เรื่องสั้น

เรื่องสั้น : ผู้รับช่วงต่อ

by bag2515 @November,12 2007 22.50 ( IP : 203...92 ) | Tags : เรื่องสั้น

เรื่องสั้น ผู้รับช่วงต่อ ปิติ  ระวังวงศ์ ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารหญิงไทย ฉบับที่ 751 ปีที่ 32 ปักษ์หลัง มกราคม 2550 ในชื่อ : ผู้สืบทอด

( ๑ ) วันนี้ลานกว้างบนโคกสูงกลางทุ่ง คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งคนในหมู่บ้านและย่านใกล้เคียง ต้นหว้าใหญ่บนโคกสูงถูกตกแต่งและผูกคาดด้วยผ้าหลากสีรอบต้น เครื่องเซ่นไหว้ – บวงสรวงบูชา วางเรียงรายพร้อมเพรียงอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมเตี้ย ๆ ซึ่งปูด้วยผ้าขาว ลานกว้างมีสายสิญจน์เดินโยง ฉัตรเจ็ดชั้นสีขาว  หน่อกล้วยและอ้อยขนาดพองามไม่ได้ตัดราก ถูกนำมาปักและผูกไว้ตรงมุมทั้งสี่, มุมละสามต้น
โคกเทวดา เป็นชื่อที่ชาวบ้านพากันเรียกขานโคกสูงกลางทุ่ง
ชาวบ้านย่านนี้มีความเชื่อสืบทอดกันมาว่า เทพยาดา ผู้ปกปักษ์รักษาหมู่บ้านสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ สมภารเฒ่า, สงฆ์ผู้มีชื่อเสียงด้านวิทยาคม พร้อมด้วยคณะซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเกจิชื่อดัง เดินทางมาจากวัดชายป่าท้ายหมู่บ้าน เข้าประจำที่อยู่ในโรงพิธีซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับศาลเพียงตา, เชื่อมโยงถึงกันด้วยด้ายสายสิญจน์  เริ่มต้นที่พระพุทธรูปบนโต๊ะหมู่บูชาเดินโยงไปยังลานพิธีที่จัดวางราชวัติและเครื่องบวง สรวง แล้วโยงต่อไปยังตู้เทียนชัยและตุ่มน้ำพุทธมนต์, ก่อนโยงเข้าสู่โรงพิธีสงฆ์
ด้ายสายสิญจน์ทั้งหมดที่เดินโยงบนลานพิธีนั้น ถือกันว่าเป็นด้ายมงคล เมื่อเสร็จพิธีแล้ว, ผู้ร่วมพิธีจะนำไปบูชา ใช้ผูกข้อมือ ผูกพวงมาลัยรถและเรือ ด้วยมีความเชื่อกันว่าเป็นด้ายศักดิ์สิทธิ์ “เทพยาดาจะบันดาลความสุขความสำเร็จมาสู่ผู้คนที่กราบไหว้บูชา”
ความศักดิ์สิทธิ์-อิทธิฤทธิ์และปาฏิหารย์ของเทพยาดา, บอกเล่ากันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนเกิดคำพูดติดปากกันว่า “ขอได้ ไหว้รับ” ผมและเด็กคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน, นั่งรวมกลุ่มกันด้านหลังโรงพิธี ตรงที่ซึ่งกลุ่มแม่บ้านใช้เตรียมสำรับอาหารเพื่อถวายพระ พวกเด็ก ๆ ต่างพากันเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์ของเทพยาดาตามคำกล่าวขาน ทุกคนต่างอยู่ในอาการสำรวมไม่ค่อยซุกซนเหมือนอย่างทุก ๆ วัน “บ่าวเอียดช่วยยกน้ำไปไว้ที่หน้าพระให้แม่ที” เสียงแม่ร้องเรียกผม “คนเดียวแลท่าว่าจะไม่หมด บ่าวเกลี้ยงมาช่วยสักคนก็ได้” แม่พูดไม่ทันจบคำ, บ่าวเกลี้ยงญาติผู้พี่ของผม ก็ลุกวิ่งมายืนยิ้มอยู่ข้าง ๆ …

