เรื่องสั้น
กาฝาก
กาฝาก ชาคริต โภชะเรือง
หมอกยังไม่เลือนจาง สองฟากทางราวกับไม้ใหญ่ในพงพนาที่ยืดตัวแผ่เงาปกคลุมไม้เล็ก มันช่างโตพรวดพราดเบ่งบานจนเห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วแปลงโฉมเป็นป่าตึกพาณิชย์สีสันบาดตา ร้านอาหารริมควน ไม่เว้นแม้กระทั่งสาขาของพรรคการเมือง ฟากหนึ่งเริ่มถางป่าปรับที่เตรียมก่อสร้างศูนย์ราชการใหม่ อีกฟากหนึ่งดินตรงหัวควนเหี้ยนเตียนโล่งไปกว่าครึ่ง ป่าเขียวๆหดหายไปเกือบหมด เหลือแต่ป่าตึก นี่เป็นเค้าลางแห่งความเปลี่ยนแปลงเช่นไร?
ในความมัวซัวเมามึนนั้น บรรจุไปด้วยฉากภาพแห่งความวิวาทเอะอะสันตะโร ผมจำได้แม้แต่เสียงตะโกนด่าสาปแช่งเป็นรถด่วนของนิ-คนข้างบ้าน ‘อีพวกเห็นแก่ตัว...อยู่ดีๆกันไม่ได้ ชอบให้มาทะเลาะกัน’ อะไรไม่รู้ทำให้อึดอัด ลำบากใจ นี่กูคิดผิดหรือเปล่าวะ
นึกถึงไอ้ตัวเล็ก... อันที่จริงผมย้ายมาอยู่หมู่บ้านแห่งนี้เมื่อปีกลาย เป็นสมาชิกใหม่หมาด ตอนที่เราย้ายมาย่างเข้าปีใหม่ปีนั้นเรื่องยังไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้ ผมยังมองหน้าทุกคนได้สนิทใจ ไม่ต้องระแวงว่าแต่ละคนจะเป็นพวกใคร...มะม่วงต้นใหญ่หน้าบ้าน ตอนนั้นออกลูกดกเต็มต้น ห้อยระย้าเป็นพวงดูน่าตื่นตาตื่นใจ(ต่อมาเราได้แจกจ่ายให้คนในหมู่บ้านได้ทานกันถ้วนทั่ว) ถัดไปด้านหลังเป็นเนินควนสูงเทียมชั้นล่างของตัวบ้าน สูงพ้นไปจากกำแพงรั้วหมู่ไม้ยังขึ้นเขียวทึบ ป่ายางสูงชะลูดนั้นเล่ายังบดบังทิวทัศน์มองไม่เห็นแนวเขา
“อากาศดี เหมือนอยู่กลางป่าใหญ่” เมียผมว่า
แค่มาได้เห็นบ้านและราคาผมก็ตัดสินใจได้ในวินาทีนั้น ซึ่งว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ ครอบครัวเราเองอยู่ในช่วงตั้งตัวเพิ่งย้ายมาจากในเมือง ผมเบื่อชีวิตระเหเร่ร่อนเป็นซำเหมาเต็มทน หลายปีมานี้กว่าร้านอาหารจะอยู่ตัวเราเปลี่ยนที่อยู่จนเหนื่อย อีกอย่างผมไม่อยากเสียเงินไปกับการเช่าบ้านอีกต่อไป แต่พอตกลงซื้อและขนของย้ายเข้ามาอยู่ ผมก็พบว่ามันไม่ได้ง่ายดังที่คิด
หากทว่าเพียงครึ่งปีเท่านั้นป่ายางหลังบ้านก็ถูกถางเรียบ อาเจ๊-เจ้าของที่ปรับที่ดินเตรียมขาย...บ้านที่ผมเลือกมาอยู่นั้นเพิ่งตกแต่งใหม่ ผมประมูลต่อมาจากธนาคาร สภาพบ้านและราคาทำให้เราตัดสินใจได้ไม่ยาก แม้จะรู้อยู่เลาๆแล้วว่าที่นี่มีปัญหาเรื่องขาดน้ำกินน้ำใช้
“คนอื่นเขาอยู่กันได้ เราก็ต้องอยู่ได้เหมือนกันแหละน่า...” ผมว่า
มาอยู่ได้เพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ยังไม่ทันคุ้นชินกับความรู้สึกใหม่ ได้ลิ้มรสความอิ่มเอมปรีดิ์เปรมใจในการเป็นเจ้าของบ้านหลังแรกในชีวิตก็มีเรื่องเกิดขึ้นไม่เว้นวัน อาเจ๊เจ้าของที่หลังบ้านแกปล่อยให้ใครไม่รู้เอารถบรรทุกดินมาวิ่งผ่านที่ซึ่งปรับเสียเรียบราบลมพัดฝุ่นดินลูกรังลอยเข้าหาบ้านผมที่ตระหง่านรับเป็นด่านหน้า แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับปัญหาเรื่องน้ำ...ทีแรกผมยังลังเลไม่อยากให้เข้าไปล้วงลึกนัก ผมอ้างว่าเราเป็นคนใหม่ไม่รู้จักใคร ทว่าเมียผมไม่เห็นด้วย ขืนทำเฉยธุระไม่ใช่ แล้วเราจะอยู่ในหมู่บ้านในฐานะอะไร?
