เรื่องสั้น

น้ำเข้าใต้ถุน

by รัตนชัย มานะบุตร @June,14 2008 21.57 ( IP : 222...53 ) | Tags : เรื่องสั้น

น้ำเข้าใต้ถุน

รัตนชัย มานะบุตร

ราวกับว่าแม่ได้กลิ่นอนาคต...

แม่ฝันว่า แม่และเพื่อนบ้านสวมชุดดำนั่งรถยนต์เต็มกระบะเดินทางไปงานศพที่วัด  ทุกคนพกใบหน้าเศร้าสลดและด้วยความสงสัย  และฝูงชนที่แห่กันไปที่วัดมีคนเกือบทุกชาติทุกภาษา

ไปงานศพใครกันก็ไม่รู้?

แม่ได้กลิ่นศพตอนสวมเสื้อดำก่อนออกเดินทาง

‘งานศพคนทั้งโลก’  ใครคนหนึ่งเอ่ย

ที่วัดเสียงร้องร่ำระงมไปทั่ว ทุก ๆ ครึ่งชั่วโมงจะมีรถยนต์ขนศพเต็มคันมาส่ง  มีหมอผมแดงคนดังและอาสาสมัครตรวจ ดี.เอ็น.เอ.และฝังไมโครชิพ ทุกระยะจะมีคนมาขอถ่ายรูปหมู่ร่วมกับศพ ศพที่ตรวจ ดี.เอ็น.เอ.และฝังไมโครชิพแล้ว ทุกคนจะถูกคืนชีวิตให้ พวกเขาลุกขึ้นยืนทั้ง ๆ ที่เนื้อตัวเต่งตึงร่วมถ่ายรูปหมู่ ถ่ายรูปเสร็จทุกศพต่างเอ่ยปากขอบคุณ เสียงที่เปล่งออกไม่เต็มเสียงนักเพราะในปากของพวกเขามีแต่น้ำ  แล้วเดินตัวแข็งเรียงแถวไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ที่จอดรออยู่ แล้วแต่ใครเลือกลำไหน มีไปสนามบิน ภูเก็ต พังงา กระบี่ เฮลิคอปเตอร์ลำใหม่ก็บินลงมาแทนที่ไม่รู้จักจบ

น่าสงสารศพที่ไม่มีญาติมารับ พวกนี้ถูกบังคับให้เดินไปหลังวัดมีรถแทรกเตอร์กำลังขุดหลุมขนาดใหญ่ยาวเหยียด เตรียมฝังเพราะศพมากเกินไปไม่มีที่เก็บ ทหารกำลังลำเลียงศพลงไปยังก้นหลุม ศพบางศพประท้วงเรื่องผิดสัญชาติ ประท้วงจนพอใจจึงยอมลงนอนในหลุมแต่โดยดี บางศพไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นใครมาจากไหน แม้เจ้าตัวจะบอกชัดเจน แต่นั่นเป็นข้อมูลจากคนเสมือนสติไม่สมประกอบ ถูกบังคับให้ต้องลงไปนอนรอญาติมาพิสูจน์ก้นหลุม พวกเขาบ่นกันว่า รู้ว่ายุ่งยากแบบนี้ไม่น่ามาตายที่นี่เลย...

“เราสัญญาจะขุดเมื่อญาติมาติดต่อ...เราสัญญา”

ที่ชายหาดทะเลราบเรียบเสียจนไม่มีที่ติ โรงแรม รีสอร์ท และบังกะโลพังยับเยิน ชายชาวจีนสามคนพี่น้อง จุดธูปเทียนกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้พบศพพี่ชาย  เด็กชายคนหนึ่งที่รอดชีวิตเดินร่ำให้ เขามีภาพถ่ายมารดาที่ไม่รู้ชะตากรรม และมีคนจำนวนหนึ่งช่วยกันจับสาวญี่ปุ่นเครียดจัดกำลังปีนขึ้นต้นไม้หวังฆ่าตัวตาย

