Party หนังสือ
ฟ้าบ่กั้น
ผมรู้จักลุงคำสิงห์ หรือ ลาว คำหอม เมื่อหลายปีก่อน มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดลุงอย่บ้างแต่ก็ไม่นานนัก ความรู้สึกชิดใกล้นั้นเกิดจากการอ่านผลงานของลุงเสียมากกว่า โดยเฉพาะกับผลงานชิ้นเลื่องชื่ออย่าง "ฟ้าบ่กั้น"
จำได้ว่าแรกพบรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็เมื่อสมัยเรียนอยู่ปี 4 มหาวิทยาลัย เข้าห้องสมุดหยิบมาเปิดผ่านๆ แล้วก็ผ่านเลยไปอย่างไม่มีอะไรติดตาติดใจ กระทั่งมาเมื่อเริ่มอ่านวรรณกรรมอย่างจริงจังและเริ่มฝึกเขียนเรื่องสั้น การอ่านฟ้าบ่กั้นอย่างใกล้ชิดจึงเกิดขึ้น
เรื่องแรกที่จำได้ดีเห็นจะเป็นเรื่อง "เขียดขาคำ" ทุกวันนี้ยังจำได้ถึงประโยคเปิดอันลือลั่นที่ว่า แดดกล้าเริงแรง...ผมได้ยินคุณไพฑูรย์ ธัญญา เปรยความรู้สึกประทับใจนี้กับหูในงานเสวนาครั้งหนึ่ง ถึงประโยคนี้จนทำให้ผมต้องกลับไปอ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่สำคัญ ลุงใช้คำว่า "ฟ้าบ่กั้น" มาก่อนที่เราจะเห่อตามกระแสโลกาภิวัฒน์ หรือเพียรหาคำที่พยายามสะท้อนภาพยุคสมัยที่โลกหดเล็กลง จนไม่มีอะไรมากั้นขวางอีกต่อไป
เรื่องสั้นของลุงคำสิงห์ มีหลายอย่างที่ทำให้กลายเป็นอมตะ สามารถอ่านได้ไม่รู้เบื่อและไม่พ้นสมัยหล่นหายไปกับกาลเวลาง่ายๆ เหมือนกับผลงานของอีกหลายคน เมื่อคำนึงถึงว่าผลงานชิ้นหนึ่งได้การผ่านการพิสูจน์คุณค่ามาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องมารางวัลใดๆประทับตรา ยิ่งทำให้ผลงานชิ้นนี้ลอยเด่นอยู่เหนือกาลเวลามากขึ้นไปอีก
และคงมิใช่แค่เพียงความสมบูรณ์พร้อมถึงศิลปะและเนื้อหาที่บ่งฟ้องยุคสมัยแห่งความทุกข์ยาก เป็นภาพแทนความเดือดร้อน ความยากลำบากของคนชั้นล่างโดยเฉพาะเกษตรกรชาวไทย ซึ่งลุงบอกไว้ว่า เป็นฤดูกาลที่แสนยาวนานที่คนไทยหรือชาวอิสานประสบพบพาน แค่นี้เพียงอย่างเดียว หากทว่านัยทางการเมืองที่แฝงอยู่ในเนื้อหาและน้ำเสียงของผู้แต่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเนื้อเรื่อง ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะได้สะท้อนหัวจิตหัวใจที่แข็งแกร่งของคนตัวเล็กๆคนหนึ่งที่หาญกล้า ท้าทายต่อความเป็นจริง กล้าที่กะเทาะหรือเสียดเย้ยคนที่มีอำนาจสูงกว่า ความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่สะท้อนอยู่ในรวมเรื่องสั้นชุดนี้ ยังคงมีปรากฏอยู่ในทุกยุคทุกสมัย เป็นร่องรอยที่ไม่อาจประสานเข้าหากัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นระหว่าง มรว.กับกุลี นักการเมืองกับชาวบ้าน ข้าราชการกับชาวบ้าน เหล่านี้ล้วนเป็นภาพฟ้อง บอกเล่าทัศนของผู้เขียนที่ทิ้งรอยฝากไว้ผ่านถ้อยคำของตัวละครหรือผ่านโครงเรื่อง ไม่ว่าจะมองเห็นความเน่าเฟะของสังคมในยุคนั้นว่าไม่ผิดไปจากหนอนในหลุมส้วม ทำให้เรามองภาพสังคมสมัยนั้นได้อย่างแจ่มชัดมากขึ้น การเสียดเย้ยการพัฒนาที่ผิดรูปผิดทาง เดินตามก้นฝรั่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ท่ามกลางความไม่รู้ของชาวบ้าน และความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติ ทำให้เราการอ่านฟ้าบ่กั้น และสามารถค้นพบความหมายใหม่และมีความสดท้าทายคนอ่านมาตลอด
การมองความสัมพันธ์เชิงอำนาจอย่างกล้าหาญที่จะวิพากษ์ไม่เลือกหน้านี้เองทำให้รวมเรื่องสั้นชุดนี้มีเสน่ห์ท้าทายต่อการอ่าน และยิ่งสะท้อนความหมายผ่านมุมมองของคนตัวเล็กๆที่อยู่ชั้นล่างสุดของสังคม ยิ่งทำให้ขยายมิติการรับรู้ทั้งกว้างและลึกให้กับผู้อ่าน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ให้ค่ากับการอ่าน ให้เกียรติกับผู้อ่านที่จะค่อยๆกะเทาะเปลือกนอกที่ดูซื่อๆ เชยช้าลงไปทีละชั้นจนพบแก่นแกนแห่งความหมายที่แหลมคม
เป็นท่าทีของนักวิพากษ์ที่ยากจะหาได้ในนักเขียนยุคปัจจุบัน