****************************


( ๒ ) เสียงฟ้าร้องครืน ๆ ดังมาเป็นระยะ บรรยากาศอึมครึมอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อคืน เมฆหนา– มืดครึ้มปกคลุมท้องฟ้าเบื้องบน เหมือนกับว่ามันได้บรรจุมวลน้ำจำนวนมหาศาล, และหนักอึ้งเอาไว้ ฤกษ์อันเป็น มงคลแห่งการประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ใกล้เข้ามาทุกขณะ
ปรากฏการณ์ของธรรมชาติในยามนี้สร้างความวิตกกังวลให้กับ…ชายคนนั้นเป็นยิ่งนัก ชายคนนั้นนุ่งขาว – ห่มขาว, มองดูคล้ายนักบวชพราหมณ์  ชุดขาวของเขาซีดจนเก่า แต่แลดูแล้วสะอาดตา เขาเดินช้า ๆ อยู่บนลานกว้าง ก้าวย่างเป็นเส้นตรงด้วยอาการสงบนิ่ง เหมือนกับว่าเขากำลังปล่อยจิตใจให้แน่วแน่อยู่กับการเดิน
เมื่อเดินไปได้สักระยะหนึ่ง, เขาก็หันหลังเดินกลับ ทำอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่านานนับชั่วโมง
แต่ทว่า… มันก็หาได้ช่วยลดหรือปลดเปลื้องความกังวลใจของเขาลงได้ เขาเดินไป– เดินมา, สลับด้วยการหยุด, แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ทำซ้ำ ๆ อยู่อย่างนี้, ผ่านไปสักพักก็ยกมือขึ้นพนม – ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ ฟังชัดเจน
“ขออำนาจแห่งองค์เทพยาดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดได้ประทานฤกษ์อันเป็นมงคล เปิดฟ้าให้ได้มาซึ่งไฟมหาฤกษ์จากองค์สุริยเทพ เพื่อจักได้ประกอบพิธีแห่งความเป็นสิริมงคลที่จะเกิดแก่หมู่ลูกหลานด้วยเถิด”
เป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยพลังหนักแน่น และมีชีวิตชีวา สีหน้าและแววตาของเขา เต็มไปด้วยประ กายแห่งความเชื่อมั่น ทุก ๆ คนบนลานพิธีต่างตกตะลึงกับความมหัศจรรย์ที่ปรากฏให้เห็น
ท้องฟ้าที่ปิดสนิทก่อนหน้านั้น… บัดนี้ได้เปิดช่องส่งแสงแห่งองค์สุริยะเทพ มาสู่ลานประกอบพิธี หลังจากชายนุ่งขาว-ห่มขาว,กล่าวประกาศคำบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว, สมภารเฒ่าก็ทำพิธีจุดเทียนชัย  กลิ่นธูปและควันเทียนกระจายฟุ้งทั่วทั้งบริเวณ พระสงฆ์เริ่มสวดเจริญพระพุทธมนต์
“นั่งกันให้เป็นที่เป็นทาง อย่าซนกันนัก รอให้พระสวดเสร็จแล้วค่อยไปช่วยข้างหลังเขายกสำรับ” “บ่าวเกลี้ยงปราม ๆ น้อง ๆ ด้วยนะ อย่าให้มันซนกันนัก” แม่บอกผมกับเพื่อน ๆ แล้วก็หันมากำชับบ่าวเกลี้ยง, ก่อนที่เสียงประทัดระเบิดดังต่อเนื่องกัน เมื่อประทัดสิ้นเสียงลง, สมภารเฒ่าก็ลุกขึ้นประพรมน้ำมนต์อวยพรแก่ชาวบ้าน, ชายนุ่งขาว-ห่มขาวคนนั้นประคองขันใบใหญ่เดินเคียงอยู่ข้าง ๆ…