เต็นท์พักชั่วคราวและบ้านน็อคดาวน์เรือนงามหลายร้อยหลังคากำลังก่อสร้างอย่างเร่งรีบ

ถนนทุกเส้นสายมีแต่รถยนต์จากสารทิศเคลื่อนตัวเข้ามายังชายหาด เหมือนเที่ยวงานสวนสนุก

เฮลีคอปเตอร์รับทุกคนที่ต้องการช่วยเหลือ ส่งไปยังโรงพยาบาล วัด สนามบิน

“แกตายแล้วเหรอ” แม่ถาม

“ใช่”

“ตายยังไง”

“ตายติดอยู่บนหลังคารีสอร์ท”

“แล้วแกล่ะ”

“ตายเหมือนกัน ผมคลื่นซัดไปนอนตายอยู่บนรถเข็น”

“แล้วแกด้วยเหรอ”

“ผมอยู่บนกองขยะ ผมเหมือนกำลังพักผ่อนที่แสนคลาสสิค”

แม่กลับมาพร้อมกับความมืดและกลิ่นศพไฟจากรถสว่างและว่างเปล่าจนน่ากลัว พบหญิงชรายืนโบกมืออยู่ข้างทาง แกมีรูปร่างผอมหลังงองุ้ม รถยนต์จอดรับดึงแกขึ้นนั่งบนท้ายกระบะรวมกับคนอื่น ๆ แกบอกขออาศัยไปครึ่งทาง ถึงเชิงเขาให้จอดแกขอลง

“ยายจะไปไหน?” เพื่อนแม่ถาม

“ยายจะขึ้นเขา”

“ขึ้นทำไม บ้านยายอยู่บนนั้นหรือ?”

“ไม่...ยายหนีคลื่นยักษ์”

“คลื่นยักษ์มันผ่านไปแล้ว คนตายเกลื่อน”

“ผ่านไปแล้วแต่มันยังมีอีก...”

“โอ้...แค่นี้ยังไม่พออีกรึ!”

“ใช่...จำข้าไว้ ให้อพยพขึ้นภูเขา”

“ยายรู้ได้ไง?”

“ทำไมไม่รู้...สมัยก่อนยังถล่มเมืองทั้งเมืองให้จมลงสู่ก้นทะเล อยากรู้มั้ยล่ะว่ามีเมืองอะไรบ้าง”

รถยนต์จอดตรงเชิงภูเขา หญิงชราลง ดูแกค่อย ๆ เดิน ภูเขาตระหง่านตัดขอบฟ้า โดยมีกลุ่มดาวไถอยู่หลังฉาก  เลยภูเขาอีกด้านเป็นทะเลอันดามันอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วยายก็หายไปในความมืด ร ุ่งเช้าแม่เล่าเล่าความฝันให้เธอฟัง แล้วเพื่อนบ้านคนหนึ่งก็เล่าว่าเมื่อวานคนเจอเต่าทะเลที่ชายหาดตั้งหลายตัว และมีมดแมลง  ตะเข็บตะขาบอีกมากมายหนีขึ้นต้นไม้
ตอนกลางคืนเธอก็ฝันว่ามีหนุ่มฝรั่งมาขอเธอแต่งงาน เธอเก็บความฝันไว้คนเดียวเงียบ ๆ  ในฝันแม่ปลื้ม ใบหน้าเปี่ยมด้วยความสุข

‘ลูกสาวของฉัน...’

..........................................................................

แม่รู้ว่าหาดป่าตองเป็นแหล่งบันเทิง ให้ตายเถอะที่นั่นเป็นแหล่งค้าโลกีย์...

ขณะที่แม่กำลังตีเส้นขนมเปียกปูนในถาดด้วยคมมีด    แม่มองขนมเปียกปูนให้นึกถึงผืนนาเป็นบิ้ง ๆ อยู่ในถาดสี่เหลี่ยมสิบกว่าถาด เป็นงานศิลปะที่แสนธรรมดา  ความจริงบิ้งนาที่ภูเก็ตกลายสภาพเป็นรีสอร์ทและบังกะโลไปหมดแล้ว แต่บิ้งนาในถาดขนมเปียกปูนของแม่ ยังคงอยู่ และยังคงส่งขายร้านน้ำชาวันละหลายสิบร้านนในละแวกบ้าน

