เรื่องสั้น

สิ่งที่เลื่อนลอย...กลางแสงไฟ

by สิงห์ลา @November,15 2007 10.40 ( IP : 203...242 ) | Tags : เรื่องสั้น

สิ่งที่เลื่อนลอย...กลางแสงไฟ

แสงไฟหลากสีส่องประกายระยับให้สว่างราวกลางวัน ถนนเส้นรัชดามุ่งหน้าตัดไปพระรามเก้ายามราตรีไม่เคยหลับใหล สองข้างทางเต็มไปด้วยสถานบันเทิง รถบนท้องถนนยังคงคับคั่งแม้เวลาจะล่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ริมถนนหน้าตึกแฝดเมืองไทยภัทรคอมเพล็กซ์ ผมกับกอฟนั่งดื่มเบียร์ช้างขวดที่สี่อยู่ตรงหน้าเซเว่นอีเลฟเว่นริมถนน ที่ป้ายไฟร้านแมลงเม่ากำลังบินตอมเล่นแสงไฟ กำลังเมาได้ที่ “มึงว่าคนเราเกิดมาได้ยังไงวะ” กอฟโพรงถาม “วิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลเดียว ขึ้นมาจากน้ำทะเล” “กูว่าไม่ใช่ มนุษย์เราถูกสร้างขึ้นมา”
“ถูกต้อง! ใช่นะสิก็พ่อแม่ไง” “กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กูมีความรู้สึกว่ามนุษย์คนแรกไม่ได้ถูกวิวัฒนาการมาจากลิงหรือเป็นแพลงตอนว่ายขึ้นมาจากทะเล” “เมาแล้วมึง” ผมกระดกเบียร์ “ถ้ามนุษย์คนแรกไม่ได้เกิดจากวิวัฒนาการ มึงก็หมายความว่า มนุษย์ถูกส่งมาจากนอกโลกหรือไง แบบมนุษย์ต่างดาวอย่างนั้นหรอ” “กูไม่รู้ แต่กูสงสัยว่าทำไมเราถึงต้องเกิดมา ต้องมีจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว ตัวตนเพียงหนึ่งเดียว ทำไมมึงต้องเป็นมึง กูต้องเป็นกู ทำไมมนุษย์ทุกคนไม่เหมือนกัน” “มันจะไปเหมือนกันทุกคนได้ยังไงล่ะ ลักษณะทางพันธุ์กรรม การศึกษา ครอบครัว สังคม สภาพความเป็นอยู่แค่นี้คนทุกคนก็ไม่เหมือนกันแล้ว” “แต่ความรักทำให้คนที่ไม่เหมือนกัน ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้” กอฟนิ่งไปชั่วครู่ทอดตาออกไปไกล “มนุษย์แตกต่างโดยธรรมชาติหรือด้วยจิตใจตัวเองวะ บางเรื่องเราไม่แตกต่างจากคนอื่นได้หรือเปล่า กูอยากมีคนที่เหมือนกันสักคน” “มึงไม่อยากแตกต่างจากคนอื่นหรือไงวะ เขามีแต่คนอยากแตกต่าง อยากเดินนอกกรอบกันทั้งนั้น” “กูไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น กูอยากมีใครสักคนที่มีใจตรงกัน” “อีกหน่อยมีก็มีเองแหละ” “คนเรามันจะเกิดมาทำไมวะ ถ้าไม่มีความรัก แล้วจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร”


ผมกับกอฟเป็นพนักงานบริษัททำงานอยู่ในตึกนี้ หลังเลิกงานประจำอันแสนน่าเบื่อหน่ายที่ทำให้สูญเสียความเป็นคนไปตลอดเก้าชั่วโมง ตอนเย็น ๆ ถึงค่ำมืด ผมมักจะมานั่งกินเบียร์อยู่ตรงหน้าเซเว่นบาร์เป็นประจำเพื่อเรียกสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา แต่ผมเชื่อว่าผู้คนที่เดินผ่านคงพากันมองผมสองคนว่าเป็นขี้เมาประจำบาร์แห่งนี้   ช่วงนี้กอฟกำลังตกหลุมรัก เพราะเผลอใจไปชอบพนักงานสาวคนหนึ่งในบริษัท เธอเป็นนักศึกษาจบใหม่มาทำงานที่บริษัทนี้เป็นแห่งแรก ด้วยความถูกชะตาจากความรู้สึกข้างใน ทำให้กอฟพร่ำเพ้อและพยายามหาหนทางจีบเธอ แต่ทุกอย่างก็คว้าน้ำเหลว ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ส่งตอบกลับมาจากเธอเลย ความหมดหวังทำให้กอฟหมดกำลังใจ และมานั่งระบายอยู่ตรงนี้ได้ทุกวี่วัน “ผิดหรือเปล่าวะที่กูจะรักใครสักคน” กอฟหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ “ไม่ผิด” “แล้วทำไมทุกคนทำเหมือนกับกูมีความผิดวะ กูไม่ดีตรงไหนที่ไปชอบน้องเขา” “มึงคิดมากไปหรือเปล่า บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรอย่างนั้นก็ได้ ไปฟังคนอื่นเขามากไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก” “กูก็อยากให้เป็นอย่างนั้นแหละ แต่คนที่ทำงานแม่งมองกูแปลก ๆ ว่ะ ตั้งแต่ที่รู้ว่ากูจีบน้องเขา” “มึงแคร์สายตาคนอื่นมากเกินไป” “บางทีเขาอาจจะไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาคู่กับกูก็เป็นได้”