*****************************

( ๓ ) พิธีบวงสรวงเทพยาดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จัดขึ้นในวันแรม ๑๑-๑๕ ค่ำเดือน ๔ ก่อนวันสงกรานต์ อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยสมัยก่อน ด้วยความเชื่อว่าจะเป็นการชำระหมู่บ้านให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากทุกข์ภัยไข้เจ็บ ปัดเป่าขจัดสิ่งอัปมงคล-ตัวอัปรีย์,อีกทั้งความชั่วช้าจัญไรทั้งปวงให้หมดสิ้นไป เพื่อจักได้นำพาให้เกิดมงคลแห่งชีวิต แก่ลูกหลานสืบต่อไป โดยมีตำนานเล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้งทวดพันผู้เป็นพ่อของชายคนนั้น ได้เดินทางพร้อมสมัครพรรคพวก มาปักหลักทำมาหากิน หักร้างถางพงทำนา อยู่กินกันได้ไม่ถึงสองปีก็เกิดไข้ห่าขึ้น ทำให้ผู้คน ในหมู่บ้านล้มตายไปหลายคน  ชายคนนั้นเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด
เล่าต่อกันมาว่าตอนนั้นเขายังเล็กมาก, ไข้จับตัวแกสั่น ผุดลุก-ผุดนั่ง ห้า-หกคนช่วยกันมัดก็จับไว้ไม่อยู่ อีกทั้งแกยังเพ้อเป็นเสียงคนแก่ บอกให้ทำพิธีบวงสรวงบูชาเทพยาดาใต้ต้นหว้าใหญ่บนโคกสูงกลางทุ่ง
“แกไม่ใช่คนธรรมดาสามัญอย่างเรา แกรู้ แกเห็น ในสิ่งที่เราไม่รู้ ไม่เห็น แกเกิดมาตามบัญชาของสวรรค์ แกเป็นผู้วิเศษมีความสามารถพิเศษติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ถูกลิขิตโดยบัญชาของสวรรค์ ให้มีพลังอำนาจบางอย่าง เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เอื้อแก่ชุมชน”
“พ่อเฒ่าสุข” เป็นนามที่ทุกคนเรียกขานชายนุ่งขาว–ห่มขาวคนนั้น…

*****************************

( ๔ ) พ่อเฒ่าสุข, ที่ชาวบ้านเรียกขานนั้นเป็นปู่ของผม คงเป็นเพราะคนย่านนี้ต่างก็เรียกกันจนชินปากจึงเป็นเหตุที่ทำให้ผมเรียกปู่ว่าพ่อเฒ่า
เขาคนนั้นเอ่ยปากรับคำว่าจะสืบทอดหน้าที่บางอย่างต่อจากพ่อเฒ่าสุข เมื่อคราวที่แกไข้หนักและดูท่าว่าจะไม่รอด
แต่ถึงกระนั้นแกก็พยายามลุกขึ้นนั่ง, พิงร่างกับผนังห้อง แล้วเอื้อมมือมาวางไว้บนหัวของเขา ปากแกก็ท่องบ่นคาถาพึมพำ ส่วนเขาคนนั้น,นั่งคุกเข่านิ่ง- พนมมือ กราบลงสามครั้ง, หลังจากที่พ่อเฒ่าสุขเป่าลงบนกระหม่อมเบา ๆ
หลังจากคืนนั้นแล้ว, ผมไม่เห็นแกลุกขึ้นนั่งอีกเลย สามวันถัดมา… แกก็สิ้นลมหายใจอย่างสงบในเวลารุ่งเช้า ขณะที่พระออกบิณฑบาตมาถึงหน้าบ้านพอดี นับแต่นั้นมา…เขาก็กลายเจ้าผู้ประกอบพิธีไหว้เทพยาดาต่อจากพ่อเฒ่าสุข งานบวช งานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ ทำนายดวงชะตา สะเดาะเคราะห์ เสริมดวง เจ็บไข้ได้ป่วย  อีกทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ ของคนในหมู่บ้านและย่านใกล้เคียง เขาจะเป็นผู้กำหนดและให้คำปรึกษาชี้แนะ ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ทะเลาะกัน
“พ่อตาสุขเล็ก” เป็นชื่อของเขาที่ชาวบ้านพากันเรียกขาน…

