เรื่องสั้น
เรื่องสั้นที่ดีที่สุดของผม
เรื่องสั้นที่ดีที่สุดของผม
เรียนท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกท่าน เรื่องสั้นที่พวกคุณจะได้อ่านต่อไปนี้ อาจจะเป็นเรื่องราวที่อ่านดูแปลก ๆ สำนวนการเขียนอาจจะแปร่ง ๆ ขัดหูขัดตา โครงเรื่องเบาโหวงและไร้หลักการตามแบบฉบับการเขียนเรื่องสั้นที่ดี ฯลฯ (และอื่น ๆ อีกมากมายในช่องว่าง และจุดบกพร่องที่พวกคุณมองเห็นแต่ผมยังคิดไม่ออกในตอนนี้) ซึ่งถ้าพวกคุณคาดหวังที่จะได้อ่านเรื่องสั้นดี ๆ สักเรื่องหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนโลกใบนี้ได้ ผมขอแนะนำให้เรา (ผมและพวกคุณ) ยุติความสัมพันธ์กันตรงบรรทัดนี้ เพื่อเราจะได้ไม่เกลียดและเลิกคบกันเหมือนความสัมพันธ์ของผมและเพื่อนที่ขาดสะบั้นไปแล้ว
ใช่! พูดถึงแล้วยังแค้นใจไม่หาย (ผมขอแสดงความเชิดชูเกียรติพวกคุณที่สอดรู้สอดเห็นที่จะอ่านต่อไป) ผมและมัน(คนที่เคยเป็นเพื่อนผม)เลิกคบกัน ก่อนอื่น(หมายความว่าก่อนที่จะเล่าเรื่องราวก่อนไป)ขอออกตัวก่อนว่านี่ไม่ใช่เรื่องสั้นแนวหักมุมที่มักจะเฉลยอะไรแปลก ๆ ในตอนจบให้หักหลังจนหลังหักกัน ผมจึงไม่ได้เป็นชายหนุ่มที่รักเพศเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าจู่ ๆ เพื่อนผมมันก็แสดงออกว่าผิดเพศสาวแตก เหมือนชายหนุ่มบางคนที่นิ้วก้อยเพิ่งเผยโฉมออกมาหลังจากมีลูกชายคนที่สอง กับภรรยาคนที่สาม แต่จุดจบของเรื่องทั้งหมด มันเกิดขึ้นจากการแสดงออกอย่างชัดเจน ชัดเจนมากเกินไปในเรื่องหนึ่งของมัน และมันกลายเป็นเรื่องชัดเจนเกินไปสำหรับคนที่ไม่ได้ชัดเจนในเรื่องเดียวกับมันเช่นผม
มันเป็นนักเขียนเรื่องสั้น
ก่อนที่จะเล่าถึงจุดแตกหัก หรือในภาพยนตร์อาจจะเรียกได้ว่าจุดไคลแมกซ์ ผมจะขอเล่าเรื่องแบบยืดเยื้อเป็นการปูพรมแดงไปก่อนจะเข้าโรงฉายก่อนแล้วกัน<br />
ผมและมันเป็นเพื่อนกันกว่ายี่สิสบปี! ยี่สิบปีที่ผ่านไปรวดเร็วราวกับหายใจครั้งเดียว และสำหรับผมในนาทีนี้เหมือนหายใจทิ้ง ผมไม่รู้ว่าอาการอยากเป็นนักเขียนของมันนั้น เริ่มลงแดงตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่เพียงว่าระยะสามปีที่ผ่านมานี้มันมักจะเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยออกมาสุงสิงกับเพื่อนฝูงเป็นประจำเหมือนแต่ก่อน และในที่สุดความจริงก็ปรากฏออกมาหลังจากที่มันมีงานเขียนเรื่องหนึ่งลงในนิตยสารรายสัปดาห์ ตอนแรกที่ได้รับรู้ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นเรื่องที่มันเขียนจริง ๆ (หลังจากที่มันพยายามยัดเยียดนิตยสารรายสัปดาห์ฉบับนั้นให้ผมอ่านและเก็บไว้เป็นที่ระทึกสองเล่ม) แต่ด้วยชื่อจริงนามสกุลจริงที่อยู่ด้านบนของเรื่องสั้นของมัน ทำให้ผมมิอาจไม่เชื่อได้ว่ามันเรื่องที่เขียนโดยคนอื่น ที่มีชื่อกับนามสกุลเดียวกันกับเพื่อนผม
หลังจากยอมรับได้แล้วว่ามีเพื่อนเป็นนักเขียน ผมค่อนข้างที่จะรู้สึกยินดีและดีใจที่มีเพื่อนเป็นนักเขียน สำหรับผม นักเขียนในความหมายที่ผมเข้าใจก็คือคนที่มีความคิดที่ยอดเยี่ยม เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการและความสามารถในการใช้ภาษาที่สูงในการถ่ายทอดเล่าเรื่องราวออกมา
ผมยอมรับว่าไม่มีพรสวรรค์หรือพรแสวงในด้านนี้เลยสักนิด แต่เพื่อนผมมีหลังจากผ่านการ(แอบ)ฝึกฝนมานานกว่าสามปี(หรือมากกว่านั้นผมไม่รู้เพราะมันไม่บอกภูมิหลังของตัวเองในวัยเด็กให้ผมฟังอย่างละเอียด)<br />
หลังจากที่ผมอ่านผลงานเรื่องแรกของมันจบในวันนั้น อันดับแรกผมต้องขอออกตัวบอกก่อนเลยว่า ผมอ่านงานเขียนของมันไม่รู้เรื่องและไม่สนุกเลยสักนิดเดียว เพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคมการเมืองและการใช้สัญลักษณ์ตีความที่สลับซับซ้อน ซึ่งผมไม่ใช่คนที่ใช้สมองไปในแนวทางนั้น แต่มันคงคิดว่าผมชอบงานเขียนมันละมั้งมันเลยบอกกับผมว่า ไม่คิดจะลองเขียนเรื่องสั้นดูบ้างหรือไง
โน!
