เรื่องสั้น

เรื่องสั้น : ทุกๆ ๓๐ นาที...ที่ผ่านไป

by bag2515 @December,16 2007 19.32 ( IP : 203...44 ) | Tags : เรื่องสั้น

เรื่องสั้น ทุก ๆ  ๓๐ นาทีที่ผ่านไป… ปิติ  ระวังวงศ์

๒๑.๐๐ น. หน้ากระดาษในเครื่องพิมพ์ดีดยังคงว่างเปล่า หนังสือกองหนึ่งวางอยู่ข้าง ๆ  กาแฟถ้วยที่สองพร่องลงไปแล้วเกือบครึ่งถ้วย เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเทปที่เปิดทิ้งไว้เปลี่ยนกลับหน้า-หลังเป็นรอบที่สอง ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปลี่ยนเทปเพลงม้วนใหม่
เมื่อกลับมาที่โต๊ะก็ยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ หลังจากนั้นไม่นานนัก, เสียงเพลงก็ดังแว่วมา “สูงสุดขอบฟ้าคือความฝันเหนือคนธรรมดา แมงวันหัวเขียวผู้หาญกล้า คิดทายท้าธรรมชาติในการบิน หัวเขียวประกาศกับพี่น้อง ทั้งป่าวร้องพลแมงให้ได้ยิน ให้ได้เห็นกับตาความบ้าบิ่น ข้าจะบินเอาอย่างนกนางนวล บินอย่างนกนางนวล” มันเป็นเพลงของ แอ๊ด  คาราบาว บอกเล่าถึงแมลงวันหัวเขียวตัวหนึ่งที่คิดการใหญ่เกินตัว เพลงบางเพลงในเทปชุดนี้มีที่มาจากหนังสือหลายเล่ม, ผมรู้เมื่อกลับไปหยิบปกเทปเปิดออกอ่าน
…

๒๑.๓๐ น. ผมเคยเจอกับเขาหลายครั้ง ที่ร้านหนังสือเล็ก  ๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งผมทำงานอยู่ที่นั่น หากจำไม่ผิดทุกครั้งที่เขาเดินสายมาเล่นดนตรี, ไม่ก่อนก็หลังของวันนั้นเขาจะแวะมาหาซื้อหนังสือ แต่คราวนี้คงไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ  ด้วยว่าเพื่อนคนหนึ่งของเขาได้เดินทางไปสู่แผ่นดินอื่นเสียแล้ว , เมื่อต้นปีที่ผ่านมา “เมื่อครั้งยังเป็นอยู่ ฉันมาเยี่ยมเธอทุกปี เหตุผลเธอคงมี จึงอยู่ที่ฝนโปรยไพร อักษรที่ค้นหา กับเวลาที่ใช้ไป คุ้มค่าต่อจิตใจ ต่อเติมฝันแด่ผู้คน” เพลงนี้เขาแต่งขึ้นเพื่อร่วมอาลัยต่อการจากเป็นของนักเขียนหนุ่ม กนกพงศ์  สงสมพันธุ์
และในทันที, ที่ฟังเพลงบริการรับนวดหน้าจบลง ผมก็รีบหาหนังสือรวมเรื่องสั้นของ ชาติ  กอบจิตติ ที่ชื่อเดียวกันกับเพลง ๆ นี้มาอ่าน “โอม…ภาวนาให้ด้านชาให้หน้ามึน ให้ยั่งให้ยืนมีบุญหนักมีศักดิ์ใหญ่ เพี้ยง…ภาวนาให้หนังหน้าหน้าไม่อาย เติบแต่นี้ไปจะยิ่งใหญ่จะยิ่งโตฯ บริการรับนวดหน้าด้วยเท้า เพิ่มความเก๋า เพิ่มความกล้า บริการรับนวดหน้า เพิ่มความเก๋า ความกล้า เพิ่มความหนาหน้าไม่อาย”