*****************************

( ๕ ) บางครั้งบางคราวเขาก็ยังสวมบทเป็นกรรมการคลี่คลายความขัดแย้งของคนในหมู่บ้าน ผมยังจำได้กับเหตุการณ์คราวหนึ่ง… เมื่อหมาของบ่าวย้อย ไปกัดเอาไก่ของบ่าวจุ้ยตาย เจ้าของไก่เรียกค่าเสียหายเป็นเงินห้าร้อย
“กูกำลังฝึกล่อฝึกชน ไอ้เขียวของกูตัวนี้ หน่วยก้านดีแลแล้วมีอนาคต” บ่าวจุ้ยยืนยัน “เหมือนกันทั้งเพ พอไก่ตายก็บอกว่าไก่ดี เรียกตั้งห้าร้อย แพงไป”  บ่าวย้อยตัดพ้อ “นี่ถ้าร้อยนึงกูให้เลย แต่ไก่ได้กูมึงจะว่าอย่างไร” แกพูด, เป็นเชิงต่อรอง
แล้วทั้งสองคนก็โต้เถียงกัน ผ่านไปสักพักยังไม่สามารถตกลงกันได้
“อย่างนั้นก็ไปหาพ่อตาสุขเล็ก ให้พ่อแกตัดสิน”  เสียงใครคนหนึ่งเสนอขึ้นมากลางวง
แล้วทั้งหมดก็ยกขบวนมายังบ้านพ่อตาสุขเล็ก, พร้อมเล่าเรื่องราวให้ฟัง “มึงทั้งสองคนก็เป็นคนบ้านเดียวกัน ต้องพึ่งพาอาศัยกันไปอีกนาน มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดกัน อย่าให้เกิดเป็นความบาดหมางใจ”
พ่อตาสุขเล็กพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ , ทุกคนนั่งเงียบฟัง “เณรจุ้ยเรียกค่าไก่ห้าร้อย กูว่ามันมากเกินไป ไอ้ย้อยก็เหมือนกันอยากเลี้ยงหมาก็ต้องดูต้องแลมันให้ดี ๆ มึงให้มันสักสามร้อยกูว่ากำลังดี มึงเองก็รู้ว่าไก่ตัวนั้นมันดีจริง ๆ ”
ทั้งสองคนพยักหน้ายอมรับฟังคำตัดสินของพ่อตาสุขเล็ก “เงินสามร้อยนี้ เอาไปซื้อเหล้า” บ่าวจุ้ยเจ้าของไก่หันมาบอก “แล้วไก่ตัวนี้ก็เอาไปต้มกินแกล้มเหล้า” บ่าวย้อยบอกกลับ
แล้วทั้งสองคนก็หันมายิ้มให้กัน ก่อนกอดคอพากันเดินลงจากบ้าน…