“ก็ในฐานะสมาชิกคนหนึ่ง คนอื่นทำยังไงเราก็ทำอย่างนั้น” ผมว่า
เย็นวันหนึ่ง กลับจากทำงาน มีใบปลิวมาสอดไว้ตรงตู้รับจดหมาย บอกให้รู้ว่าในหมู่บ้านจะมีการประชุมคัดเลือกประธานชุมชนคนใหม่ ผมไม่รู้จักใครสักคน ประธานคนเก่าที่อยู่ข้างบ้านมาแนะนำตัวบอกผมว่าควรที่จะออกไปร่วมประชุมด้วย
“ผมจะลงเป็นประธานต่ออีกปี ไม่งั้นแก้ปัญหาเรื่องน้ำไม่ได้แน่...คุณต้องออกไปลงคะแนนให้ผมด้วยนะ” แววตาเขาเปี่ยมความกังวล ยืนคุยอยู่ชั่วครู่ เขาพาผมเดินไปดูรอบๆหมู่บ้าน นั่นทำให้ผมเริ่มตระหนักถึงเมฆหมอกแห่งความยุ่งยากที่ปกคลุมไปทั่วหมู่บ้าน
ผ่านป้อมยามที่ว่างร้าง ที่ดินด้านหนึ่งถูกเว้นว่างเป็นที่ทิ้งขยะ เขาชี้ไปที่แท็งค์น้ำทรงแชมเปญหน้าหมู่บ้านที่ยืนตะคุ่มย้อนแสงยามเย็น
“เราทะเลาะเรื่องน้ำใช้มาหลายปีแล้ว...” เขาพูด แล้วปัญหาก็ทะลักทลายออกมา
นิ่งฟังอย่างงุนงง หัวหมุน พองฟู ไม่คิดไม่ฝัน ผมรู้สึกเหมือนถูกหลอก แวบหนึ่งที่นึกโกรธขึ้นมา แต่ก็ฉุกคิดขึ้นได้ในอีกชั่วเวลาว่าบางทีอาจจะมีอะไรสักอย่างที่ดลใจให้เรามาซื้อบ้านหลังนี้ บางที...บางที...