แม่ยกแท่งบิ้งนาออกจากถาดทีละบิ้ง  วางลงบนใบตอง แล้วบรรจงห่ออย่างประณีตกลัดด้วยก้านมะพร้าว ห่อละบาทเมื่อนานมาแล้ว จนกระทั่งปัจจุบันห่อละห้าบาท
วันนี้เธอช่วยแม่ห่อ

แม่เปรยขึ้นมาว่า “มันเรียนจบ แทนที่แม่จะสบายใจ แต่กลับทำให้ชีวิตแม่ต้องเซ็ง”

เธอรู้ว่าหมายถึงพี่สาว  แม่ไม่ชอบตอนพี่สาวไปทำขนตางอนเสียจนหน้าจืด ๆ เป็นสาวหน้าเข้ม ตาคมเสียจนชาวบ้านจำไม่ได้ แม่เรียกพี่สาวว่า ‘อีแก่แดด’ ซึ่งต่อมาแม่รู้ข่าวมาว่าไปทำงานในบาร์เบียร์ที่หาดป่าตอง มีคนมาฟ้องแม่ว่าพบพี่สาวเดินควงฝรั่ง

แม่อยากให้พี่สาวหางานดี ๆ ทำ ไม่ใช่งานเสิร์ฟเหล้า งานเช่นนั้นไม่ต้องรงไม่ต้องเรียนให้สิ้นเปลือง ยิ่งรู้ว่าที่นั่นมีแต่ตัวตะเข้ฝรั่ง งับไม่เลือก แม่เกลียดฝรั่งเป็นทุนอยู่แล้ว พอได้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพี่สาว แม่โกรธยิ่งกว่าใครโกงที่ดินเสียอีก แม่ว่าถ้ามีเงินสักล้านจะซื้อลูกสาวกลับมาไม่ปล่อยให้ไปเป็น ‘แม่ควาย’ ขี้ปากชาวบ้าน

สาวภาคไหนก็ตามที่บำเรอฝรั่ง ชาวบ้านที่นี่เรียก ‘แม่ควาย’

ไม่รู้ใครตั้งชื่อ ‘แม่ควาย’

“สาธุ!” แม่แทบกราบลงพื้น วอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่าได้เกิดขึ้นกับลูกแก่แดดของเธอคนนี้ ยืนยันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีแห่งวงษ์ตระกูล ไม่เคยมัวหมองในเรื่องแบบนี้เลย

บ้านหลังเก่าแก่ไม่กี่หลังที่ยังคงเหลือให้เห็น มันซุกตัวอยู่ระหว่างบ้านรูปทรงใหม่จากเมืองฝรั่ง เหมือนถูกล้อมกรอบ เหมือนถูกมัดมือบีบคอให้ตาย บ้านเมืองจะได้เจริญหูเจริญตาเสียที บ้านของแม่จึงเป็นเหมือนเท้า  ส่วนความเจริญเปรียบเหมือนเรือ เรือแล่นไม่ฉิวเพราะมีเท้าราน้ำอยู่

‘รื้อ ๆ’

เสียงคำว่ารื้อจากลูกชายคนโตของแม่ดังก้องอยู่ในหู

“รื้อสร้างใหม่” พี่ชายกล่าว

“ไม่ให้รื้อเด็ดขาด” แม่ย้อนด้วยของแข็งเช่นกัน แม่ปาด้วยอิฐก้อนโตจนพี่ชายหัวโนและล่าถอยไปในที่สุด

แต่ฝรั่งอีกนั่นแหละนำกล้องมาถ่ายรูปบ้าน แม่โกรธฝรั่งเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความโกรธเข้าไปอีก ราวกับแม่เคี้ยวพริกสักกำอยู่ในปาก

หน้าแม่แดงตอนพูดกับเธอ “มันมาถ่ายรูปบ้านเส็งเคร็งของเราไปทำไม?”

