เรื่องสั้น
บ้านเกิด
เขาพับผ้า1ยังทอดแนวตระหง่านดำทะมึน เป็นฉากหลัง แนวเขาทอดยาวขนานกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 ผมไม่เคยรู้ว่าเขาพับผ้าเริ่มขึ้นที่ไหนและไปจบลงที่ไหน ผมรู้เพียงแต่ว่าน้ำในคลองทุกสายไหลลงมาจากเขาพับผ้า หล่อเลี้ยงเรือกสวนนาไร่ และชีวิตของคนเมืองลุงมานาน
สายน้ำยังไหลลงสู่ทะเลลำปำ ดวงอาทิตย์ยังตกบนยอดเขาพับผ้าทุกวัน ยางยังผลัดใบทุกๆปี ท้องทุ่งเมืองลุงยังเหลืองอร่ามทุกปีเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว พอเดือนห้าก็จะเหลือเพียงตอซัง รอเวลาที่จะหว่านกล้าใหม่ในเดือนแปด เป็นวัฏจักรเช่นนี้มาชั่วนาตาปี
ย่าทรุดนั่งลงบนหัวนา2มองดูผืนนาที่แห้งแล้ง ผมนั่งลงใกล้ๆย่า แล้วช่วงเวลาที่แตกต่างของคนสองวัยก็แลกเปลี่ยนกัน ย่าของผมเกิดในยุคที่ไม่มี เซเว่นอีเลฟเว่น ท่านรู้เพียงว่าหากเย็นนี้ข้าวสารในกระบุงหมดพรุ่งนี้ต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด เพื่อซ้อมข้าว3ใส่กระบุง ท่านไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต มีผักสดแพ็คพลาสติกขาย รู้เพียงแต่ว่าที่ชายดม4หลังบ้านผักหมึง5กำลังทอดยอดงาม น่าจะมาทำแกงเลียงให้หลานกินเย็นนี้
ส่วนผมก็ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า ต้นข้าวที่ย่าผูกเป็นช่อขมวดที่มุม บิ้งนา6 เมื่อข้าวตั้งท้องเรียกว่าการทำขวัญข้าว ไม่เคยรู้เลยว่ารวงข้าวในตะกร้าที่แขวนอยู่บนเตาไฟเป็นการถือเคล็ดเพื่อไม่ให้ หนูมากัดกินข้าวในท้องนา
ย่าทอดถอนหายใจยาวดูท่าท่านโรยแรง และเหนื่อยล้า ท่านงุนงงกับฟ้าดิน ฟ้าเปลี่ยน ดินเปลี่ยน ฤดูราดนา กลับต้องหว่านข้าวปลูกบนดินแห้งๆ ฤดูเก็บข้าว กลับต้องลุยน้ำพร้อมโคม ลอยน้ำเพื่อเก็บข้าวใส่โคมล่องน้ำนำข้าวกลับมาตาก แกะ7เก็บข้าวอันเก่าของย่ายังเหน็บอยู่ที่ชายฝา รถเก็บข้าวเริ่มมีบทบาทในหมู่บ้าน ฟ้าเปลี่ยน ดินเปลี่ยน
ความเป็นเมืองเริ่มคืบคลานเข้าครอบคลุมบ้านเกิด เราไม่ได้ยินเสียงกลองโนรามานานเท่าไหร่แล้ว เราไม่ได้ยินเสียงย่าไล่ให้นอนกลางวัน เพื่อคืนนี้จะได้ไปดูหนังฉาย ในวัดมานานเท่าไหร่แล้ว โทรทัศน์เริ่มเข้ามาเป็นสมาชิกของบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ วีซีดีเข้ามาแทนเสียงโหม่งหนังตะลุง ย่าได้แต่งุนงงเขาเอาหนังตะลุงใส่แผ่นกลมเรืองแสงกันได้อย่างไร