ผมยังไม่อยากคิดมาก แต่ก็นิ่งฟังจนปะติดปะต่อเรื่องได้ว่า น้ำ...น้ำบาดาลของหมู่บ้าน ความที่อายุการใช้งานผ่านเวลามากว่าสิบปี หินปูนเกาะติดจนกระทั่งว่าซับเมิร์ทเสียหายใช้การไม่ได้ เราจำเป็นต้องกู้บ่อหรือไม่ก็ขุดบ่อใหม่ – ว่าไปแล้วคงต้องโทษความสะเพร่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเราเอง ในเมื่อเจ้าทุกข์ที่เป็นผู้จัดการโครงการตัวดีเผ่นแน่บไปหลายปีแล้ว หุ้นส่วนอีกคนก็ถูกฟ้องล้มละลาย ทรัพย์สินบางส่วนกำลังถูกขายทอดตลาด ซึ่งรวมไปถึงที่ดินหน้าหมู่บ้านเจ้าปัญหานี้ด้วย หลายอย่างจึงพัลวันมะรุมมะตุ้มกันจนแยกจากกันไม่ออก
ที่เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือว่า ประธานหมู่บ้านคนแรกๆ ทำเรื่องเอาไว้มาก ทำให้ชาวบ้านไม่ไว้ใจ สุดท้ายก็ทะเลาะกัน ไม่ไว้ใจกันและกัน ตอนนี้หมู่บ้านเราแตกเป็น 2 ฝ่าย ห่ำหั่นวิวาทกันจนแทบไม่มองหน้ากัน แต่ต้นเหตุดูเหมือนว่าจะสลับซับซ้อนกว่านี้
“เฮอะ! จะมีอะไรก็เรื่องผลประโยชน์นี่แหละ...” เขาว่า ผมเองได้แต่นิ่งฟัง แล้วก็ยืนงงๆอยู่ “ใครมาเป็นประธาน ต่างคนต่างก็กอบโกยเข้าตัว ทั้งฉ้อโกงเงินลูกบ้าน ทั้งแก้ปัญหาไม่ถูกจุด แล้วใครจะมาไว้ใจ” ชายร่างท้วมบ่นอุบ
ประธานคนเก่าเองก็ไม่ใช่คนซื้อรุ่นแรก เข้ามาก่อนหน้าผมราวๆเจ็ดปี ตอนที่ครอบครัวเขามาซื้อบ้านนั้น เจ้าของโครงการหนีหนี้ทิ้งบ้านหายหน้าไปแล้ว
ผมถามถึงเจ้าของโครงการ
“โครงการนี้น่ะรึ” เขาหัวเราะ “มันเจ๊งไปตอนปี 40 ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจนั่นแหละ” เขาชี้มือไปยังบ้านร้างหลังสุดท้ายของหมู่บ้าน ที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านผม “นั่นแหละ-บ้านของเจ้าของโครงการ พอเขาหนีไป บ้านทุกหลังเลยเข้าธนาคาร ผมเองก็ต้องไปผ่อนต่อกับธนาคาร...”
ตัวผมเบาหวิว พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
เราเดินมาหยุดอยู่กลางหมู่บ้าน มองดูรั้วบ้านแต่ละหลังที่ปิดมิดชิดจนมองแทบไม่เห็นภายในบ้าน ประธานชะงักเท้า ชี้ไปยังที่ว่างด้านหน้าหมู่บ้าน ผมเห็นเรียวหนวดเหนือริมฝีปากบางกระดก “ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือว่า ก่อนที่จะหนีไป เขายังไม่ได้ยกที่ดินหน้าหมู่บ้านให้เป็นที่สาธารณะ มิหนำซ้ำยังเอาไปเข้าแบงค์ เราก็เลยขอขุดบ่อใหม่ไม่ได้”
เรายืนอยู่ท่ามกลางแสงหม่นมัวของยามเย็น ท้องฟ้ามีสีเหลืองจัด แผ่แสงมลังเมลืองปกคลุม เมฆหนาทึบลอยต่ำเชื่อมระหว่างยอดไม้ดูเป็นเงาทะมึน ชายร่างท้วม เดินกะเผกๆ นำหน้า เขาพูดยิ้มๆ
“หมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ต่างคนต่างอยู่ คนแตกเป็นหลายกลุ่ม คุณเพิ่งเข้ามาอยู่ประเดี๋ยวก็จะได้รู้...”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
ได้ยินได้ฟังแล้วผมพอจะนึกภาพออกรางๆ เห็นเค้าลางของปัญหา เดินตัวปลิวไปยืนอยู่หน้าหมู่บ้าน รวมกับคนอื่นๆ ผมรู้สึกตัวลอยๆชอบกล ยืนงงๆ ขณะที่มองดูคนโน้นคนนี้ที่อยู่ใกล้ๆ ชายร่างสูงโปร่งหน้าใสออกไปยืนข้างหน้า เขาถามว่าจะมีใครเสนอตัวบ้าง
ผมได้ยินเสียงผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หันไปซุบซิบกับอีกคน “คอยดูนะ มันเอาแน่...”