แน่นอนผมปฏิเสธไปในทันที เพราะไม่ได้มีใจรักและมีความบ้าวรรณกรรมเฉกเช่นมัน ผมกับการเขียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัว คนละสังคมเหมือนอยู่ห่างกันคนละโลก คนละมิติดาวคนละดวงเลยก็ว่าได้ จำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ผมเขียนภาษาไทยเป็นเรื่องเป็นราว ก็ตั้งแต่ตอนสมัยเรียนประถมกับการเขียนเรียงความเรื่องอนุรักษ์ธรรมชาติอะไรสักอย่าง อย่างแน่นอนและไม่ต้องสงสัยว่าผมมีความสุขกับการเบ่งสมองคิดเรื่องราวโม้ ๆ มาเขียนหรือเปล่า<br />
ถูกต้อง! ผมไม่มีความสุขกับการเขียนเลยสักนิด (และส่วนหนึ่งที่ผมไม่ชอบการเขียนก็คือ ปมฝังใจ(แน่นอนคนเราย่อมมีปมฝังใจในอดีตเป็นธรรมดาเพื่อเป็นเหตุผลรองรับในการเกลียดหรือกลัวอะไรสักอย่างในอนาคต) ที่มีต่อการเขียนเรียงความฉบับนั้นกับคะแนนที่น้อยที่สุดในห้อง กับคำพูดของครูที่หน้าชั้นเรียนตอนประกาศคะแนนว่า ผมไม่มีวาทะศิลปะในการใช้ภาษาไทยและไม่มีจินตนาการในการถ่ายทอดเลยสักนิดเดียว)
เจ็บใจ เคียดแค้นและอับอาย เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้น
และแล้วในที่สุด จากวันนั้นจนถึงทุกวันนี้ ผมก็ไม่เคยเขียนเรื่องราวเป็นชิ้นเป็นอันเลยสักครั้ง สักเรื่องหรือแม้สักประโยค
แต่มันก็พยายามตื้อให้ผมเขียนจนได้ เพราะด้วยความรำคาญหรือรำวงอะไรสักอย่างที่ผมก็บอกไม่ถูก ผมจึงอือออไปกับมันและสัญญาว่าจะลองเขียนเรื่องสั้นมาให้มันอ่านดูสักเรื่อง ด้วยคำพูดที่หลุดปากออกไปนั้นทำให้มันเผยกลเม็ดในการเขียนเรื่องสั้นให้กับผมฟังมากมาย ทั้งแนะนำหนังสือดี ๆ ให้อ่านเพื่อเป็นแนวทางในการเขียนเรื่อง
วันนั้นผมนั่งฟังมันพูดพล่ามกว่าสามชั่วโมง กับนิตยสารรายสัปดาห์ที่อยู่ในมือสองฉบับ จากเฉย ๆ กลายเป็นน่าเบื่อจากน่าเบื่อกลายเป็นน่ารำคาญ แต่ด้วยการเป็นผู้ฟังที่ดีผมจึงเก็บความรำคาญนั้นไว้ในกระเป๋าและไม่เอาออกมาให้มันดู
จากวันนั้นจนถึงวันนี้(วันที่ผมเลิกคบกัน)เวลาก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว กับคำสัญญาที่ผมยังไม่ได้ลงมือทำจริง ๆ จัง ๆ สักที ถ้าจะพูดกันตรง ๆ คือผมไม่ได้สนใจและลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ
แล้วมันก็มาทวงสัญญาผม กับนิตยสารรายสัปดาห์ที่มีผลงานของมันห้าฉบับในมือ
ผมจะขอเล่ารายละเอียดอีกเรื่องหนึ่ง คือในช่วงปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา หลังจากเรื่องสั้นเรื่องแรกของมันที่ได้ลงนิตยสารรายสัปดาห์ ผลงานของมันก็มีออกมาเรื่อย ๆ ไม่ขาดสายเหมือนน้ำตกเชี่ยวกรากในฤดูฝน มันได้รางวัลประกวดเรื่องสั้นจากหลาย ๆ เวทีทั้งเวทีเล็กและใหญ่ ชื่อนามสกุลของมันกระโดดเข้าสู่แวววงวรรณกรรมเต็มตัว และเริ่มเป็นที่นับหน้าถือตาของคนในวงการนี้
