่แหละ และแกกำลังอยู่ในห้องของตัวเอง
ผมหันไปดูรอบผมยืนยันหนักแน่น ไม่ใช่ ที่นี่ไม่รู้ที่ไหน
ก็แกกำลังหลงทางไง แกจึงจำมันไม่ได้
ใช่ ผมกำลังหลงทาง โต๊ะแก่ช่วยบอกทางให้ผมทีเถอะ
ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าที่นี่เป็นบ้านของแก ที่แกหาไม่เจอก็เพราะแกหลงอยู่กับเรื่องของเล่นของรำสติสตางของแกไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว หากแกเลิกคิดถึงนางโนราเท่านั้น แกก็จะรู้เองว่าแกอยู่ที่ใด ไม่เช่นนั้นแกก็จะไม่มีทางกลับไปได้หรอก ที่ข้าพูดแกคงเข้าใจ
ผมพยายามหาข้อแก้ตัวจะแก้ต่างแต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าของเล่นของรำมันไม่ดีตรงไหน แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปหาตัวเอง ผมเป็นคนมีครอบครัวแล้วต้องรับผิดชอบลูกเมียอยู่ จึงอ้างไม่ได้เลยที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้นางโนรามาเป็นคู่ครอง ผมจึงได้แต่อ้ำอึ้ง
ข้ารู้ว่าแกจนมุมเข้าแล้ว แต่ในใจแกยังมีข้องสงสัยอื่นค้างคาอยู่อีก แกมีเรื่องในใจอยากถามข้าเปิดโอกาสให้ จะถามอะไรก็จงถามมาเถอะ บอกได้ก็จะบอก
ครับ ผมเข้าใจแล้วล่ะ&ข้อข้องใจมีอยู่ว่า ที่ผมเดินทางมาพบสิ่งประหลาดเป็นปริศนาตั้งสามอย่าง โต๊ะแก่มีอายบุมานานพอจะบอกได้ไหมล่ะว่ามันหมายถึงอะไร? โต๊ะแก่หัวเราะร่วนแล้วก็ตอบว่า นั่นแหละ เป็นเรื่องราวของคนรุ่นหลังแล้วล่ะ
โต๊ะแก่ชี้ให้ดูข้ามผมไปข้างหลัง ใช่..พวกเด็ก ๆ ยังคงอยู่ พวกเขาบางคนกำลังหัวเราะ บางคนอ้าปากค้าง และบางคนนั่งหลับจนน้ำลายไหล
เรื่องราวของคนรุ่นหลัง
ผมแสดงละครให้พวกเด็ก ๆ ดูนานเท่าไหร่ไม่รู้