ค่ำคืนนั้นมีตัวเลือกให้เราพิจารณาเพียงแค่ 2 คน ผมเองก็ไม่รู้จักทั้งคู่(เว้นแต่ประธานที่มาคุยด้วยครั้งสองครั้ง)ยืนงงงันอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า “อ้าว! สมาชิกทุกคนว่าอย่างไร” กังวานคำถาม สำนึกบางอย่างไหลหลั่งเข้ามาจู่โจมหัวใจ ตอนที่ผมยกมือ... รอจนใจสงบผมตริตรองอยู่เงียบๆ
แหงนมองดาวกลางคืนแสงวิบวับ ดวงไฟตรงกลางลานเปล่งแสงจ้าบาดตา ลอยคว้างติดตาติดใจ มองหาจันทร์เพ็ญที่ไม่รู้ว่าหลบเร้นไปอยู่ที่ไหน เดินตัวปลิวกลับมาถึงหน้าบ้าน มองดูหน้าต่างที่ปิดตายหลบฝุ่น ผมยืนชะเง้อฝ่ากำแพงรั้วออกไป มีบางอย่างคล้ายว่าทำให้นึกเฉลียวใจ...นึกถึงอาเจ๊ที่ปล่อยให้รถบรรทุกดินวิ่งผ่านหน้าบ้าน...ปัญหาเรื่องน้ำ...ผมเห็นจันทร์ทรงกลดเปล่งแสงกำจายอยู่หลังหลืบอาคารร้าง
ใจผมสงบนิ่งมากขึ้น หวนถึงขณะยืนฟังประธานย้อนผลงานที่ผ่านมาในรอบปีให้ฟัง(ส่วนใหญ่หนักไปทางขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆให้ช่วยส่งน้ำมาบรรเทาความเดือดร้อน) คนอื่นๆได้แต่สงบนิ่งไม่พูดไม่จา มีแต่กลุ่มผู้หญิงด้านหลังผม 4-5 คนซุบซิบกันว่าจะยกมือให้กับอีกคน ว่าไปแล้วที่นี่ก็ไม่ต่างไปจากชุมชนเมืองแห่งอื่นๆที่ผู้คนต่างคนต่างอยู่ ไม่แยแสธุระส่วนรวม
การเลือกประธานผ่านไปอย่างรวดเร็ว...เอาน่า พวกเขาคงแก้ปัญหากันได้ ผมมันก็แค่สมาชิกใหม่...ช่วยอะไรเขาไม่ได้หรอก...กระซิบบอกตัวเอง ผมมัวแต่ยุ่งหัวหมุนกับงานที่ธนาคารและร้านเลยไม่ได้รับรู้ว่าพวกเขาจะแก้ปัญหาคาราคาซังนี้อย่างไรต่อไป(ผมรู้เลาๆแค่ว่าประธานทำหนังสือไปถึงกรมทรัพยากรน้ำให้ส่งช่างมาเป่าบ่อ) มีอยู่วันหนึ่งผมกลับมาตอนหัวค่ำ ถนนว่างเปล่าผิดปกติ ฝนโปรยเม็ดเบาบาง ถนนหน้าหมู่บ้านเปียกชุ่มโชก วิทยุ โทรทัศน์ทุกช่องเริ่มออกข่าวการปฎิวัติ ใจผมเต้นแรง ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
คืนนั้นผมเห็นกรรมการหมู่บ้านประชุมกันหน้าเคร่งเครียด
อยากรู้ใจจะขาดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน? กลับถึงบ้านมัวแต่ตื่นเต้นกับข่าวทหารปฎิวัติกันไปพักใหญ่ เมียผมหัวเราะออกมาอย่างสะใจที่เห็นนายกรัฐมนตรี-อ้อ อดีตนายกรัฐมนตรีประกาศเสียงห้วนกร้าวผ่านหน้าจอทีวี.แล้วจู่ๆเสียงก็ขาดหายไป...
