เรื่องสั้น
ศุภสิทธ์กับสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น
ศุภสิทธ์กับสิทธิ์ในการแสดงความคิดเห็น
ใคร ๆ ก็ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ศุภสิทธิ์ เป็นคนไม่ฉลาด ไหวพริบไม่ดี คิดช้า ไม่ทันคน ด้วยเพราะบุคลิกที่ซื่อ ๆ เฉื่อยชา เชื่อในคำโกหกของเพื่อน ๆ ที่มักจะอำเล่นกันว่าเป็นจริงเป็นจังด้วยคำที่มักจะพูดออกมาบ่อย ๆ ว่า "จริงเหรอ" "ไม่น่าเชื่อ" "เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เหรอเนี่ย" เพื่อน ๆ มักจะได้ยินคำพูดลักษณะอย่างนี้ หลุดออกมาจากปากศุภสิทธิ์เป็นประจำ ขณะที่กำลังพูดจาโกหกใส่กัน ตั้งแต่เล็กจนโต
ตั้งแต่เริ่มใช้ชีวิตในการเรียนหนังสือ ศุภสิทธิ์ยังเป็นคนที่เรียนไม่เก่ง อย่างที่คนในสังคมมักจะพูดกันว่า "โง่" จึงทำให้ตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่งเรียนจบ เขาได้เกรดเฉลี่ยไม่เคยเกินสองจุดห้าเลยสักครั้ง (แต่ไม่เคยสอบตก) ทุกครั้งที่เห็นเกรดตัวเองในสมุดพก เขารู้สึกเฉย ๆ ตัวเลขศูนย์หนึ่งสองสามสี่ และจุดทศนิยมเหล่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่ฉลาดพอที่จะทำความเข้าใจกับค่านิยมของตัวเลขพวกนั้นก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ดูเหมือนว่าไม่มีเป้าหมายใด ๆ ในชีวิต แต่ชีวิตก็ถูกกำหนดเป้าหมายจากผู้ปกครอง
บ้านเป็นครอบครัวชนชั้นกลาง และมีศุภสิทธิ์เป็นลูกชายเพียงคนเดียว ความหวังทั้งหมดจึงตกอยู่บนบ่าทั้งสองข้างของเขา โดยมิอาจสะบัดทิ้งลงไปได้ "ต้องเรียนหนังสือให้เก่ง" "ฉลาดทันคน" "เอาตัวรอดในสังคมให้ได้" "จบออกมามีงานดี ๆ ทำ" "มีบ้าน มีรถ" "มีเงิน มีทอง" ฯลฯ และอีกหลาย ๆ อย่างที่คนชนชั้นกลางค่อนไปทางสูงทางรสนิยมพึงจะมี
แม้เข้าใจความต้องการของพ่อแม่ เข้าใจความหวังดีทั้งหลายของท่าน แต่ก็เข้าใจและยอมรับตัวเองเหมือนกัน ว่าคงไม่สามารถทำได้อย่างที่ท่านหวังได้เต็มร้อย โชคดีที่ว่าพ่อแม่ก็เข้าใจในสิ่งที่ศุภสิทธิ์ไม่สามารถทำให้ได้ จึงหาวิธีแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุดและตรงประเด็น
เรียนไม่เก่งก็ต้องเรียนเสริม
สิ่งทียากที่สุดกลายเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด สำหรับสังคมที่เงินสามารถแก้ไขปัญหาได้ ถ้าเรามีมันมากพอ...