๒๒.๐๐ น. เสียงเพลงท่อนนี้ดังก้องขึ้นมาในหัว ก่อนที่ผมจะวางหนังสือเล่มนั้นลง, หลังจากอ่านจบ ผมก็คงเหมือนกับวัยรุ่นอีกหลาย ๆ คนที่เติบโตมาพร้อม ๆ กับบทเพลงของวงคาราบาว
“กลลวงที่ทำให้หลงมัวเมาไปกับสิ่งยั่วยุกิเลสและตัณหา แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ ผมก็ยอมรับว่าผมก็มีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้อยู่รอบตัว ผมไม่เคยบอกว่าผมเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็น แต่ผมมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือว่าผมมีลูกเมียเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว วันนี้ผมอาจเป็นอย่างหนึ่งที่ใครเห็น แต่ผมก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ลูกเมียเห็น เพราะฉะนั้นต่อให้ผมจะประสบความสำเร็จอย่างไร แต่ถ้าลูกของผมเขินอายที่จะเรียกพ่อ หรือเมียของผมเขินอายที่จะเรียกผมว่าผัว ผมว่าผมเลือกเป็นคนธรรมดาที่มีชีวิตอยู่กับครอบครัวอย่างเงียบ ๆ ดีกว่า ไม่ต้องเป็นแอ๊ด  คาราบาว” คำพูดของเขาข้างต้นนี้ช่วยให้ผมเข้าใจและคลี่คลายความสงสัยในบางมุมมองของการดำเนินชีวิต แล้วผมก็พลันคิดถึงบทสาธยายธรรมของภิกษุชื่อดังรูปหนึ่ง “มนุษย์เราอยู่ได้ในโลกนี้จะต้องถูกสิ่งเหล่านี้กระทบกระทั่งและถ้าไม่รู้เท่าทัน ก็จะถูกมันครอบ งำให้เป็นไปตามอิทธิพลของมัน เวลาพบฝ่ายดีที่ชอบใจก็ฟู เวลาเจอฝ่ายร้ายที่ไม่ชอบใจก็แฟบ พอได้ก็พอง แต่พอเสียก็ยุบ” ผมเก็บเอาสิ่งเหล่านั้นที่ได้ยิน, มาขบคิดทบทวน ฟู ก็คือ ตื่นเต้นดีใจ ปลาบปลื้ม ลิงโลด กระโดด โลดเต้น หรือแม้แต่เห่อเหิมไป แฟบ ก็คือ ห่อเหี่ยว เศร้าโศก เสียใจ ท้อแท้ หรือแม้แต่ตรอมตรม ระทม คับแค้นใจ พอง คือ ผยอง ลำพองตน ลือตัว มัวเมา อาจจะถึงกับดูถูกดูหมิ่น หรือใช้ทรัพย์ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้อื่น ยุบ คือ หมดเรี่ยวแรง หมดกำลัง อาจถึงกับดูถูกตัวเอง หันเหออกจากวิถีแห่งคุณธรรม ละทิ้งความดี ตลอดจนอุดมคติที่เคยยึดถือ

๒๒.๓๐ น. ผมยังคงลังเลที่จะตัดสินใจตอกนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ ทั้ง ๆ ที่มีเหมือนกับว่าอารมณ์และความลื่นไหลกำลังเกิดขึ้นและก่อตัวอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ผมหยิบสมุดบันทึกประจำวัน ที่วางรวมอยู่กับหนังสือกองนั้นออกมาเปิดอ่าน พร้อม ๆ กับคิดทบทวนเพื่อเรียกคืนความจำ ต่อเรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้จดบันทึกเอาไว้ คงจะเพราะความสงสัยของผม ที่อยากรู้ว่าคนทำงานวรรณกรรมแต่ละคน เขามีแรงบันดาลใจ หรือวิธีและกระบวนการสร้างสรรค์งานกันอย่างไร
ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นด้วยการหาหนังสือมาอ่าน อ่านเพื่อเปิดมุมมองของความคิด หนังสือหลายต่อหลายเล่มนำพาความสุขและความคิดดี ๆ มาให้ผม เหมือนที่ใครบางคนเคยบอกว่า หนังสือบางเล่มเหมาะต่อการขบเคี้ยว และบางเล่มก็ควรค่าแก่การกลืนกินโดยไม่ต้องผ่านการขบเคี้ยว
ผมนึกถึงคำพูดของใครอีกคนหนึ่งที่บอกว่า การอ่านมีความจำเป็นมากที่สุดสำหรับงานเขียนหนังสือ เพราะว่าการอ่านจะช่วยให้ได้พบกับประสบการณ์ทางความคิดและวิธีการเขียนใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่มีนักเขียนคนใดเขียนหนังสือให้ดีได้โดยไม่เคยเป็นผู้ที่ได้อ่านหนังสือดี ๆ มาก่อน
แต่ถึงกระนั้นหนังสือบางเล่มก็จำเป็นที่ต้องอ่าน และบางเล่มก็ไม่จำเป็นต้องอ่าน เพราะนอกจากจะทำให้เสียเวลาแล้ว อาจทำให้เราโง่อีกด้วย, ผมคิดในใจ-พร้อมกับเปิดสมุดบันทึกอ่านไปเรื่อย ๆ…