“นี่เธอ-สนุกจังเลยคืนนี้ ยังกะดูหนังแน่ะ” ผมว่า เมียผมค้อนควับ “เออแปลก ทีอย่างงี้ละสนใจเชียว” หล่อนว่า ข่าวปฎิวัติพอให้ได้ลืมเรื่องยุ่งเหยิงในหมู่บ้าน มารู้อีกทีเราก็ได้รัฐบาลใหม่ แล้วก็เตรียมร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ในช่วงเดือนต่อมา มีข่าวดีแทรกเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน กรมทรัพยากรน้ำส่งช่างมาลองเป่าบ่อ ปรากฏว่าเป็นไปดั่งคาดบ่อบาดาลของเรายังมีน้ำอยู่ ทุกคนตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ ประธานชุมชนบ่นอุบ
“รู้งี้ไม่ต้องรอเสียก็ดี” เขาว่า เพียงแค่เปลี่ยนเครื่องปั้มน้ำ ในที่สุดปัญหาเรื่องน้ำกำลังจะหมดไป ทว่าเราก็ดีใจกันได้ไม่กี่วัน ยังไม่ทันได้ชื่นชมความฉ่ำเย็นของสายน้ำ ปัญหาใหม่ผุดบังเกิดขึ้นอีก
จู่ๆมีมือดีที่ไหนไม่รู้เอาก้อนหินโยนใส่ลงไปในรูท่อบาดาล...
บางคนโบ้ยใส่ให้เด็กๆที่วิ่งเล่นอยู่ละแวกนั้น แต่ถ้าไม่ใช่...นั่นก็หมายความว่า....นี่เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเศร้าใจ แล้วก็หดหู่อย่างบอกไม่ถูก
“เราจะทำยังไงดีพี่...ซื้อบ้านคราวนี้คิดผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้...เฮ้อ!” ผมนอนเอามือก่ายหน้าผาก
ไม่นากนัก ประธานคนเก่าเรียกประชุมใหญ่อีกครั้งแล้วประกาศขอลาออก ด้วยเหตุที่ว่าโรคร้ายรุมเร้าร่างกายจนไม่อาจรับสภาพได้
“ผมขออภัยทุกคนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้พวกเราได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ผมพยายามจนสุดความสามารถแล้ว...ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ...” มือและเท้าที่บวมพองผิดปกติของอดีตประธานทำให้หลายคนเบือนหน้าหนี
แล้วชีวิตก็เดินหน้าต่อไป ผมเข้าไปพบลูกค้าที่สวนและศูนย์การเรียนรู้ที่เขาพระแทบทุกวัน เข้าๆออกๆระหว่างบ้านกับธนาคาร สลับช่วงกับการแวะดูร้านค้าในช่วงเย็น แค่นี้เวลาผมก็หมดเกลี้ยงไม่อาจแยะความสนใจแบ่งภาคตัวเองไปทำอะไรได้อีก ทั้งเรื่องการเมือง(ที่ปกติไม่ใส่ใจอยู่แล้ว-ก็มีรัฐบาลทหารไว้ทำงานแล้วนี่)รวมไปถึงเรื่องน้ำในหมู่บ้าน นี่ถ้าหากว่าไม่ห่วงร้านค้าชุมชนในเมือง ผมคงเข้ามาปลูกกระท่อมอยู่ในสวนแล้ว ขับรถผ่านสวนสมรมที่ปล่อยให้ต้นไม้ขึ้นรกจนกลายเป็นป่า ผมเผลอนึกไปถึงความขัดแย้งเรื่องน้ำในหมู่บ้าน ที่นี่ก็มีปัญหาเดือนร้อนจากการสร้างอ่างเก็บน้ำ
สัปดาห์ถัดมาประธานคนใหม่เดินเข้ามาหาผมถึงในบ้าน เขาเป็นคู่แข่งที่มีคนเสนอให้เป็นตัวเลือกในคืนนั้น เขาเปรยความตั้งใจว่าจะขุดเจาะน้ำใหม่
“เอาสิ ผมเห็นด้วย” ผมว่า “ผมพร้อมจะลงหุ้นด้วยคน”
เขาบอกผมว่าจะสอบถามความเห็นของชาวบ้าน แล้วเขาก็หายไปพักใหญ่ ผมพยายามสอบถามคนที่รู้จักว่ามีใครแนะนำช่างหรือบริษัทขุดเจาะน้ำบาดาลได้หรือไม่