ผมคิดถึงปี่ซังข้าว8คิดถึงกลิ่นตอซังกลางทุ่งที่เพิ่งเผาไปเมื่อวันวาน ลมว่าวหอมพามันมาแตะจมูก ลมว่าวเอย
บัดนี้เจ้าพัด พากลิ่นตอซังไปไหน
เมื่อก่อนหมู่บ้านผมมีรถโดยสารเข้าไปในตลาดสี่กั๊ก9แค่คันเดียว แต่เดี๋ยวนี้รถโดยสารมีมากจนผมนับไม่ถูก รถโดยสารออกลูกตั้งแต่เมื่อไหร่
จ.พัทลุง ตั้งแต่ผมจำความได้เป็นจังหวัดเล็ก ๆ มีถนนไม่กี่สายตัดกันในตัวตลาดสี่กั๊ก ร้านค้าก็ไม่มากมาย ผู้คนอยู่กันอย่างเรียบง่าย ทุกเช้า สวนยางจะเต็มไปด้วย ตะเกียงดวงเล็ก ๆ วับ ๆ แวม ๆ กลิ่นถ่านหินระคนกันเสียงเท้าย่ำ กรอบ แกรบ บนใบยางแห้ง ๆ เป็นความรู้สึกที่ติดตาตั้งแต่เด็ก ๆ
ทุกเช้าผมสนุกกับการทำยางของพวกผู้ใหญ่ผมจดจ่อรอ ยางที่เข้าราง10ให้แข็งตัว ผมมักแอบเอานิ้วจิ้มรางยางทดสอบว่ายางแข็งตัวรึยัง ผมจิ้มทุกๆ 1 นาทีจนยางรางนั้น เต็มไปด้วยรูเล็ก ๆ ที่เกิดจากนิ้วของผม พอยางแข็งตัว ความสนุกของเด็ก ๆ อย่างพวกเราเริ่มขึ้น พวกผู้ใหญ่เทยางออกจากรางยางลงบนเสื่อน้ำมัน เราเหยียบยางกันอย่างสนุกสนาน แล้วยางผืนนั้นก็ต้องเหยียบใหม่ ก่อนเข้าจักร
เมื่อเหนื่อยจากการเหยียบยางเราก็มาสนุกการผัดจักร11 ต่อ ที่จริงเป็นหน้าที่ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชาย แต่เรามักจะรบเร้า ขอทำบ้างจนได้ทำ ส่วนเขาก็ผละไปนั่งมวนใบจากสูบควันขโมง เสื้อของผมมักจะดำและสกปรกด้วยน้ำมันจักร แม้เดี่ยวนี้เสื้อตัวนั้นจะกลายเป็นผ้าร้าย12 แต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงความสนุกวัยเด็ก ทุกครั้งที่เห็นมัน
พอถึงวัยเข้าโรงเรียน ผมต้องไปเข้าเรียนในตัวเมือง ผมยังเสียดายที่ไม่ได้เหยียบยางตอนเช้า แต่แม่บอกว่าที่โรงเรียนที่อะไรสนุก ๆให้เล่นเยอะกว่าการเหยียบยาง
ทุกเช้าผมนั่งรถโดยสารไปโรงเรียนในตัวเมืองพวกเด็กเล็ก จะถูกบังคับให้นั่งข้างใน ส่วนเด็กโตจะได้โหนท้ายรถ ผมนึกอิจฉาและชื่นชมพวกเด็กโตที่โหนท้ายรถ สักวันผมต้องได้โหนท้ายรถอย่างนั้นบ้าง
โรงเรียนมีอะไร ๆ ให้เล่นเยอะมาก ผมสนุกและเล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ อย่างบ้าคลั่ง เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งผมร้องไห้รบเร้าให้พ่อเอารถมาบรรทุกกระดานลื่นกลับมาเล่นที่บ้าน ผมร้องตลอดทางกลับบ้าน และหยุดร้องเมื่อโดนก้านมะยมฟาดที่หน้าแข้ง
ต้นมะยมต้นนั้นยังออกลูกทุกปี