๒๓.๐๐ น. ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว หลังจากยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ, แล้วพบกับความว่างเปล่าในถ้วย ใบนั้น หากนับถ้วยนี้รวมเข้ากับเมื่อตอนกลางวันด้วยแล้ว, คงเกินกว่าสิบถ้วย  ช่วงตอนกลางวันผมตั้งใจที่จะนอนเอนหลังอ่านหนังสือในช่วงบ่าย ๆ ด้วยมันเป็นการเติมพลังชีวิตและความคิดอ่านให้กับผมได้เป็นอย่างดี ผมมีความคิดและเชื่อว่าชีวิตของคนเราเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ถ้าไม่รู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์ ก็จะแก้ปัญหาใหม่ ๆ ของชีวิตไม่ได้
วรรณกรรมเป็นงานศิลปะที่ต้องมีการใช้ความคิดสร้างสรรค์  ดังนั้นเมื่อใฝ่ใจที่จะเขียนหนังสือก็จะต้องใฝ่ใจในการอ่าน หนังสือดี ๆ ความคิดดี ๆ หรือแง่มุมประสบการณ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่มีพลังกระตุ้นความขบคิดและงอกงามทางปัญญาอยู่ตลอดเวลา
น้ำ (H2O) คือสสารชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนสถานะได้ครบ ๓ รูปแบบ, ทั้งของเหลว ของแข็ง และก๊าซ ตามอุณหภูมิและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป คน (Human) คือสิ่งชีวิตชนิดหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนสถานะได้มากกว่า ๓ รูปแบบ ตามเหตุผล ต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะเหตุผลเรื่องวัน เวลา และวัย ผมวางสมุดบันทึกลง, เมื่ออ่านข้อความนี้จบ แล้วหยิบเอาหนังสือที่วางอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนลุกเดินไปเปิดประตูออกมายังเฉลียงหน้าบ้าน คืนนี้ดวงดาวยังเต็มฟ้า, พลางคิดในใจ นั่งดูดาวรับลมเย็น ๆ ยามดึกท่าจะดีไม่น้อย หลังจากเอื้อมไปเปิดไฟแล้ว ผมก็ลากเก้าอี้นั่งเล่นหาจุดที่แสงสว่างเพียงพอ…

๒๓.๓๐ น. หลังจากเอื้อมไปเปิดไฟผมก็ลากเก้าอี้นั่งเล่นเลื่อนไปยังจุดที่แสงสว่างส่องถึง เอนหลังลงนอนก่อนเปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน
“ผมเฝ้ามองนักเขียนหนุ่ม-สาวร่วมสมัย เกิดปีติทุกครั้งที่เห็นอุดมคติแห่งวัยหนุ่มแสดงตัวออกมา นั่นคืออุดมคติอันบริสุทธิ์ เต็มด้วยพลังอันเร่าร้อน ก่อนที่ ‘วุฒิภาวะ’ จะทันเบี่ยงเบนหรือบดบัง แน่นอนว่าวุฒิภาวะย่อมทำให้งานเขียนมีน้ำมีนวลขึ้น มีความรอบคอบ รอบด้านมากขึ้น แต่สำหรับความร้อนแรงและสดใหม่แล้ว ผมเชื่อในพลังแห่งงานเขียนของวัยหนุ่มมากกว่า เท้าของวัยหนุ่มซึ่งก้าวไปด้วยความเชื่อมั่น ดูมีสีสัน เร้าความสนใจ แม้หลายครั้งหลายคราวซึ่งต้องสะดุดหกล้ม ทว่าด้วยพลังซึ่งบรรจุอยู่เต็มเปี่ยม ช่วยให้คนหนุ่มลุกขึ้นในฉับพลัน และก้าวต่อไปอย่างไม่พะวงกับความผิดหวัง ล้มเหลว” … คงเป็นเพราะเพลงที่กำลังเปิดอยู่นั่นเอง ที่ดึงดูดให้ผมหยิบหนังสือรวมเรื่องสั้นสะพานขาด ของกนกพงศ์  สงสมพันธุ์ เล่มนี้ติดมือออกมาอ่านข้างนอก… เสียงเพลงดังลอดแว่วมา ผมวางหนังสือลง, นอนฟังจนจบเพลง “หลังจากลิงค้นพบดินปืน จากเคยฆ่าสัตว์อื่นก็หันมาฆ่ากันเอง แย่งชิงครอบครองน้ำดินถิ่นฐาน แย่งหยูกยาอาหารและเทคโนโลยี จากลิงที่กินเพื่ออยู่ ลิงอยู่เพื่อกิน จนกลายเป็นลิงรุกรานเพื่อนลิงด้วยสงคราม ลิงพันธุ์นี้เปลี่ยนรูป เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนนาม จนมีคำถามว่ามันเป็นลิงหรือมันเป็นคน”