*****************************

( ๖ ) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว…เขาล้มลงในห้องน้ำ, หัวฟาดลงบนขอบอ่าง แม่และพี่ชายของผมช่วยกันนำ ร่างที่หมดสติส่งโรงพยาบาล อัมพาตครึ่งท่อนล่าง, พูดไม่ได้, เป็นอาการที่ยังรักษาไม่หาย
การพยักหน้า-ส่ายหัว-กระพริบตา ถูกนำมาใช้สื่อสาร ระหว่างเขากับคนรอบข้างที่มาเยี่ยมเยียน แม่ของผมรับภาระเป็นคนดูแลเรื่องความเป็นอยู่ของเขา ทั้งเรื่องอาหารการกิน – อาบน้ำ – เช็ดขี้ – เช็ดเยี่ยว พี่ ๆ ทั้งสามของผมยื่นคำขาด, ให้ผมกลับบ้านทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ
ความจำเป็นทางการศึกษาเล่าเรียนผลักไส ให้ผมต้องเดินทางออกจากหมู่บ้านอันเป็นแผ่นเกิดและเติบโตในวัยเด็ก เมื่อเรียนชั้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ ความห่างเหินกันระหว่างผมและบ้านเกิดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นโอกาสที่ได้กลับบ้านมีไม่บ่อยนัก ด้วยหน้าที่และภาระความรับผิดชอบทางการงานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เป็นเหมือนสิ่งผูกมัดจนผมลืมเลือนบางสิ่งบางอย่างไป
ถึงกระนั้นผมยังคงรับรู้ข่าวคราวอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าทุกครั้งที่กลับไป อะไร ๆ มันก็เปลี่ยนแปลง
ป่าพรุริมทุ่งนา ที่ตรงนั้นผมและเพื่อน ๆ เคยบุกตะลุยดักอวนธงเบ็ดก็กลายเป็นสนามบิน ถนนดินลูกรังสายนั้นที่ผมคุ้นเคยพัฒนาเป็นถนนลาดยาง ใช้เป็นทางลัดไปมาระหว่างสนามบินกับตัวเมือง อาคารสำนักงานเทศบาลตั้งเด่นอยู่กลางทุ่ง สะพานไม้ข้ามคลองเปลี่ยนเป็นคอนกรีต
ต้นหว้าใหญ่บนโคกสูงกลางทุ่งเหลือเพียงซากยืนต้นตาย ผมหันไปมองก่อนเครื่องบินจะลงจอดบนรันเวย์, กลับบ้านหนนี้ผมเลือกเดินทางด้วยเครื่องบิน ภาพความทรงจำแต่ครั้งก่อนเก่าที่คุ้นเคยไม่มีให้เห็นอีกแล้ว-ผมบอกตัวเอง,ในใจ