ศุภสิทธิ์ถูกส่งไปเรียนกวดวิชาในสถาบันมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพฯ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย สถาบันนี้มีการันตีว่าผู้เรียนจะมีผลการเรียนดีขึ้น และมีโอกาสเอ็นทรานติดมหาวิทยาลัยดัง ๆ สูงถึงสูงมาก เขาต้องใช้เวลาเรียนทั้งสิ้นอาทิตย์ละเจ็ดวัน วันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสามทุ่ม เสาร์อาทิตย์ตั้งแต่เก้าโมงเช้าไปจนถึงห้าโมงเย็น แม้มันจะเป็นการเรียนแบบทรหดผิดมนุษย์ แต่ก็จำเป็นต้องยอมรับว่ามันไม่มากเกินไป สำหรับคนโง่อย่างเขา เพราะมันเป็นเรื่องที่คนอื่นอยากให้เขาฉลาด หรือว่าบางทีเขาอาจจะอยากฉลาดเหมือนคนอื่น
ที่โรงเรียนกวดวิชามีนักเรียนฉลาด ๆ มากมาย ซึ่งศุภสิทธิ์ก็งงแบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าคนฉลาด ๆ ทำไมต้องมาเรียนกวดวิชา หรือจะเป็นเพราะว่าต้องการฉลาดมากยิ่งขึ้นไป เพราะมีความเข้าใจว่า โรงเรียนกวดวิชา มีไว้สำหรับคนที่อ่อนวิชา หรือคนโง่อย่างเขา ที่จะเข้ามาเรียนเพื่อเติมความฉลาดให้กับตัวเอง แต่กลับกันที่พบเห็น ศุภสิทธิ์กลับเจอแต่คนฉลาด ๆ เต็มไปหมด ทุกคำถาม ทุกคำตอบในชั้นเรียน เพื่อน ๆ มักจะตอบได้เกือบทั้งหมด พยายามหาคำตอบบางข้อให้เร็ว เท่า ๆ กับเพื่อน ๆ แต่ก็ไม่เคยทันสักที บางครั้งหาคำตอบได้เร็วพอ แต่ก็เป็นคำตอบที่ผิด เมื่อตอบผิดก็จะมีเสียงหัวเราะและเสียงแห่งความสุขดังขึ้นในห้อง เหมือนกับว่าช่วงเวลาที่ศุภสิทธิ์ตอบคำถามกลายเป็นช่วงเบรกทานขนม
เพื่อน ๆ ที่โรงเรียนกวดวิชา มีความสุขกับการที่มีศุภสิทธิ์เป็นเพื่อน เพราะเขาสามารถรับฟังรับใช้ เข้าข้างและอือออตามไปได้ทุกเรื่อง บางวันที่เพื่อน ๆ ไม่อยากเข้าเรียนก็ชวนกันโดดเรียนกวดวิชาไปเดินห้างสรรพสินค้า ทั้ง ๆ ที่เขาอยากจะเรียน แต่ก็ไม่อยากขัดใจเพื่อน จึงจำเป็นต้องหนีเรียนไปตามเพื่อน
ศุภสิทธิ์ได้สำนึกถึงความเป็นเพื่อนแท้กับคำกล่าวที่ว่า โดดเรียนครั้งสองครั้งไม่เป็นไรหรอก ยังไงก็ตามทันอยู่แล้ว วิชานี้ง่าย ๆ ถ้าไม่เข้าใจอะไรเดี๋ยวเราจะติวให้
แม้ยิ้มรับน้ำใจเพื่อน แต่เผลอลืมไปว่า เขาเป็นคนที่ฉลาดน้อยกว่าทุก ๆ คนในห้องเรียน เรื่องที่เพื่อนเข้าใจในทันที เขาไม่อาจเข้าใจในทันที ต้องใช้เวลาเรียนรู้และซึมซับนานกว่าคนอื่นในทุก ๆ บทเรียน เรียกง่าย ๆ ว่าเข้าใจช้ากว่าเพื่อน ขาดเรียนของเพื่อนวันหนึ่ง ถ้าเทียบกับเขาก็คงเหมือนกับขาดเรียนไปเดือนหนึ่ง คนเราฉลาดไม่เหมือนกัน มีความเร็วช้าในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน
ช่วงแรก ๆ การโดดเรียนเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอ พักหลัง ๆ กลายเป็นเรื่องประจำ ศุภสิทธิ์แทบจะไม่ได้เข้าห้องเรียนกวดวิชาเลย ซึ่งเขาก็มีความคิดว่ามันก็ไม่ได้เสียหายหรือเลวร้ายอะไร อย่างน้อยก็เคยเรียนวิชาเหล่านี้ในห้องเรียนมาแล้ว
เรียนพิเศษปิดคอร์สไม่เคยมีเพื่อนติวให้ศุภสิทธิ์ เพราะทุกคนต่างวุ่นวายกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมตัวติวให้กับตัวเองขณะที่เวลาสอบใกล้เข้ามา
ศุภสิทธิ์ไม่ได้ทบทวนอะไรมากมายเมื่อถึงเวลาสอบ เพราะคิดว่าในชั่วโมงเรียน ก็เรียนมาเยอะแล้ว อีกทั้งไปโรงเรียนกวดวิชาอีกอาทิตย์ละเจ็ดวัน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนอนพักผ่อนทำจิตใจให้สบาย
มันอาจจะเป็นเพราะจิตใจสบายเกินไป ผลการเรียนจึงออกมาเป็นแบบสบาย ๆ เมื่อผลสอบออกมา ศุภสิทธิ์มีผลการเรียนที่ไม่ดีขึ้นไปกว่าเดิมเลย แม้ยังพอใจกับตัวเลขที่ได้ แต่มีคนอื่นไม่พอใจว่าทำไมการเรียนกวดวิชาไม่ได้ช่วยให้ฉลาดขึ้นมาเลย
หลังจากผลสอบเอ็นทรานซ์ประกาศออกมา ศุภสิทธิ์ไม่สามารถสอบเข้าเรียนได้ เพราะไม่ได้คาดหวังอะไรกับตัวเอง เลยไม่เสียใจเหมือนกับที่คนอื่นเสียใจ รู้ตัวเองว่าคงไม่ฉลาดพอในสังคมคนฉลาด ที่ทุกคนพยายามจะยัดเยียดให้เขาปีนไปถึงจุดนั้น
ศุภสิทธิ์เป็นคนไม่ฉลาดจึงต้องเรียนในมหาวิทยาลัยที่คนไม่ฉลาดเขาเรียนกัน ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าใครบัญญัติคำเหล่านี้ขึ้นมาบนโลก เพื่อแบ่งกันสถาบันการเรียนรู้ทางสติปัญญาของคน
ที่มหาวิทยาลัยของคนไม่ฉลาด มีเพื่อน ๆ ในโรงเรียนกวดวิชามาเรียนด้วยกันกับศุภสิทธิ์ เป็นการเจอกันแบบมิได้นัดหมาย เพื่อน ๆ หลายคนอายที่จะแต่งตัวและถูกเรียกว่าเป็นนักศึกษาของสถาบัน หลายคนพูดด้วยแววตามีความหวังให้ได้ยินว่า ปีหน้าจะไปเรียนมหาวิทยาลัยคนฉลาด ปีนี้มาเรียนที่นี่เล่น ๆ อ่านหนังสือกวดวิชาอีกรอบเพื่อเตรียมตัวใหม่ปีหน้า
ศุภสิทธิ์คิดว่าทำไมเพื่อนบางคนจึงยอมทิ้งเวลาเรียนซ้ำไปอีกหนึ่งปี เพื่อกลับไปเริ่มต้นใหม่ เพราะถ้าเป็นคนโง่อย่างเขา คงไม่กล้าที่จะเสียเวลาเพื่อที่จะทำเรื่องเดิม ๆ ใหม่อีกครั้งแน่ เขาโง่ที่จะเสียเวลาทำเรื่องใหม่ ๆ กับหนึ่งปีที่กำลังจะผ่านไปมากกว่า
ในมหาลัยฯ เพื่อน ๆ ยังคงมีแต่คนฉลาดกว่าทั้งนั้น เขาอดภูมิใจไม่ได้ว่าชาตินี้มีบุญเกิดมาได้เจอแต่คนฉลาด ๆ มีแต่เพื่อนฉลาด ๆ ตั้งแต่เรียนปีหนึ่ง เขามักจะถูกแบ่งแยกกลุ่มในการทำกิจกรรมและรายงานทุกอย่างให้เป็นกลุ่มใช้แรงงาน ไม่ต้องคิดทำอย่างเดียว ซึ่งก็ไม่ต่อต้านในกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้สมองเหล่านั้น เขามีความรู้สึกว่าอาจจะยังไม่ฉลาดพอที่จะเสนอความคิดเหมือนเพื่อน ๆ ที่ฉลาดกันแล้วทุกคน