๒๔.๐๐ น. ผมเปลี่ยนเทปเพลงม้วนใหม่เมื่อกลับเข้ามาในบ้าน  ก่อนที่จะนั่งลงตรงหน้าเครื่องพิมพ์ดีด และผมก็พร้อมแล้วสำหรับการรีดเรื่องราวทั้งหมดที่มีอยู่ในสมองตอนนี้ ให้ออกมาทางปลายนิ้วแล้วตอกลงบนแป้นพิมพ์- ผมบอกกับตัวเอง, แล้วก็เริ่มต้นลงมือทำงาน มนุษย์และสัตว์บนโลกของเรานั้นถูกสร้างและออกแบบโดยธรรมชาติ เพื่อให้ต่อสู้กับอุปสรรค อีกทั้งให้ออกแรงทำความมานะพยายาม ถ้ามิฉะนั้นก็จะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ และคงสูญพันธุ์ไปจากโลกนี้นานแล้ว เหมือนดังเช่นปลาที่ต้องว่ายทวนน้ำจึงจะหาอาหารได้ เพราะว่าอาหารนั้นย่อมลอยมาตามน้ำ ถ้าปลามันว่ายตามน้ำ ก็คงจะไม่ได้อาหาร มนุษย์ก็ควรเป็นเช่นเดียวกัน เราจะมีชีวิตอยู่ได้ สามารถที่จะก่อร่างสร้างฐานะและหล่อหลอมอนาคตขึ้นได้ ล้วนแล้วแต่ต้องเผชิญกับอุปสรรค
ผมหยุด-และวางมือจากแป้นพิมพ์ดีด, หยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเปิด “จับประเด็นในงานที่เขียนไม่ได้มองแล้ว ไร้ซึ่งฐานความรู้ อีกทั้งยังแห้งแล้งซึ่งอารมณ์ขัน ห่าง ไกลจากความรู้จักสังคม หมกหมุ่น และวนเวียนอยู่กับความรู้สึก-นึกคิดของตัวเองมากจนเกินไป”
นักเขียนรุ่นพี่คนหนึ่ง, ชี้แนะและวิจารณ์งานเขียนของผม ทำให้นึกถึงคำสนทนาระหว่างผมและเพื่อน ๆ นักเขียนหนุ่ม คราวหนึ่งในวงน้ำชาริมถนนข้าง ๆ กำแพงมัสยิดกลางเมือง “การเขียนจะไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก หากนักเขียนมีที่ปรึกษาหรือเพื่อนแท้สักคนเคียงข้าง และจะยิ่งวิเศษสักแค่ไหน หากไม่ใช่เพียงคนเดียว นักเขียนต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคน ต่างช่วยเหลือกันตั้งแต่ปรึกษาร่าง ตลอดจนแนะนำแก้ไขจนสำเร็จเป็นเรื่องราว ผิดกับคนไทยที่มองการเขียนค่อนข้างเป็นเรื่องส่วนตัว สำหรับบางรายอาจถือเป็นความลับสุดยอด ไม่อยากให้เพื่อนสนิท หรือใคร ๆ  มาอ่านต้นฉบับ”