มันเริ่มยกตัวเองเป็นศิลปินเต็มตัว และมันเรียกแทนตัวให้ผมฟังว่า กูเป็นนักเขียน
ผมรับนิตยสารรายสัปดาห์สามฉบับมาจากมือมัน (ผมไม่รู้ว่ามันจะยัดเยียดความดีความชอบของตัวเองให้ผมชื่นชมทำไมทีละหลาย ๆ เล่ม ซ้ำ ๆ กัน) มันทวงต้นฉบับจากผม
แน่นอน! ผมไม่มีต้นฉบับให้มัน เพราะผมยังไม่ได้เริ่มเขียนเลยด้วยซ้ำ
ผมชักสีหน้าเหนื่อยหน่ายกับความไม่ใส่ใจของผม และบอกกับผมว่า ตอนนี้มีการประกวดเรื่องสั้นของช่อการะเกด (ผมไม่รู้จักช่อการะเกด มันคือชื่อของอะไรดอกไม้หรือหนังสือแบบเรียนวิชาเกษตร) อยากให้ผมเขียนเรื่องสั้นส่งไปลองดู อ้อ! มันพูดว่าให้ผมเขียนเรื่องสั้นที่ดีที่สุดส่งไปดู
ผมอิดออดพยายามหาเรื่องอื่นมาพูด แน่นอนจะไปเขียนได้ยังไงล่ะ ผมเป็นคนมีปมกับการเขียนเรื่องราวบนหน้ากระดาษอยู่แล้ว
มันคะยั้นคะยอบอกว่าให้เวลาสองชั่วโมง ให้ผมเขียนเรืองสั้นให้มันอ่านสักเรื่อง มันจะนั่งรอ!
ไม่อยากใช้คำว่าบัดซบ แต่มันเป็นเรื่องบัดซบจริง ๆ ที่ผมต้องถูกบีบบังคับให้เขียนเรื่องราวที่ผมไม่อยากเขียนในเวลาที่จำกัด ผมถามมันว่าจะให้ผมเขียนอะไร มันตอบกลับมาอย่างหน้าโดนต่อยว่า ก็ให้ผมเขียนเรื่องสั้นที่ดีที่สุด
ผมถามมันกลับไปว่าทำไมต้องเรื่องสั้นที่ดีที่สุด มันก็ตอบกลับมาอย่างน่าโดนกระโดดกระถีบว่า มันอยากได้เรื่องสั้นที่ดีที่สุดจากผม และทางการประกวดอยากได้เรื่องสั้นที่ดีที่สุดจากนักเขียน
แม้ผมจะบอกมันว่าในสองชั่วโมงผมไม่สามารถทำได้อย่างที่มันขอหรอก แต่มันก็ยังพูดแบบปรัชญาตามประสากูเป็นนักเขียนว่า อำนาจของวรรณกรรมมีจริงไม่เชื่ออย่าลบหลู่ มันยังอ้าง(ความสามารถ)ตัวเองว่า มันเคยเขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งเพียงสามสิบนาที แล้วได้รางวัลชนะเลิศจากเวทีประกวดระดับชาติด้วย
หลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งกว่าชั่วโมง ผมก็ยอมแพ้บอกกับมันว่าเขียนไม่ได้ มันแสยะยิ้มกลับมาบอกกับผมว่า กูเชื่อว่ามึงทำได้เพราะมึงเป็นเพื่อนนักเขียน<br />
ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ผมสมควรกระทืบปากหรือว่าต่อยเบ้าตามันดี แต่กลั้นใจอยู่พักหนึ่งก็ ยอมเผยความลับของตัวเองออกมาบ้าง (ใช่แล้ว! ผมมีความลับที่ไม่ได้บอกใครเลยแม้ในเรื่องราวที่เล่ามาตั้งแต่ต้น ผมก็ไม่แพลมออกมาแม้แต่นิดเดียว มันเป็นความลับสุดยอด)<br />
แฮ่ม! ตั้งใจฟัง(อ่าน)กันให้ดี ๆ นะครับ
ผมมีเรื่องสั้นอยู่เรื่องหนึ่ง ใช้เวลาเขียนกว่าปีหลังจากที่ให้คำสัญญากับมันในวันนั้น แต่ด้วยความไม่กล้าและเขินอายจึงไม่กล้าบอกมัน และไม่กล้าบอกใคร(รวมทั้งพวกคุณ)ว่าผมก็มีเรื่องกับเขาเหมือนกัน