วันที่ประธานขุดเจาะบ่อบาดาลจนแล้วเสร็จ ปล่อยน้ำให้เราได้ใช้อย่างสบายอุรา เขาทำหนังสือแจ้งพวกเราให้รับทราบถึงค่าบริการน้ำ...หากท่านต้องการน้ำในอัตรา 15 บาท ต่อหน่วย ท่านจะต้องจ่ายเงินจำนวน 7000 บาท หลังจากนั้นจะได้ใช้น้ำในอัตรา 15 บาท ต่อหน่วยตลอดไป และหากท่านใดไม่สะดวกตามข้อ 1 ท่านสามารถใช้น้ำในอัตรา 50 บาท ต่อหน่วยได้ตลอดไป
“เฮ้ย! เป็นไปได้ไง” ผมงุนงง ตะเบ็งเสียงใส่เขาที่มาเดินแจกหนังสือ นี่มันเอาเปรียบกันเกินไป...ผมเลือดขึ้นหน้า โดนเข้าซึ่งๆหน้าทำเอาผมนิ่งเฉยไม่ได้
“เอาสิ คุณคนเดียวเท่านั้นนะที่มีปัญหา...” เขามองผมอย่างเหยียดๆ
ผมไม่แน่ใจ ให้เมียลองเตร่ไปถามเพื่อนบ้าน ประธานหนวดจิ๋มอธิบายว่าได้ใช้คำว่าเอกชน เพื่อความคล่องตัวในการขออนุญาตขุดเจาะ วันประชุมใหญ่ ป้าแจ๋ว-เพื่อนบ้านเมียอดีตประธานเชิญตัวแทนหน่วยงานจากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดมาร่วมด้วย เขาชี้แจงว่าเนื่องจากการเป็นเอกชน จะถูกควบคุมเรื่องราคาและระบบการดูแลคุณภาพน้ำ ซึ่งจะต้องลงทุนและจัดทำระบบดังกล่าวเสียก่อน มิเช่นนั้นจะเป็นการทำผิดกฎหมาย
“ผมต้องทำ ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่มีน้ำใช้ ถ้าขืนรอให้ถามทุกคน เราก็ไม่มีทางได้ใช้น้ำแน่ ผมจึงควักกระเป๋าลงทุนขุดบ่อไปก่อน ผมลงทุนไปแล้วก็ต้องได้เงินคืนบ้างสิ ทำไมไม่เข้าใจผมบ้าง” อีตาประธาน...เฮ้ย-เอกชนครวญ
“ไม่ เราจะไม่ยอม...อย่างมากเราก็รวมกันขุดใหม่” ผมประกาศ
อะไรไม่รู้ทำให้ผมนึกสะดุดใจ เช่นเดียวกับสมาชิกหมู่บ้านทั่วไป เราปล่อยตัวสังเวยความสะดวกสบายตามวิถีคนเมือง เราพึ่งคนอื่นมากกว่าพึ่งตนเอง แท้จริงแล้วเราเป็นผู้กำหนดชะตากรรมหรือเราเป็นเพียงกาฝากที่ทิ้งชีวิตไว้กับไม้ใหญ่ ผมคลางแคลงใจ วันดีคืนดีมีคนไปหาที่ดินสร้างบ้าน เสร็จก็ประกาศขาย แล้วเราก็เข้าไปซื้อ เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ทว่าเมื่อมาอยู่รวมกัน พวกเราร้อยพ่อพันแม่ ล้วนเป็นพันธุ์ไม้มาจากต่างถิ่น มาถึงก็ต้องแทงรากเข้าไปในท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุของต้นไม้อื่นยังชีพ หากว่าตัวเองไม่เดือดร้อน เอะอะก็โยนภาระรับผิดชอบให้กับผู้นำไม่กี่คน---
เราไม่เคยรับรู้ ไม่เคยยืดอกประกาศความรับผิดชอบอย่างจริงจัง สำนึกในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ผมนอนไม่หลับมาหลายวันแล้ว ฝันสับสน ตื่นขึ้นมาก็มองดูนาฬิกา อาบน้ำแล้วเสร็จก็มานั่งจมปุ๊กอยู่หน้าบ้าน มองดูดวงตะวันยามเช้าที่กลืนอยู่ในสายหมอกหม่น บ้านตรงข้ามถูกปล่อยรกร้าง เสาไฟฟ้ายืนตรงทอดเงาทาบใบหน้า