๐๐.๓๐ น. ผมวางสมุดบันทึกลง แล้วหันกลับมามองกระดาษในเครื่องพิมพ์ดีด หากการแสวงหาคือส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิต คนเราทุกคนก็จำเป็นที่ต้องหามันให้เจอ  เพราะว่าความสุขของชีวิตนั้นไม่ได้ถูกกำหนดขึ้นโดยเงื่อนไขอื่นใด นอกจากความพอใจของตัวเราเองเท่านั้น
ถ้าเรารู้สึกพอใจ นั่นแหละหมายถึงความรู้สึกถึงสุขที่สามารถสัมผัสได้ ผมหยุด-และวางมือจากแป้นพิมพ์ดีดอีกครั้ง, เมื่อได้ยินเสียงเพลง ๆ นี้ดังขึ้นมา “วันที่ฉันอับจน คนพูดหยามเหยียด ‘เอ็งหมดน้ำยา…ไร้ค่า’
เจ็บช้ำก็ยังกล้ำกลืน ยังคงฝืนสู้ชะตา เขาตราหน้า จำไว้ในใจ จดจำไว้ขึ้นใจ วันนี้ถูกหยาม จดจำไว้ให้มั่น วันที่ตกต่ำ คิดทำสิ่งใด ไร้คนให้โอกาส ฉันพลั้งพลาดเขาเมิน กี่คนเดินข้ามไป กี่หยดน้ำตาไหลริน ดื่มกินเข้าไป เรียนรู้รสเค็ม คงมีสักวัน ลุกขึ้นหยัดยืน…อย่างทระนง…คงมีสักวัน จดจำไว้ขึ้นใจ วันนี้ถูกหยาม จดจำไว้ให้มั่น วันที่ตกต่ำ” ผมลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว ชงกาแฟมาเพิ่มอีกถ้วย เมื่อออกมาก็ตรงไปหยิบปกเทปเพลงที่วางอยู่, มาเปิดออกแล้วก็อ่านข้อความบนปกเทป “ความเชื่อมั่นที่เคยมีอย่างเต็มเปี่ยม อาจจะขาดหายไปในช่วงหนึ่งของชีวิตแต่เชื่อเถิดว่า วันหนึ่งพลังพิเศษที่อยู่ในเบื้องลึกของจิตใจจะเรียกร้องและผลักดัน ให้คุณกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง พร้อมคำตอบของชีวิต ว่าทุกอย่างที่ได้มาและเป็นอยู่มิใช่เพราะความกล้า ความมุ่งมั่น ความหวังและศรัทธาหรอกหรือ ที่นำพาชีวิตมาสู่วันนี้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทเพลงของฉันจะนำพาพลังที่ขาดหายไปจากชีวิตใครบางคน…กลับคืนมา” ผมพลิกดูเนื้อเพลง, แล้วร้องคลอตามไปเบา ๆ  เจ้าของเพลงชุดนี้คือ ฤทธิพร  อินสว่าง เพลงส่วนใหญ่ที่เขาร้องและแต่งเอง หลายคราวก็เจอบทกวีของเขาตามหน้าหนังสือ และเขาก็เป็นหนึ่งในจำนวนนักร้องไม่กี่คนที่ผมมีงานเพลงของเขาครบทุกชุด

๐๑.๐๐ น. หรือว่าผมไม่ควรค่ากับการเดินบนเส้นทางสายวรรณกรรมสายนี้ ผมเชื่อว่าประสบการณ์ชีวิตมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์งานวรรณกรรมที่ดี แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าตัวของผมเองมีสิ่งที่กล่าวอ้างถึงมากน้อยเพียงใด, ผมถามตัวเอง “หนังสือคือตัวอักษรที่มีชีวิต คนที่มีอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้งเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าถึง-สัมผัสและนำเสนอมันออกมาได้อย่างลึกล้ำ หากว่าคนเขียนหนังสือสามารถเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้งได้มากเท่าใด ก็ยิ่งสามารถเขียนงานที่มีคุณค่าออกมาได้” นักอ่านสาวสวยคนหนึ่ง, ซึ่งเป็นลูกค้าประจำที่ร้านขายหนังสือเคยบอกกับผม อะไรคือการเข้าใจชีวิตอย่างลึกซึ้ง ? อะไรคือมาตรวัด ? และเรารู้หรือแน่ใจได้อย่างไรว่าเราเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างลึกซึ้งแล้ว ?  ในเมื่อความเป็นชีวิตนั้น อาจลึกซึ้งเกินกว่าที่เราสามารถจะเข้าใจ ผมจำได้ว่านักเขียนมือรางวัลคนหนึ่งของเมืองไทยเคยถามคำถามนี้, ผ่านทางหน้าหนังสือ…