สิ้นคำเฉลยของผม อาการของมันก็ออกแบบเด็กอยากได้ของเล่น บอกกับผมให้รีบเอาเรื่องสั้นมาให้มันอ่าน มันจะดูให้ (แน่นอนนักเขียนเก่ง ๆ อย่างมันพร้อมที่จะวิเคราะห์ วิจารณ์งานใครก็ได้ในนาทีนี้) ในตอนแรกแม้จะพูดออกไปแล้วว่ามีพอตอนหลังดันเฉลยว่ามี ผมก็ไม่อยากที่จะเอางานออกมาให้มันอ่าน แม้ว่าผมจะมั่นใจกับงานชิ้นนี้มาก เพราะมันผ่านการอ่านและขัดเกลาเป็นร้อย ๆ รอบแล้ว
ในท้ายที่สุดผมก็หยิบเรื่องสั้นของผมมาให้มันอ่าน<br />
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นงานชิ้นที่สองต่อจากงานเขียนที่ถูกวิจารณ์หน้าชั้นเรียนว่า ไร้วาทะศิลปะและจินตนาการ และอาจจะเป็นเพราะความมั่นใจส่วนตัวที่เป็นแรงผลักในการทำให้ผมไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น(ในครั้งนั้น) ผมจึงมั่นใจว่างานตัวเองดีแต่ตาของคนอ่านไม่ถึงเองต่างหาก
งานชิ้นนี้ผมมั่นใจมากว่ามันเป็นงานที่ดีที่สุดของผม
มันอ่านของผมช้า ๆ จากบรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้าย แล้วมองหน้าผมถอนหายใจ แล้วอ่านซ้ำอีกรอบ<br />
อกข้างซ้ายหัวใจผมเต้นรัวแรง ผมไม่รู้ว่าหลังจากที่มันอ่านจบแล้ว มันจะว่ายังไงบ้างกับสิ่งที่ผมเขียน มันจะชอบและรักงานชิ้นนี้เหมือนที่ผมเป็นหรือเปล่า
หลังจากอ่านรอบที่สองจบ มันวางต้นฉบับผมลงบนนิตยสารรายสัปดาห์ที่มันถือมา เอานิ้วนวดคลึงดวงตา พูดเบา ๆ ออกมาว่า<br />
นี่เหรองานเขียนที่ดีที่สุดของมึง
จุดไคลแมกซ์เกิดขึ้นทันทีที่สิ้นประโยคนี้ของมัน ความเป็นเพื่อนของผมกับมันก็ยุติลงในทันที ผมไม่ลังเลใจเลยที่จะเลือกว่าจะกระทืบหน้า ต่อยปากหรือกระโดดถีบมัน (แน่นอนผมทำทุกอย่าง โดยเรียงลำดับจากการออกอาวุธที่แรงที่สุดของผม ต่อยปาก!)
มันลงไปนอนกองกับพื้นเลือดกบปาก ผมแสยะยิ้มให้มันด้วยรอยยิ้มเดียวกับที่มันเคยแสยะยิ้มให้ผม
นี่แหละเรื่องสั้นที่ดีที่สุดของกู ผมบอกมัน
มันไม่พล่ามอะไรออกมาเลยสักคำเดียว<br />
ผมหันหลังให้มันเดินกลับเข้าบ้านหยิบกระดาษปากตามาวางบนโต๊ะ ระบายความอัดอั้นในใจที่เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ลงบนหน้ากระดาษ จำได้ว่าเทคนิคหนึ่งในการเขียนเรื่องสั้นที่ผมเคยอ่านเจอก็คือ เรื่องสั้นที่ดีควรจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง เพราะมันจะได้มีพลังถ่ายทอดออกมาเต็มที่
ถอนหายใจแรงออกมา มองดูตรงสันมือเลือดสีแดงค่อย ๆ แห้งเป็นลิ่ม ผมเริ่มรู้สึกชา ๆ บริเวณนั้นคิดว่าพรุ่งนี้คงปวดระบม<br />
นี่แหละครับคือจุดเริ่มต้นทั้งหมดของผมในการเขียนงานชิ้นนี้ แล้วผมก็มาลงมือเขียนเรื่องสั้นเรื่องนี้ให้พวกคุณได้อ่านกัน
พวกคุณว่าเรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ดีที่สุดหรือเปล่าครับ?