“ฝรั่งพวกนี้ไม่เหมือนพวกฝรั่งที่มาเที่ยวป่าตองนะคะแม่” เธอพยายามอธิบายเพื่อลดดีกรีพริกร้อนในปากลง

“ทำไมจะไม่เหมือน...แกไม่ดูหน้ามันเรอะ!”

“พวกนี้เป็นคนละแบบกับพวกป่าตอง...พวกนี้เป็นนัก...มี” เธอจะอธิบายแม่ว่าไงดี  “พวกนี้ใช้ชีวิตธรรมดาและเรียบง่าย ให้เกียรติต่อชนพื้นเมือง ให้คุณค่าต่อความดั้งเดิม เป็นนักอนุรักษ์ พวกนี้เป็นปัญญาชนที่มีมุมมองตรงข้ามทุนนิยม รักธรรมชาติ...”  เธออธิบายแม่แบบเหมารวม น่าจะตรงสักอย่าง หรืออาจไม่ถูกเลยก็ช่างประไร ใช่แม่จะรู้  ไม่ต้องใช้วิชาการวิชาเกินมาอธิบายกับแม่ให้เสียเวลา  “หนูจะเล่าเรื่องให้แม่ฟังสักเรื่อง เรื่องนี้เกิดขึ้นแถว ๆ พังงาใกล้บ้านเรา เรื่องจริงมีอยู่ว่า มีฝรั่งตาน้ำข้าวมาขอหญิงชาวบ้านแต่งงาน เรื่องของเรื่องฝรั่งคนนนี้ชอบผู้หญิงแบบดั้งเดิม ชนชาวพื้นเมืองทำนองว่ามีวิถีชีวิตแบบธรรมดาและเรียบง่าย ใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมคือทำไร่ ทำนา ไม่มีทีวี พัดลม ตู้เย็น ทำนองนั้น แต่พอแต่งงานอยู่ไปได้ไม่นาน เมียอยากได้บ้านหลังโต ๆ อยากมีทีวี พัดลม ตู้เย็น อยากได้รถยนต์ ขึ้นมา แม่รู้หรือเปล่าฝรั่งคนนั้นขอหย่าไปแต่งงานใหม่...นี่แหละฝรั่งที่ว่าละ”

“แล้วเรื่องพี่สาวแกล่ะ แกคิดยังไง?”

“พี่สาวเหรอ...หากมียีราฟสักตัวเกิดมาคอสั้นล่ะ แม่คิดยังไง”

“ยีราฟคอสั้นมันก็คือ ‘แม่ควาย’ ดี ๆ นี่เอง”  แม่กระแทกเสียง

“แม่ไปเปรียบเช่นนั้นมันเกินไป...หนูว่าไม่ว่าฝรั่งมังค่า จีน ลาว เขมรก็มนุษย์โลกเหมือนเรานะคะแม่”

“มนุษย์โลกเหมือนเรารึ” แม่ยิ่งขึ้นเสียงอีก ”พวกมันนอนแก้ผ้าตากแดดบนชายหาดนะเหรอมนุษย์โลกเหมือนเรา...นี่ถ้าใครไปเจอพี่สาวแกกับฝรั่งนอนแก้ผ้าอยู่ที่นั่น แม่ไม่รู้จะเรียกว่าไรดี สมแล้วที่คนเขาตั้งชื่อ ‘แม่ควาย’”

บ้านเธอเป็นบ้านปั้นหยาโบราณที่แสนจะเก่า หลังคามุงกระเบื้องดินเผาที่ไม่มีให้เปลี่ยนอีกแล้ว เป็นบ้านที่มีใต้ถุน ตัวบ้านทำด้วยไม้ทั้งหมด มันถูกส่งต่อมาจากรุ่นปู่ย่าตาทวด แม่ไม่เคยชอบบ้านที่มีพื้นปูนซีเมนต์ แม่ว่า ‘ตีนมันเย็นแล้วพานท้องอืด’ ลูกชายคนโตก็คือพี่ชายของเธอต้องการรื้อสร้างใหม่ปูปาเก้ แม่จะได้ไม่ท้องอืด ถึงกระนั้นแม่ก็ยังไม่ยอมให้รื้อ แม่ไม่ชอบบ้านทรงฝรั่งพอ ๆ กับที่แม่ไม่ชอบคนฝรั่ง  พี่ชายเลยแยกครอบครัวไปสร้างใหม่หลังหรูไกลหูไกลตาแม่ เธอเองรู้สึกภูมิใจกับบ้านที่ไร้ความสง่าหลังนี้ แม้ดูเก่าโทรม แต่ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งเห็นคุณค่าของมัน ไม่ใช่รายเดียวที่มาขอถ่ายรูป อย่าว่าแต่ฝรั่งเลยแม้คนไทยเองเคยมากระซิบว่าอย่ารื้อทิ้ง หากจะรื้อขอให้บอกจะซื้อ