ทุกครั้งที่มีการแสดงความคิดเห็น เพื่อน ๆ จะต่างพากันแสดงความคิดเห็นที่ฉลาด ๆ กันออกมา เพื่อให้การระดมความคิดนั้นออกมาดีที่สุด และทุกครั้งมันก็ไม่เคยทำให้ใครคนใดคนหนึ่งผิดหวัง เพราะงานทุกชิ้นที่ออกมาจากมันสมองเพื่อนนั้นดีเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกความคิดอะไรเลยก็ตามเพียงแค่ลงแรงและเงินอย่างเดียว
มีครั้งหนึ่งมีเพื่อนสาวแกนนำกลุ่มที่ฉลาดมากคนหนึ่งเกือบทำให้งานเสีย เพราะต้องการให้ศุภสิทธิ์แสดงความคิดเห็นออกมาบ้าง แต่เพื่อน ๆ ที่ฉลาดหลายคนที่เหลือยังมีสติและประคองความฉลาดเอาไว้ได้ ด้วยการบอกห้ามเพื่อนสาวคนนั้น หยุดความคิดที่จะให้คนโง่ ๆ อย่างเขาแสดงความคิดเห็น "เพราะจะทำให้งานออกมาไม่ดี" (แม้แต่คำว่า "อาจจะทำให้งานออกมาไม่ดี" มันก็ดูอ้อมเกินไป) แม้เพื่อนสาวคนนั้นไม่เห็นด้วย บอกว่าการทำงานเป็นกลุ่มเป็นสังคมทุกคนพึงมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครเออออด้วยกับเธอ บอกว่าวันนี้เป็นบ้าอะไรหรือเปล่า ถึงได้เพี้ยนไปขนาดนี้
ศุภสิทธิ์กลัวเหตุการณ์จะบานปลาย และด้วยการยอมรับในความโง่ของตัวเอง ที่ไม่ต้องการแสดงออกไปให้ใครเห็น แต่คิดว่าถ้าหากไม่พูดอะไรโง่ ๆ ออกไปเรื่องก็คงไม่จบว่าเขามีความคิดที่ไม่ฉลาดเหมือนเพื่อน ๆ ในกลุ่มจริง ๆ และคนอย่างเขาสมควรใช้แรงงานอย่างเดียวเพียงพอแล้ว ไม่สมควรที่จะใช้สมอง
กลางที่ประชุมของเหล่านักศึกษา ศุภสิทธิ์แสดงความคิดเห็นออกมาอย่างที่ใจคิด ไม่ใช่เพื่อต้องการให้คนอื่นยอมรับ แต่เพื่อต้องการให้เรื่องมันจบ ๆ ไปเสียที งานจะได้เดินและเขาจะได้มีหน้าที่ใช้แรงงานกับแรงเงินเหมือนเดิม
หลังจากที่ศุภสิทธิ์แสดงความคิดเห็นจบ ทุกคนภายในห้องเงียบกริบไปชั่วขณะลมหายใจแล้วก็หัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน (ไม่ต่างจากเสียงหัวเราะในห้องเรียนกวดวิชา) ทุกคนมีความสุขกับความคิดเห็นของเขา แล้วต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่โง่มาก
มีเพียงนักศึกษาสาวคนนั้นเพียงคนเดียวในห้องที่พูดออกมาว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ดี-เขาเริ่มมีความเชื่อเหมือนเพื่อนในกลุ่มว่า วันนี้เธอเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา
ชีวิตในมหาลัยฯ ของศุภสิทธิ์จบลงไปแบบธรรมดา ๆ กลาง ๆ โดยไม่มีเกียรตินิยมเหรียญทองเหรียญเงินมาประดับใบประกาศเกียรติคุณเหมือนกับเพื่อน ๆ เขายังมีความรู้สึกเดิมว่าเรียนจบแล้ว ไม่ได้ตกอะไรสักหน่อย คนโง่ ๆ อย่างเขาแค่เรียนจบได้ก็บุญแล้ว โชคยังดีนะที่มาตรวัดตัวเลขในสมุดพกตั้งแต่เรียนมา-จนเรียนจบ ไม่เคยมีใครใจร้ายให้คำว่าไม่ผ่านสำหรับระดับความโง่ของเขา
ทุก ๆ อย่างมักมีมาตรวัดความฉลาดไว้เสมอ และคนโง่จะไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นเสมอ
ศุภสิทธิ์โชคดีได้งานประจำที่หนึ่งหลังจากเรียนจบมาได้ปีเศษ ระหว่างหนึ่งปีนั้นเขาไม่ได้ทำงานที่ไหน ก็เพราะว่าเกรดในวุฒิการศึกษา สถาบันการศึกษา มันไม่เหมาะสำหรับสังคมคนฉลาดสักเท่าไร
ที่ ๆ รับศุภสิทธิ์เข้าทำงานเป็นบริษัทฯชั้นนำของประเทศแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมบริษัทฯยักษ์ใหญ่แห่งนี้จึงรับเขาเข้าทำงาน
วันที่สัมภาษณ์งาน คุณวิชัยประธานบริษัทฯเป็นคนสัมภาษณ์ด้วยตัวเอง คุณวิชัยดูประวัติการศึกษาแล้วก็พูดคุยกับเขานิดหน่อย แล้วก็รับเข้าทำงานง่าย ๆ เลย โดยให้เงินเดือนสูงพอสมควร ในตำแหน่งที่อ่านวนไปหลายรอบ ก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร
ในการทำงานวันแรก ศุภสิทธิ์เคอะเขินทำตัวไม่ถูก เพราะว่าในที่ทำงานนั้น มีแต่คนแต่งตัวดี ๆ ท่าทางฉลาดกันทุกคน ทุก ๆ คนในออฟฟิตดูแตกต่างกับเขาไปหมด เขาได้โต๊ะทำงานตรงกลางห้องใหญ่ในชั้นยี่สิบเอ็ด โดยมีโต๊ะพนักงานเป็นร้อยรายล้อม
ทุก ๆ คนดูมีงานยุ่งมาก และต้องใช้มันสมองและความฉลาดในการทำงานมาก
แม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามาเก็บกวาดทำความสะอาดที่โต๊ะศุภสิทธิ์ พูดกับเขาว่า อย่าเครียดกับงานมากนักล่ะ ป้าเป็นห่วง ไม่อยากจะเสียพนักงานใหม่ไปอีกคน
ศุภสิทธิ์มึนงงกับคำพูดของแม่บ้านแต่ก็ไม่กล้าถามไถ่ เพราะกลัวจะแสดงความโง่ของตัวเองออกมา โชคยังดีที่แม่บ้านพูดต่อในสิ่งที่สงสัย
"เมื่อวานก็ลาออกไปอีกสามคนไม่รู้งานที่บริษัทฯนี้จะเครียดอะไรกันนักหนา" แม่บ้านพูดแล้วหยิบถึงขยะเดินหายไป
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อ มีพนักงานหนุ่มผมเรียบแปล้เป็นมันวาว ท่าทางไฟแรงมากคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาที่โต๊ะอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว พูดเกี่ยวกับการตลาดเชิงนโยบายและการวางแผนวิเคราะห์การตลาดเชิงกลยุทธ์ชั้นสูง ศุภสิทธิ์ไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้นแม้แต่คำเดียว และไม่รู้จะแสดงความคิดเห็นหรือให้คำปรึกษาอะไร ได้แต่อือออไปตามเรื่อง นั่งฟังการวิเคราะห์ไม่ได้นาน พนักงานหนุ่มคนนั้นก็ขอบคุณแล้วรีบเดินกลับไปที่โต๊ะ