ถ้าหากการกินเหล้าเป็นวิธีปลดปล่อยจิตวิญญาณได้ดีที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งพึงจะหาทางออกจากความเหนื่อยหน่ายในการใช้ชีวิตได้ ผมกับกอฟคงกำลังเลือกวิธีนี้ในการหาทางหลุดพ้น จากสิ่งที่ทับถมอยู่ในจิตใจ จากจุดที่ผมนั่งหากจะไปรัชดาซอยสี่นั่งแท็กซี่ไปไม่เกินสี่สิบบาท ตรงข้ามเป็นโพโซดอน ผมไม่เคยเข้าไปแต่เป็นที่รู้กันดีว่าข้างในเป็นอาบอบนวด มีหญิงสาวมากมายคอยให้บริการอยู่ ถนนทั้งเส้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลกีย์ มองขึ้นไปบนไฟป้ายตัวอักษรบนยอดตึก ไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่อยู่ข้างในนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่ เขากำลังมีความสุขกันอยู่หรือเปล่า กับความรักที่สามารถใช้เงินซื้อได้เพียงชั่วข้ามคืน ทุกครั้งที่ผมมานั่งกินเบียร์ตรงนี้ ผมมักจะสังเกตเห็นภาพวิถีชีวิตผู้คนที่แตกต่างกันไป บางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ภายในชุดสูทและแววตา พนักงานบริษัทเดินกลับออกมาขึ้นรถเมล์ตรงป้ายหลังเลิกงาน มนุษย์บางชนชั้นขับรถออกไปจากตึกเพื่อไปติดบนถนนอีกทอดหนึ่ง บางวันถนนเส้นนี้รถติดถึงเที่ยงคืน
ชาวต่างชาติกลุ่มใหญ่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาซื้อของกินในเซเว่นบาร์ วัยรุ่นนักเที่ยวต่างพากันเดินทางมุ่งหน้าไปยังสถานบันเทิงยามค่ำคืน ที่มีเกลื่อนกลาดถนนรัชดาไปจนถึงเส้นพระรามเก้า แสงไฟยามราตรีนำทางให้มนุษย์พากันค้นหา บางสิ่งอย่างที่ขาดหายไปจากจิตวิญญาณ