เธอแอบภูมิใจไม่น้อย

มีบางวันในรอบปีที่พวกเรารวมพี่น้องออกไปทานข้าวชายหาด แม่ยอมไปด้วยแต่ต้องเป็นที่ที่ไม่เจอฝรั่ง ทั้งนี้แหละทั้งนั้นย่อมไม่มีน้องสาวที่แก่แดดซึ่งเสมือนถูกตัดหางปล่อยวัดไปแล้วด้วย

“ฝรั่งก็คือมนุษย์โลกเดียวกัน” เธอกล่าว

“มนุษย์โลกไหนกันนอนแก้ผ้าตากแดด” แม่ย้อน

หลังจากแม่ฝัน ดูเหมือน ‘กลิ่นอนาคต’ เริ่มก่อตัวขื้นในเช้าของวันหนึ่ง

เช้าวันนั้นมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นตะโกน “น้ำทะเลแห้งไปครึ่งหนึ่ง...”

“ครึ่งทะเลเชียวรึ อย่ามาพูดโกหก” เธอว่า

“โกหกไปทำไม จริง ๆ ผมเห็นกับตาตัวเอง ที่ตรงหน้าชายหาดน่ะ อยู่ ๆ น้ำแห้งไปเฉย ๆ นี่ผมอุตส่าห์วิ่งกลับมาเอาถังใส่ปลา”

“เป็นไปได้หรือตั้งครึ่งทะเล...” เธอทวนคำ

“จริง ๆ นะ ไปดูเองก็ได้”

“แม่ เค้าว่าน้ำทะเลหายไปครึ่ง...”

“แกว่าไงนะ...น้ำทะเลหายไปครึ่ง ใครว่า”

เธอก็เห็นน้ำกำลังกลิ้งเหมือนม้วนเสื่อขนาดยักษ์หมุนไปตามทางเดินเข้าใต้ถุนชั่วเพียงไม่กี่อึดใจใต้ถุนก็เต็มไปด้วยน้ำและเสียงโกรกกราก รอบ ๆ  มีเสียงตะโกนโหวกเหวก  แล้วรู้สึกว่าตัวบ้านกำลังเดินโขยกเขยก  เพื่อนบ้านกระโดดจากบ้านเธอไปเกาะหลังคารถยนต์ของตัวเอง แล้วรถก็ถูกน้ำดันให้เคลื่อนไปตามถนนทั้ง ๆ ที่ไม่มีคนขับ  เพื่อนบ้านที่อยู่ใต้ถุนลอยคอไหลไปตามกระแสน้ำหายลับไปตามซอยที่คดเคี้ยว

“นี่หรือวะ น้ำทะเลหายไปครึ่ง” แม่ยังไม่หายข้องใจ

เธอได้ยินเสียงโครม! ตรงข้างฝาบ้าน เธอวิ่งไปที่หน้าต่าง แม่วิ่งออกประตูหน้าบ้าน ใต้หน้าต่างนอกบ้านมีเรือเร็วลำหนึ่งหงายท้องไม่เป็นท่าทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้มันเป็นเจ้าแห่งความเร็วร้องคำรามที่ชายหาดหน้าโรงแรม ลากร่ม ลากสกีให้ฝรั่งเล่นโหนตัวราวกับว่ามันเป็นเจ้าของชายหาดก็ไม่ปาน แต่วันนี้กลับวิ่งมาชนฝาบ้านทิ่มหัวหงายท้องเข้าใต้ถุนบ้านอย่างไม่เป็นท่า

หนุ่มฝรั่งผมสีบรอนซ์เกาะติดแคมเรือท่าทางตื่นตระหนก

เธอยื่นแขนลงเพื่อดึงเขาขึ้นมา

‘ฝรั่ง’ ที่แม่เกรียด : เธอคิด ‘น่าทิ้งให้เขาจมน้ำตาย!’