พนักงานหนุ่มคนนั้นยังไม่พ้นไปเกินสองก้าว พนักงานสาวคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาที่โต๊ะตามมาติด ๆ มาถึงก็วางหนังสือเล่มโตหนาประมาณสามสิบเซ็นต์ติเมตรลงบนโต๊ะ แล้วก็พูดเรื่องเกี่ยวกับการโฆษณาการประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร ศุภสิทธิ์ได้แต่ยิ้มและรับฟัง โดยไม่ได้ปริปากแสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกไป
หลังจากหญิงสาวพูดเสร็จพนักงานคนอื่นก็ต่อคิวเข้ามาอย่างกับพายุ โดยที่ศุภสิทธิ์ไม่มีโอกาสได้ลุกไปไหนเลย วันแรกในการทำงานไม่มีโอกาสได้ลุกออกไปกินข้าวเที่ยง
เมื่อใครได้รู้ว่าศุภสิทธิ์ทำงานอยู่ในบริษัทฯนี้ ทุกคนต่างก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าเก่งนะ พ่อแม่มักจะเอาไปพูดคุยอวดเพื่อนบ้านเสมอว่าลูกชายทำงานอยู่บริษัทฯนี้ ทุกเช้าเขาจะแต่งตัวออกไปทำงานแต่เช้า เพื่อไปทำงานที่คนอื่น-ทุก ๆ คนภาคภูมิใจ
ในออฟฟิตทุก ๆ คนรักศุภสิทธิ์ เพราะเขาเป็นคนที่ทำงานดี เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ตั้งแต่เขาเข้ามาทำงานในบริษัทฯอัตราการลาออกของพนักงานลดลงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะพนักงานฉลาด ๆ แทบจะไม่ลาออกเลย ตั้งแต่ได้มาคุยกับเขา
คุณวิชัยประธานบริษัทฯเรียกศุภสิทธิ์เข้าไปคุย และกล่าวชมการทำงานว่าเป็นพนักงานตัวอย่าง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพดีมาก ในตำแหน่งงานนี้ เคยมีเจ้าหน้าที่มาทำหลายคน แต่ก็ไม่มีใครทนอยู่ได้นานสักคน หลายคนควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้ระบบงานเสียและพาลให้ระบบงานของพนักงานคนอื่นเสียด้วย คุณวิชัยเสนอปรับตำแหน่งให้เป็นหัวหน้างานและจะว่าจ้างลูกน้องให้ โดยมีศุภสิทธิ์เป็นคนควบคุมดูแล และฝึกหัดพนักงาน ใหม่
"ตำแหน่งของคุณมีความสำคัญกับบริษัทฯเป็นอย่างมาก" คุณวิชัย พูดกับศุภสิทธิ์อย่างชื่นชมและให้ความหวัง
หลังจากออกจากห้องคุณวิชัยในวันนั้น ศุภสิทธิ์ได้มีโอกาสรับพนักงานใหม่เข้ามาฝึกงานหลายคน แต่ก็ไม่มีใครสามารถทนได้นานเกินสามวันเลยสักคน
ในช่วงหลายสัปดาห์มานี้ศุภสิทธิ์เริ่มรู้สึกว่ากำลังควบคุมตัวเองไม่อยู่ กับเรื่องที่ต้องทนรับฟังมาตลอดทั้งปีจากเพื่อนพนักงานฝ่ายอื่น ๆ