*****************************

( ๗ ) “ทุกอย่างต้องคงอยู่และดำเนินต่อไป ถ้าไม่ใช่เณรก็ต้องเป็นบ่าวเอียด” แม่พูดขณะที่โอบกอดผม มือข้างหนึ่งลูบหัวเบา ๆ แต่ผมรู้สึกและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นนั้น เณรที่แม่พูดถึงเป็นพี่ชายคนเดียวของผม ซึ่งกำลังวางแผนจะลงเล่นการเมืองระดับท้องถิ่น ด้วยการลงสมัครนายก อบต.โดยหวังคะแนนนิยมจากความศรัทธาของชาวบ้าน ที่มีต่อพ่อเฒ่าสุขและพ่อตาสุขเล็กเป็นฐานเสียงช่วยหนุน
ทางฝ่ายพี่สะใภ้เองก็เห็นดีเห็นงาม สวมบทเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดตั้งกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มออกกำลังกาย เต้นแอโรบิกตอนเย็น ๆ หรือวงลูกทุ่งกลองยาวและดนตรีรำวงเวียนครก พี่สาวทั้งสองคนของผมนั้น, คนหนึ่งเป็นข้าราชการครู สอนวิชาวิทยาศาสตร์โรงเรียนมัธยมซึ่งตั้งอยู่ในค่ายทหาร ส่วนคนถัดมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อนามัย ที่ทำงานอยู่ต่างอำเภอ
พี่เขยทั้งสองคนของผมรับราชการเป็นทหาร และตำรวจ ผมพยายามเรียบเรียงและทบทวนภาพความทรงจำ เมื่อคราวนั้น ณ ลานกว้างบนโคกสูงกลางทุ่ง เขาแต่งกายด้วยชุดนุ่งขาว-ห่มขาว, เป็นเจ้าพิธีไหว้เทพยาดาเป็นครั้งแรก หลังจากรับช่วงสืบทอดต่อจากพ่อเฒ่าสุข เขายืนเด่นอยู่กลางลานพิธี, กล่าวประกาศคำบวงสรวงด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่ได้ยินแล้วรับรู้ถึงพลังและอำนาจที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน “ข้าพเจ้าขออัญเชิญเทพยดา ซึ่งสิงสถิตอยู่ในฉะกามาพรจรสวรรค์ อยู่ในกามะภพ อยู่ในรูปภพคือ โสฬะมหาพรหม อีกทั้งเทพยเจ้า ซึ่งสิงสถิตอยู่ในภูผาห้วยเหว คูหาและยอดคีรี อยู่ในอากาศวิมานมนเทียรทอง สิงสถิตอยู่ในเกาะแก้วเมืองทอง ในนครใหญ่น้อย สิงสถิตอยู่ในเคหสถาน บ้านน้อยและเมืองใหญ่ทั่วทุกชนบท สิงสถิตอยู่ในโรงศาลพระภูมิเจ้าที่” ผมมองไปรอบ ๆ บริเวณลานพิธีด้วยอาการตกตะลึงกับความมหัศจรรย์ที่พบเห็น ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นครั้งแรกก็ตามที “ข้าพเจ้าขออัญเชิญให้เร่งรีบเข้ามาในเวลานี้ ให้พร้อมกัน อีกทั้งเทพยเจ้า ซึ่งสิงสถิตอยู่ในห้วยหนอง คลองบึงบางแม่น้ำใหญ่ ไพรพฤกษา ทุกหย่อมหญ้าละดาวัลย์ ที่เสมอกันก็ดีและไม่เสมอ ใช่แต่เท่านั้นเมื่อไร อีกทั้งยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ อีกทั้งเทพยเจ้า สิงสถิตอยู่ ณ สถานที่ใด ข้าพเจ้าขออัญเชิญให้เข้ามายังสำนักแห่งปราชญ์ อาจสำแดงซึ่งธรรม ดูกรท่านสัปบุรุษ พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ได้เวลาอันเป็นศุภกฤษ์งามดีแล้ว ดูกรท่านผู้ประเสริฐยอดยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขออัญเชิญให้เข้ามาร่วมประชุมกัน เนื่องในพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่นี้เถิดเจ้าข้า ฯ” ลมเย็นพัดโชยมาเบา ๆ ท้องฟ้าที่ปิดสนิทก่อนหน้านั้น, บัดนี้ได้เปิดช่องส่งแสงแห่งองค์สุริยะเทพ มาสู่ลานประกอบพิธี ทำให้สามารถจุดเทียนชัยอันเป็นไฟมหาฤกษ์ได้ตรงตามกำหนด
หลังจากนั้นเมื่อจุดเทียนชัยเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ มืดลงอีกครั้ง
สักพักหนึ่งฝนก็โปรยปรายลงมาเบา ๆ  ปรากฎการณ์ “อาทิตย์ทรงกลด” จึงบังเกิดขึ้น…