‘ไม่ใช่’ นี่คือเพื่อนร่วมโลก : เธอคิด ‘ช่วยมนุษยชาติ’

หนุ่มผมบรอนซ์นั่งอยู่บนท้องเรือยื่นมือข้างหนึ่งจนสุดเอื้อม ระยะยังห่างสักสองฟุต ทันทีน้ำกระฉอกก้นเรือเหมือนจงใจช่วย เธอเกือบคว้าข้อมือเขาไว้ได้ แต่หัวเจ้าหนุ่มผมบรอนซ์กลับทิ่มลงน้ำ  เธอตัดสินใจวิ่งเข้าครัวคว้าไม้พายกวนขนมเปียกปูนของแม่ซึ่งมีด้ามให้ถือพอเหมาะ เธอวิ่งกลับมาพบว่าเขาตะเกียกตะกายกำลังจะหมอแรงหลุดจากเรือ เธอยื่นไม้พายให้เขาได้พยุงตัวได้ทันท่วงที ก่อนที่หนุ่มผมสีบรอนซ์คนนั้นหลุดลอยไป

หนุ่มผมบรอนซ์ใช้แรงเยือกสุดท้ายปีนขึ้นช่องหน้าต่าง  เขาสิ้นแรงล้มตัวลงนอนใบหน้าซีดเซียว ตัวสั่นและร้องคราง เธอคิดได้ว่าต้องนำผ้าห่มหนา ๆ มาห่อตัวจะได้หายหนาว เธอวิ่งไปยังห้องนอน ขณะวิ่งเธอหันไปเห็นแม่แวบนึง

เธอเรียกแม่ “แม่มาช่วยเขาถี”

เธอนึกถึงฝรั่งที่แม่เกรียด แล้วเธอก็นึกถึงเพื่อนร่วมโลก เธอนำผ้าห่มขณะที่แม่ก็มาถึง

“ฝรั่ง!” แม่อุทาน “ไม่ ๆ แม่ไม่ยุ่ง”

เราพบว่าตรงข้อเท้าของเขามีเลือดสีเข้มไหล สีหน้าแม่เปลี่ยนไป

“เขาบาดเจ็บคะแม่”

“ไม่ ๆ แม่ไม่ยุ่ง แกจัดการเองก็แล้วกัน อย่าให้แม่ไปยุ่งเกี่ยวกับฝรั่งเลย”

“แต่เขาเจ็บมากนะแม่”

“ไม่ ๆ” แม่มองหน้าหนุ่มผมบรอนซ์ก่อนเดินหนี แต่ก็หวนกลับมาจนได้  “ดูสีหน้าเขาคงจะเจ็บมาก แกเอาผ้าห่มห่อตัวเขาไว้ แม่จะดูแผลเขาเอง”

เธอห่อตัวเขาด้วยผ้าห่มของเธอ แต่ยังไม่หายสั่น

ได้ยินเสียงมาแม่พูดว่า “แผลลึกถึงกระดูก ต้องฉีกผ้าพันห้ามเลือดเอาไว้ แกกอดเขาไว้เดี่ยวแม่ไปหาผ้าเอง”

“กอด” เธอเขินไม่กล้า

“เออ ไปอายทำไม...”

เธอกอดเขาไว้หลวม ๆ พอแม่ลับหลังเธอจึงกอดเขาแน่น แล้วเธอก็หวนนึกถึงเรื่องฝัน หนุ่มผมบรอนซ์คนนี้หรือเปล่าหนอที่มาขอเธอในฝัน...

แม่กลับมา เธอเขิน  แล้วแม่ลงมือฉีกผ้านุ่งของแม่

แม่พึมพำ  “น้ำเข้าใต้ถุน”

...................................................

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