ศุภสิทธิ์เริ่มแสดงความคิดเห็น และพูดตามสิ่งที่คิดออกไปเมื่อมีคนมาปรึกษาพูดคุยปัญหาตัวเองให้ฟังที่โต๊ะ
แสดงความคิดเห็นได้ไม่นาน ก็เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางโต๊ะทำงาน เมื่อเขาถูกเลิกจ้างโดยไม่จ่ายเงินทดแทนจากบริษัทฯ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นพนักงานที่ทำงานไม่มีประสิทธิ์ภาพ
วันสุดท้ายในการทำงาน คุณวิชัยเรียกเข้าไปคุยโดยให้เหตุผลว่า เดี๋ยวนี้มีพนักงานพูดกันหนาหูว่าศุภสิทธิ์เปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิมที่เข้ามาทำงานในวันแรก ๆ เพราะในวันแรก ๆ ที่เขามาทำงาน พนักงานทุกคนพอใจการทำงานของเขา ในการรับฟังความคิดเห็นและไม่ต้องแสดงความคิดเห็นกลับมา แต่ช่วงหลัง ๆ มานี่ เขาเริ่มแสดงความคิดเห็นออกมา และพนักงานทุกคนต่างมีความเห็นว่ามันเป็นความคิดเห็นโง่ ๆ
พนักงานทุกคนไม่ต้องการให้ศุภสิทธิ์แสดงความคิดเห็น แต่เขาเริ่มทำตัวเกินหน้าที่ของตัวเองไปแล้ว ซึ่งทำให้พนักงานหลายคนที่ต้องการแสดงความคิดเห็น ต้องการแสดงความฉลาดของตัวเองให้คนอื่นรับฟัง เสียความรู้สึก เมื่อกำลังพูดอีกความคิดเห็นที่แตกต่างแทรกเข้ามา
มีพนักงานหลายคนรับไม่ได้และลาออกไป เพราะการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างของศุภสิทธิ์ เขาให้เหตุผลว่า มันเป็นการแสดงความคิดเห็นที่โง่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทางบริษัทฯ ไม่ต้องการเสียคนฉลาด ๆ มากไปกว่านี้ จึงต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการไล่ศุภสิทธิ์ออก
ศุภสิทธิ์กลายเป็นคนตกงาน เพราะดันไปเผลอแสดงความคิดเห็นออกไป ในสังคมที่มีแต่คนฉลาดเต็มไปหมด เขารู้สึกผิดและสำนึกอย่างยิ่งที่แสดงความโง่ออกไปโดยไม่รู้ตัว เขานึกถึงภาพและเสียงหัวเราะในห้องเรียนกวดวิชา ในที่ประชุมในมหาลัยฯ เขาไม่อยากให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นกับเขาอีก
ความโง่สมควรอยู่ภายในร่างกายและจิตใจเขาเท่านั้น ไม่สมควรที่จะปลดปล่อยมันออกมาสู่สาธารณะชน
ศุภสิทธิ์ไม่รู้ว่าจะหางานทำที่บริษัทฯ ดี ๆ แบบของคุณวิชัยนี้ดีอีกที่ไหน
ถ้าตอนนั้นเขานั่งเฉย ๆ เหมือนทุกวัน แล้วก็รับฟังความคิดเห็นและทัศนะที่ฉลาด ๆ ของพนักงานทุกคนในบริษัทฯ ก็คงไม่ตกงาน ถ้าเขารู้จักหุบปาก ยิ้มอือออ และครางอือ ๆ ผงกหัวหงึก ๆ เห็นด้วยเหมือนเดิมในทุก ๆ ครั้งที่ได้รับฟังความคิดที่ฉลาด ๆ เขาก็คงไม่ต้องมานั่งหางานใหม่ในตอนนี้
เปิดสมุดไล่หางานด้วยความสับสนกับความทรงจำ ตำแหน่งที่เคยทำงานที่บริษัทฯ คุณวิชัยเรียกว่าอะไร