ทุกครั้งเวลาที่ผมบึ่งรถออกจากบ้าน ผมไม่อยากมองหน้าใครที่อยู่ระหว่างสองฟากถนน คนกว่าร้อยชีวิต เอาเข้าจริงๆผมแทบไม่รู้จักใครสักคน ผมไม่รู้จริงๆว่าพวกเราแต่ละคนคิดกันอย่างไร มีใครบ้างที่เข้าข้างประธานชุมชน แล้วมีใครบ้างเข้าข้างเรา ใจผมนั้นบินลัดไปรออยู่ที่วันนัดล่วงหน้า แทนที่จะปล่อยให้ชาวบ้านตาดำๆ ระบายโทสะใส่กัน พ่นคำด่าทอใส่กันอย่างดุเดือดราวกับแม่ค้าปากตลาด
เราต้องทำอะไรสักอย่าง ผมคิด
กาฝากเป็นพืชใบเลี้ยงคู่ ก็เช่นเดียวกับต้นไม้ที่มีผลเหล่านั้น ต้องอาศัยนกเป็นผู้แพร่พันธุ์ให้ แต่ที่แตกต่างไปจากต้นไม้เหล่านั้นก็คือ ถ้าหากขาดนกแล้วต้นกาฝากไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยตัวของมันเอง มันจะต้องสูญพันธุ์ไปในที่สุด
เดินขึ้นไปบนระเบียง มองดูเนินดินข้างบ้านที่ถูกปรับราบเรียบ รถบรรทุกดินเคลื่อนตัวผ่านไปเป็นระยะๆ กระชากฝุ่นลูกรังลอยเข้าหาไม่ขาดสาย
หมอกหม่นมัวคลี่ลงปกคลุม รถบรรทุกดินโผล่เงาตะคุ่มๆคืบเคลื่อนไปดูเหมือนสัตว์ประหลาด ผมตัดสินใจกดโทรศัพท์โทรหาอาเจ๊-ทันทีที่รับสาย แกตกใจ บอกว่าไม่รู้เรื่อง “เจ๊ไม่รู้จริงๆ ว่ารถขนดินนั่นเป็นรถของใคร ที่แน่ๆไม่ใช่ของเจ๊แน่ ประเดี๋ยวเจ๊จะเข้าไปดู ถ้าจริงละก็ เจ๊จะเอารั้วมากั้นไม่ให้รถวิ่งผ่านที่ดินเจ๊อีก” ผมรีบขอโทษขอโพยที่เข้าใจผิด
คิดถึงเรื่องน้ำในหมู่บ้าน ผมจะต้องทำอะไรสักอย่าง...ลองเลียบเคียงถามเพื่อนบ้าน ผมจึงถึงบางอ้อว่าไม่ใช่แค่ผมเพียงลำพัง... “แล้วคุณจะทำยังไง” เมียผมถาม “ผมไม่อยากให้เรามาทะเลาะกันเป็นเด็กๆ” ผมตอบ เพิ่งเข้าใจในเดี๋ยวนี้เองว่าความรู้สึกของการเป็นเจ้าของอะไรสักอย่างนั้นรสชาติเป็นอย่างไร ก่อนหน้านั้นผมทำร้านอาหารอย่างไรเสียทุกอย่างก็เป็นของผม ทำงานในธนาคารก็เป็นแค่ลูกจ้าง ไม่เคยเกิดความรู้สึกร่วมได้มากเท่านี้ การได้เข้ามาอยู่ในหมู่บ้านนี้ทำให้ผมเกิดความคิดใหม่
ป่วยการที่จะโทษคนอื่น ถ้าหากผมเป็นแค่คนเกาะรั้ว คอยแต่ยืนมอง....ไม่เคยกระโดดลงไปมีส่วนร่วมผมคิด จะมีใครมาช่วยเหลือเราได้... หลายวันมานี้ ความคิดผมจู่ๆก็เปลี่ยนไป สะดุดใจกับความจริงที่ว่ามองไปรอบกายทำไมมีแต่เรื่องเลวร้าย ไม่นานมานี้เกิดข่าวใหญ่-นายกเทศมนตรีถูกดักยิงกลางวันแสกๆ มือปืนลงจากรถกะบะรัวเอ็ม 16 กราดกระสุนเข้าใส่นับร้อยนัด เหตุเกิดบนถนนหน้าทางเข้าเทศบาลด้วยซ้ำ นัยว่าเป็นความขัดแย้งทางการเมืองท้องถิ่น...นี่ก็จะมีการเลือกตั้งใหม่ คิดแล้วก็สยองใจ เหลียวดูการเมืองระดับชาติบ้างเล่า ประเทศก็แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นภูมิภาคนิยม อดีตนายกฯที่ถูกทหารปฎิวัติเป็นที่ชื่นชอบของคนภาคเหนือ อิสาน ทว่าคนภาคใต้กลับไม่ยอมรับ...โอ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองเรา?