รถเข็นขายไส้กรอกขับมาจอดหน้าเซเว่นบาร์ตามเวลา ควันโขมงและกลิ่นไส้กรอกย่างไหม้ไฟอบอวลมาแต่ไกล ไฟสีส้มเหนือตะแกรงย่างไส้กรอกขับสีเหลือเหลืองนวลของมันให้น่ากินยิ่งกว่าเดิม เพราะรสชาติมิตรภาพคลุกเคล้ารสชาติไส้กรอกอย่างลงตัว เบียร์กับไส้กรอกทำให้ผมได้มีโอกาสได้รู้จักกับลุงนาย ลุงนายเป็นคนโคราชเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯได้ยี่สิบปีแล้ว ประกอบอาชีพขายไส้กรอกย่างมาหลายปี เลิกกับเมียมีลูกติดสองคนแต่ทั้งคู่ตายหมด คนหนึ่งตายเพราะมอเตอร์ไซด์ อีกคนตายเพราะโรคประจำตัว ไส้กรอกที่ขายทุกวันทำเองทั้งหมดและส่งให้คนอื่นขายด้วย “ลุงเคยขับไปถึงซอยสี่ไหม” ผมถามระหว่างยืนรอซื้อไส้กรอกยี่สิบบาท “ไม่เคยถึงสักที อย่างมากไปถึงซอยข้างหน้าก็หมดแล้ว” “หรอครับ ขายดีนะ ทำไมลุงขายดีอย่างนี้ไม่เพิ่มไส้กรอกให้มากกว่าเดิมล่ะ” “ไม่เอาหรอก เหนื่อย ขายได้แค่นี้ก็พอแล้ว หมดก็กลับบ้านนอน” ลุงนายมักจะแถมไส้กรอกให้ผมเสมอ บางครั้งซื้อสามสิบบาทแต่ก็ต้องตกใจว่า ได้ใส่กรอกถุงใหญ่เหมือนกับซื้อเป็นร้อย “ให้เงินเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้ไปร้อยนึง” ลุงนายใช้ไม้เขี่ยขี้เถ้า “ใครหรอครับลุง” “ผู้หญิงคนที่เพิ่งเดือนไปเมื่อกี้ไป ผมยาว ๆ เห็นเดินร้องไห้มาตั้งแต่ตรงโน้นแล้ว บอกว่าทะเลาะกับแม่จะออกไปหาพี่ที่ตึกใบหยก” เงยหน้ามองผมหนึ่งแวบ “ลุงว่าเขาไม่หลอก เพราะถ้าหลอกผู้หญิงที่ไหนจะเดินร้องไห้มาตั้งไกล ดึกแล้วด้วยผู้หญิงตัวคนเดียวเดินบนถนนมันอันตราย ลุงก็สงสารกลัวว่ามันจะไม่มีที่ไป ก็เลยให้เงินค่ารถมันไป” “ครับ...” ผมไม่รู้จะให้ความเห็นอะไร เพราะเกือบทุกครั้งที่นั่งกินเบียร์อยู่ตรงนี้ มักจะมีคนแปลกหน้าเดินมาขอเงินอยู่เป็นประจำ จนกลายเป็นความเคยชินไปเสียแล้ว มีครั้งหนึ่งผู้ชายวัยกลางคนเดินมาพร้อมกับเด็ก มายืนทำหน้าเศร้าขอสตางค์ เปิดกระเป๋าที่ว่างเปล่าให้ดูบอกว่าตกรถขอยี่สิบบาท ทุกคนยังเงียบ ไม้ตายสุดท้ายโชว์พระให้ดูแล้วบอกขาย ผมกับเพื่อน ๆ ยังนิ่งอยู่ เด็กที่ยืนข้าง ๆ ได้แต่นิ่งเงียบบิดไปบิดมาไม่พูดอะไร จนในที่สุดเขาก็เดินจากไป แต่ไม่ทันถึงสิบเก้าผมก็พบภาพที่คาดไม่ถึง เพราะเขากระชากร่างเด็กจนแทบจะเซล้มแล้วเอามือตบหัวอย่างแรงจนหัวทิ่ม เด็กน้อยคงยืนบีบน้ำตาร้องไห้ไม่ได้ตามใบสั่งละมัง


เอาไม้เสียบไส้กรอกเข้าปากนั่งลงตรงที่เดิม เพิ่งวางโทรศัพท์ไปเมื่อสักครู่ “แฟนโทรมาตามเหรอ” กอฟพูดกับผม แต่ไม่ได้เงยหน้ามองเพราะกำลังกดโทรศัพท์ “อืม ให้รีบกลับบ้านดึกแล้ว” “จะรีบกลับไปไหนวะ อยู่นั่งกินกันก่อน เหลืออีกตั้งหลายขวด ถ้าเมาก็นอนห้องกูก็ได้” ผมพยักหน้า หยิบเบียร์กระดกลงคอ มองไปออกยังแสงไฟบนถนน ผมกับแฟนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก่อนหน้านี้ผมเคยมีแฟนคนหนึ่งอยู่ด้วยกันมาสี่ปี แต่สุดท้ายก็ไปด้วยกันไม่รอดเลิกรากันไป แต่ถึงแม้จะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
“มึงยังดีมีคนคอยห่วง มีคนคอยโทรตามให้กลับบ้าน...ไม่เหมือนกู ไม่มีสักคน...” กอฟมองโทรศัพท์ในมือ “...หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก็ไม่รู้จะโทรหาใคร แล้วก็...ไม่มีใครโทรหากูด้วย”
“อีกหน่อยก็มีคนโทรมาตามมึงจนน่าเบื่อเลยแหละ มึงเชื่อกูสิ” “ไม่รู้ว่ะ กูอาจจะรอคอยนานเกินไปก็ได้ บางวันกูก็ไม่อยากนั่งกินเบียร์ตรงนี้ทุกวันให้เป็นขี้ปากคนอื่นหรอก แต่ก็ไม่รู้จะไปไหน เลิกงานมาแล้วก็ยังไม่อยากกลับห้อง กลับไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา” มีข้อความเข้าที่โทรศัพท์ ผมกดดูเป็นข้อความสั้น ๆ ว่ากลับบ้านได้แล้ว “ถ้าบนโลกนี้ไม่มีความรัก ความห่วงใย คนเราจะเป็นยังไงวะ” ผมเอ่ยลอย ๆ ขึ้นมา “หึ” กอฟหัวเราะอย่างดูแคลนออกมา “จะเป็นยังไงได้ ก็เป็นอย่างกูนี่ไง คร่ำครวญ โหยหา  ไร้ค่า แล้วก็พร่ำเพ้ออยู่อย่างนี้” ผมมองไปยังลุงนาย มีลูกค้าชาวต่างชาติยืนมุงซื้อไส้กรอกกันเต็มไปหมด จังหวะหนึ่งลุงเงยหน้าขึ้นมาพอดี สบตากันแล้วยิ้ม