๐๑.๓๐ น.  ผมยืนแปรงฟันหน้ากระจกในห้องน้ำ พร้อม ๆ กับมองจ้องตัวเองหลังจากป้วนปากล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของผมครานี้อาบด้วยความกระหยิ่มใจ พลางนึกขอบคุณหนังสือทุกเล่ม เพลงทุกบทเพลง คนทุกคนบนโลกใบนี้ที่เป็นแรงบันดาลใจสำหรับผม “นักเขียนต้องเก็บตัวอยู่ในห้องสมุด นั่งด่าสังคมอยู่ตามร้านเหล้า หรือไม่ก็นอนเกลาจินตนาการอยู่ในเปลหรือแคร่ใต้ต้นไม้น่าเอ็นดูสักต้น กลางป่าเขาลำเนาไพร” หญิงสาวคนนั้นบอก, ในเช้าวันที่เธอหิ้วกระเป๋าเดินออกไปจากบ้านเช่าหลังนี้ ขณะที่ผมนอนอ่าน หนังสืออยู่บนเก้าอี้นั่งเล่น
“ยิ่งพูดมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเข้าใจไม่ตรงกัน” ผมพูด, เมื่อลุกขึ้น-มองไปที่หน้าบ้านก็เห็นเธอขึ้นนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้างซึ่งขับบึ่งออกไปแล้ว น่าแปลกที่บ่อยครั้งคำพูดอันเปรียบเหมือนเครื่องมือสื่อสารที่เรียกได้ว่าหลากหลาย และน่าจะดีที่สุดของมนุษย์ กลับส่งผลตรงกันข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ ประมาณว่าบางคำ บางความนั้น ช่างก่อกวนชวนให้ฟังแล้วรู้สึกไม่เข้าหูเอาเสียเลย จนบางครั้งก็พาลไม่ชอบใจ และก่อให้เกิดความยุ่งยาก ยุ่งเหยิงไปได้ใหญ่โต ผมคิด - มันเกิดอะไรขึ้น ? จู่ ๆ คืนนี้ผมก็คิดถึงเธอขึ้นมา เมื่อเดินเข้าห้องนอน, ขณะที่ล้มตัวเอนลงผมก็คิดถึงต้นฉบับเรื่องสั้นสด ๆ ร้อน ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ
ผมตั้งใจไว้ว่าจะอ่านมันอีกครั้งในเช้าวันใหม่ พร้อม ๆ กับนั่งจิบกาแฟถ้วยแรกบนเก้าอี้นั่งเล่นตัวเดิมที่เฉลียงหน้าบ้าน….


หมายเหตุ เมื่อคราวที่ล้มมอเตอร์ไซค์แล้วกระดูกหัวไหลแตก หมอใส่สายสะพายคล้องแขนของผมเอาไว้ แขนข้างขวาของผมใช้การไม่ได้ชั่วคราว เป็นเหตุให้จับปากกาเขียนหนังสือ และตอกปลายนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ไม่ได้ ตันแทนบริษัทประกันภัยบอกว่า อาการบาดเจ็บของผมเรียกว่า ทุพพลภาพชั่วคราวสิ้นเชิง สอง-สามเดือนระหว่างนั้น ผมจึงพูดแล้วบันทึกเทป หลังจากอาการดีขึ้นเป็นปรกติ ก็ค่อยๆลงมือถอดออกมาเป็นเนื้อความ…

Comment #1
Posted @December,21 2007 14.48 ip : 222...81

อ่านแล้วมีสาระบางด้านและมีอารมณ์ขันตบท้าย

แสดงความคิดเห็น

« 6514
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