ตลาดสดในเมืองลุงยังคงเหมือนเดิม แม่ค้าจากกงหรายังคงนำสะตอหน่อไม้และผลไม้มาขายทุกเช้า เรายังหาซื้อปลาที่มาจากทะเลน้อยและลำปำได้ที่นี่ รถผักจากตลาดหัวอิฐยังคงมาจอดส่งผักตอนตีสามทุกวัน ที่ไม่เหมือนเดิม คงมีแต่แม่วัวและลูกอีกสามตัวที่มักเดินไปทั่ว ๆ ตลาดเพื่อเดินเศษผักที่ตกตามพื้น แม่ค้าบอกว่าเป็นวัวของการ์ดแดง 13 เดี๋ยวนี้ วัวพวกนั้นหายไปไหน หรือจะกลายเป็นลูกชิ้นจัมโบ้ ที่ผมเพิ่งกินไปเมื่อตอนกลางวันอโหสิให้ผมด้วยนะวัวน้อย
พัทลุงในอดีตเมื่อใกล้ถึงวันออกพรรษา เราจะได้ยินเสียง โพน14ดังมาแต่ไกล โพนก็คือกลองที่พระใช้บอกเวลาในการทำวัตร คนภาคกลางเรียกกลองพล พัทลุงเรียก โพน
ประเพณีการแข่งโพน ลากพระที่พัทลุงจะขึ้นทุกปี ความจริงการแข่งโพนเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่มีใครทราบ รู้เพียงว่าหากคืนใดได้ยินเสียงโพน ลอยผ่านปนกับเสียงหวัดเรไรเมื่อใด แสดงว่า วันออกพรรษาใกล้มาถึงแล้วต้องเร่งหาใบพ้อมาแทงต้ม15เพื่อแขวนเรือพระถวายพระวันออกพรรษา
สมัยเด็กเวลากลางคืนใกล้จะออกพรรษาเด็กวัดจะนำโพนบรรทุกรถรุน 16 ตีและเดินไปตามหมู่บ้านต่าง ๆ หากบ้านไหนที่ทำต้มไว้แล้วก็จะเรียกเด็กวัด เพื่อแจกต้มส่วนหนึ่งที่เตรียมไว้ให้เด็กวัด สมัยนั้นผมยังเด็กมากจึงไม่มีโอกาสออกขอต้มตามบ้าน ได้แต่นั่งคอยฟังว่าเสียงโพนจะเข้าใกล้มาเมื่อไหร่
ทุกวันนี้เสียงโพนยังสะเทือนอยู่ในอก แต่รถรุนพังไปนานแล้ว เด็กวัดที่เคยเดินขอต้ม ต่างก็ได้ดิบได้ดี บางคนเป็นทนายความ บางคนเป็นครู ฯลฯ คืนนี้ไม่มีแล้ว ต้มที่ทำเตรียมไว้คงต้องเอาไปถวายพระทั้งหมดในวันออกพรรษา
การแข่งขันโพนเริ่มมีคนสนใจเป็นจริงเป็นจังขึ้น ทางจังหวัดโดยศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน จ.พัทลุง มีการจัดแข่งโพน ชิงแชมป์ขึ้นในปี 2528 เป็นครั้งแรกโพนจากวัดต่าง ๆ ทั่วเมืองลุง มารวมกันอยู่ที่บริเวณสี่แยกเอเซีย ซึ่งเป็นสนามแข่งขันครั้งแรก แล้วตำนาน ที่ว่า
จะหมื่นพันร้อยเสียงกู่ตะโกน
ฤาจะสู้เสียงโพนที่เมืองลุง ก็เริ่มขึ้น
งานแข่งโพนในปัจจุบันเริ่มเป็นธุรกิจมากขึ้นตามกระแสทุนนิยม เสียงโพนถูกกลบด้วยเสียงเครื่องเสียงจากโรงรถบั๊ม และหนังกลางแปลง จนงานแข่งโพน ลากพระปัจจุบัน น่าจะเปลี่ยนสโลแกนเป็น
จะร้อยพันหมื่นแสนเสียงตีโพน
ก็ไม่สู้เสียงลำโพงที่เมืองลุง
ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไปเซเว่นอีเลฟเว่นแห่งแรกเริ่มผุดขึ้นข้าง ๆ วิกแกรนด์ ตอนเซเว่นฯ เปิดใหม่ ๆ มีคนเข้าแถวคอยซื้อของในเซเว่นยาวมาก ผมเป็นคนหนึ่งในแถวนั้น เด็กหาดใหญ่เที่ยวไดอาน่า เด็กพัทลุงเที่ยวเซเว่นฯ
พอจบ ม.3 ผมมาเรียนที่ สงขลานาน ๆ ครั้งที่จะได้กลับพัทลุง ทุกครั้งที่กลับบ้าน ผมความก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของพัทลุง ถนนเริ่มกว้างขึ้น ตึกรามบ้านช่องเริ่มมากขึ้น เซเว่นสาขาที่สองเปิดแล้ว แต่ไม่เห็นมีคนเข้าแถวคอยซื้อเหมือนเมื่อก่อนทะเลลำปำที่เคยสวยงาม กลับเต็มไปด้วยกอสวะ และ ผักตบชวา หาดทรายหายไปไหน
สังคมเมืองเริ่มครอบคลุมเมืองลุงกำลังจะมิดแล้ว ชิงช้าในโรงเรียนเริ่มผุพัง เกมส์คอมพิวเตอร์เข้ามาแทนที่ม้าลื่นตัวเก่า เด็กสมัยใหม่มีความสนุกกับจอสี่เหลี่ยม 15 นิ้ว ความสนุกระบายออกมาผ่านสีหน้าคร่ำเครียดเหยเก รอยยิ้มบนม้าลื่นหายไปไหน
ผมลุกขึ้นจากหัวนาพร้อมย่า ถึงเวลาแล้วที่ย่าต้องทำกับข้าวมื้อเย็น แม้เดี๋ยวนี้ไม่ต้องก่อไฟหุงข้าว แต่ไม้คีบถ่าน17ยังแขวนอยู่หัวนอกชาน ผมกับย่าลุกขึ้นไปตระเตรียมอาหารสำหรับมื้อค่ำ ทิ้งผืนนาไว้เบื้องหลัง ลมว่าวยังคงพัด แต่วันนี้ไม่มีกลิ่นตอซังเหมือนวันวาน มีแต่กลิ่นควันรถมอเตอร์ไซค์ปนมากับลมว่าว ไม่มีปี่ซังข้าว ไม่มีเสียงเด็กน้อยวิ่งเล่นกลางป่าซังตอนเย็น มีแต่ภาพอดีตของบ้านเกิดที่ฝากไว้กับผืนนาที่แห้งแล้ง
เชิงอรรถ
1 เข้าพับผ้า:เทือกเขานครศรีธรรมราช
2หัวนา:คันนา
3ซ้อมข้าว:การตำข้าวเพื่อนำไปหุง
4ชายดม : ชายป่า
5ผักหมึง:ผักตำลึง
6บิ้งนา:แปลงนา
7แกะ:เครื่องมือสำหรับเก็บเกี่ยวข้าวใช้กันมากแถบพัทลุง นครศรีธรรมราช สงขลา ตรัง
8ปี่ซังข้าว:ของเล่นพื้นบ้านทางภาคใต้ทำจากซังข้าวใช้เป่าออกเสียงเหมือนปี่
9ตลาดสี่กั๊ก : คำเรียกพื้นถิ่นของตัวเมืองพัทลุง
10เข้าราง : การนำน้ำยางใส่ในแม่พิมพ์ รอจนแข็งตัวเพื่อนำไปทำเป็นยางแผ่นต่อไป
11ผัดจักร:(กริยา)การหมุนเครื่องปีบยางแผ่นเป็นขั้นตอนในการแปรรูปยางแผ่น
12ผ้าร้าย : ผ้าขี้ริ้ว
13การ์ดแดง:บุคคลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในจังหวัดพัทลุง ชื่อแดงทำหน้าที่เก็บตั๋วรถไฟสายใต้
14โพน : กลองเพลหรือตะโพน
15แทงต้ม : (กริยา)การห่อข้าวเหนียวที่ใช้ในงานบุญออกพรรษา
16รถรุน : รถเข็น
17ไม้คีบถ่าน : เหล็กคีบถ่าน
18ใบพ้อ : กระพ้อ
19ต้ม : ข้าวต้มลูกโยน
20ฤดูราดนา: ฤดูหว่านไถ