แฟนคนปัจจุบันผมคบมาเกือบสี่ปี ช่วงแรก ๆ เคยมีความคิดที่จะแต่งงานด้วยกัน แต่ความไม่พร้อมทางสถานะทางสังคม ทำให้สิ่งที่คิดมันไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลย
เจอกันทุกวัน ทำงานที่เดียวกันสนิทสนม มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันจนได้เป็นแฟนกัน แต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมาเธอมีโอกาสได้ย้ายที่ทำงาน ได้ไปทำที่บริษัทใหญ่โตที่มั่นคงกว่า ทำให้ไม่สามารถพบเจอหรือกินข้าวกลางวันด้วยกันได้ทุกวันเหมือนเดิม โอกาสเจอกันก็มีเพียงเวลาหลังเลิกงานในบางวัน หรือไม่ก็วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ที่มีเวลาว่างตรงกัน “มึงทำได้ยังไงวะ ไม่ได้เจอแฟนทุกวันเหมือนเดิม อยู่ห่าง ๆ กันแต่ก็ยังคบกันได้ดี” กอฟถาม “อืมม์...ก็ไม่มีอะไรมาก กูชัดเจน ไม่เคยคิดจะมีคนอื่นและแฟนกูก็เช่นกัน” “มึงมั่นใจอย่างที่มึงพูดแค่ไหนวะ”
สิ้นประโยคนี้ ผมนิ่งเงียบ กรอกตาไปมาไม่รู้ตัวอย่างคนไร้ความมั่นใจ
“กูว่าความรักมันต้องการมากกว่านั้นว่ะ ไม่ใช่แค่คนสองคนรักกัน” “มึงรู้ได้ยังไง” “กูไม่รู้ แต่กูจะรู้สึกอย่างนั้นถ้ากูรักใครสักคน” น้ำฝนหยดแรกล่วงหล่นมาจากบนท้องฟ้า
ผมมองออกไปที่แสงไฟบนถนน ยังไม่อยากลุกไปไหน


ฝนกำลังตกปรอย ๆ ไฟสีส้มเหนือตะแรงเตาถ่านดับไป ไส้กรอกถูกเหมาหมดไปแล้วจากกลุ่มชาวต่างชาติเมื่อสักครู่ ลุงนายค่อย ๆ ถีบรถเข็นเคลื่อนออกไป
“กลับบ้านเหอะ หรือว่ามึงจะไปแดกต่อที่ห้องกู” ผมนิ่งเงียบ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสวนทางหยดน้ำที่โปรยลงมา ลุกเดินออกมาจากที่ตรงนั้น ตรงป้ายร้านแมลงเม่าบินหายไปกับสายฝน “มึงว่าคืนนี้กูโทรศัพท์หาน้องเขาดีเปล่าวะ” กอฟเปรยเบา ๆ
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีสอง “มึงคิดว่าน้องเขานอนไปแล้วหรือยังล่ะ” “รู้ว่านอนไปแล้ว แต่กูอยากโทรหา มิสคอร์ไปก็ยังดี” “แล้วแต่มึง” กอฟเดินกลับห้อง งุ่นง่านอยู่กับโทรศัพท์กดไปกดมาจะโทรหรือไม่โทรดี เราแยกจากกันตรงมุมถนน ผมเรียกแท็กซี่กลับบ้านดอนเมือง บนแท็กซี่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผมจะให้สัญญาแฟนเสมอว่า ถ้ากินเบียร์เสร็จแล้วจะโทรไปบอก ไม่ว่าจะดึกยังไง เพื่อให้สบายใจว่า ผมกลับบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ผมจำไม่ได้ว่ากี่ครั้งแล้วที่ผมไม่ได้ทำตามสัญญา คิดถึงคำพูดบางคำของกอฟ คนเราจะเกิดมาทำไมถ้าไม่มีความรัก จะใช้ชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร เพื่อใครหรือเพื่อตัวเอง... ไฟบนถนนค่อย ๆ ทิ้งระยะความสว่างเลือนไปทุกที จากเมืองใหญ่สู่ชานเมือง รถแท็กซี่จอดส่งที่หน้าประตูรั้ว ภายในบ้านมืดสนิท ไม่มีเม็ดฝนตกลงมาจากบนฟ้า ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง มองแสงไฟกระพริบในจออย่างเลื่อนลอย เหมือนสายฝนกำลังโหมกระหน่ำลงในจิตใจ

แสดงความคิดเห็น

« 6935
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