*****************************

( ๘ ) ผมผลักประตูให้เปิดออก, แล้วเดินเข้าไปในห้องนั้น เห็นร่างหนึ่งนอนคุดคู้อยู่บนเตียงนอนซึ่งตั้งอยู่กลางห้อง หากไม่มีผ้าห่มสีขาวผืนเล็ก ๆ  วางพาดปิดตรงกลางลำตัว เขาคงนอนเผยร่างเปลือยเปล่า ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางอยู่ข้างๆ เตียง “อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระติ สัตถา เทวะมะนุสานัง พุทโธ ภะคะวา ติ” เสียงสวดมนต์บทอิติปิโสรัตนมาลา, ดังแว่วมา ผมหยุดนิ่ง-นั่งฟังแล้วแปลความหมายของคำสวดบทดังกล่าว ก่อนที่จะมองไปที่ร่างนั้น… ซึ่งยังคงนอนคุดคู้อยู่ในท่าเดิม “เพราะเหตุอย่างนี้ฯ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง โดยชอบ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญสั่งสอนสัตว์ ดังนี้” “ผู้ที่สวดมนต์บทนี้เป็นประจำทุกวันจะเป็นคนที่มีสติ สมาธิและปัญญาที่ดี” แม่บอกผมและพี่ ๆ ทั้งสามคน, หลังจากสอนให้พวกเราสวดมนต์… เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก “ทำให้ชีวิตของเราได้พบกับความเจริญก้าวหน้า ประสบกับความโชคดีมีชัย ปราศจากภัยอันตราย บันดาลผลให้เจริญด้วยลาภยศ และสุขสรรเสริญ”  เขาพูดเสริมขึ้นมา ผมแอบเหลือบไปมองเห็นใบหน้าอิ่มประทับรอยยิ้ม, ที่บ่งบอกถึงความภาคภูมิใจ เมื่อร่างบนเตียงพลิกกายเคลื่อนไหว ผมก็พลันต้องสะดุ้งตื่นและผละออกจากภวังค์, คงเป็นเพราะ เหนื่อยล้าจากการเดินทาง จึงเป็นเหตุทำให้ผมฟุบหลับไป, หลังจากที่นั่งลง เมื่อมองไปที่ร่างบนเตียงนั้นอีกครั้ง, ในใจของผม ก็นึกถึงต้นหว้าใหญ่บนโคกสูงกลางทุ่งที่กำลังยืนต้นตาย
“มันโดนฟ้าผ่า เกิดเหตุวันเดียวกันเลย” แม่บอก, ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถาม “ปีนี้ไม่รู้ว่าจะได้ไหว้เทพยาดาหรือเปล่า” “ทุกอย่างต้องคงอยู่และดำเนินต่อไป ถ้าไม่ใช่เณรก็ต้องเป็นบ่าวเอียด” หลายคำพูดของแม่ดังสะท้อนก้องกังวาล, อยู่ในหูของผม…

****************************

( ๙ ) พิธีไหว้เทพยาดาประจำปี – ต้นหว้าใหญ่บนโคกสูงกลางทุ่ง - และเขาคนนั้น, ผมคิดและเชื่อว่าทั้งสามสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงถึงกันทางจิตวิญญาณกฎของธรรมชาติการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย นำพามาซึ่งการดับสูญและความล่มสลายของความเชื่อโบราณ หากการรับช่วงต่อเพื่อการสืบทอด เป็นเหมือนการปลดโซ่ตรวนออกจากคนหนึ่ง แล้วนำมันมาคล้องตรึงไว้กับอีกคน, ผมคงรับสิ่งนั้นมาผูกมัดตัวเองไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่บางทีการปฏิเสธที่จะรับช่วงต่อของผม อาจเป็นการปลดปล่อยพันธนาการทางความเชื่อดังกล่าวก็เป็นไปได้ เมื่อยิ่งคิดมากมันก็ยิ่งเพิ่มความสับสนให้กับตัวเองมากขึ้น และแล้วภาพเหตุการณ์, เมื่อครั้งก่อนที่พ่อเฒ่าสุขจะสิ้นลมหายใจ มันปรากฏมาวนเวียนอยู่ในความรู้สึกนึกคิด และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดในเมื่อชายนุ่งขาว-ห่มขาวคนนั้น, ซึ่งบัดนี้นอนคุดคู้อยู่บนเตียง พ่อตาสุขเล็ก…คือพ่อของผม “ทุกอย่างต้องคงอยู่และดำเนินต่อไป ถ้าไม่ใช่เณรก็ต้องเป็นบ่าวเอียด”
เสียงพูดของแม่ยังคงดังสะท้อนก้องกังวาล, อยู่ในหูของผม…

*****************************

แสดงความคิดเห็น

« 5437
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