ต้นกาฝากจะขึ้นงอกงามอยู่บนต้นไม้อื่นราวกับว่ามันเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ต้นนั้น ดูเผินๆแล้วสวยแปลกตาดี โดยเฉพาะในเวลาที่ต้นกาฝากออกดอกเต็มต้น เพราะดอกกาฝากมีสีสวยเป็นสีแดง หรือสีส้ม ในเวลาที่ออกดอกเต็มต้น จึงทำให้ต้นไม้ที่มันเกาะกินอยู่ดูแดงดูส้มไปด้วย ช่วยเพิ่มสีสันให้กับต้นไม้ในป่า แต่ถ้าต้นไม้ต้นใดมีต้นกาฝากขึ้นงอกงามอยู่มากเกินไป ต้นไม้ต้นนั้นจะเฉาลงหรือไม่สมบูรณ์ และอาจตายลงได้ เมื่อต้นไม้ต้นนั้นตายลง ต้นกาฝากต้นนั้นก็ต้องตายลงเช่นกัน
ผมยิ้มเหยียด
ภาวะกาฝาก ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา.... มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ...
สิบกว่าวันที่ผ่านมาผมกับเมียจึงต้องอดทนวิ่งเข้าวิ่งออกรับโทรศัพท์ วุ่นกับการถ่ายเอกสาร แล้วก็รุกเข้าศาลากลาง ส่งจดหมายเชิญสิบกว่าหน่วยงานราชการที่ควรจะมาเป็นคนกลาง คอยรับรู้ร่วมวงถกโต้ช่วยเราแก้ไขปัญหา-ความที่เรื่องน้ำมันพัลวัลไปหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน
ผมเองไม่คิดหรอกว่าปัญหาจะรุกลามขยายใหญ่โต และไม่คิดอีกว่าตนจะกลายเป็นตัวละครหลักที่กระโดดลงมาเล่นในเรื่องเสียด้วย แต่ก็นั่นแหละนะ ไฟแห่งความขัดแย้งคงจะไม่ไหม้ลามได้ง่ายหากว่าไม่มีเชื้อสุมขอนมาก่อน สิ่งที่ผมเห็นมันเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เพื่อที่จะยืนหยัดอยู่ได้อย่างทรนง ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมจะต้องพึ่งตนเองมากขึ้น รับผิดชอบทุกอย่างมากขึ้น
คิดมาถึงตรงนี้ ผมจอดรถตรงหน้าศาลากลาง ที่ยืนตระหง่านใต้เงามัวมนแห่งสายหมอก...ผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
ผมผลักประตูห้องผู้ว่าฯ เลขาฯหน้าห้องหันมามอง...
คิดถึงชั่วขณะเผชิญหน้าผู้ว่าฯ มองดูหมู่บ้านใต้แสงหม่นมัวของยามเช้า ลึกลงไปใต้แผ่นดิน เสาหลักค้ำยันตัวบ้าน แล้วชีวิตเราล่ะ...ผมถามตัวเอง
ต้นไม้แห่งชีวิตจะยืนต้นตระหง่านยั่งยืน รากจะต้องหยั่งลึกลงดิน กูไม่ใช่กาฝาก ผมร้องบอกตัวเอง.