เรื่องสั้น

เรื่องสั้น

by รัสตามาลี @June,17 2008 21.35 ( IP : 61...2 ) | Tags : เรื่องสั้น

1“  คาราวะผู้รอนแรมรักษาป่าทั้งหลาย ที่ให้กำเนิดเรื่องราวและตำนานอันเป็นที่โจษจันในใจฉัน ”


                                                  แด่ผู้อพยพเพื่อการมีชีวิตอยู่ (สังขละบุรี2551)

    นานมาแล้วที่ฉันต้อง “อพยพ”    จะเรียกมันว่าอะไรดีกับการที่ต้องหอบผ้าผ่อน หนังสือหนังหา  ปากกา  ดินสอ เดินทางไปเพื่อร่วมเรียนรู้กับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์  เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพื่อตัวตน  หากแต่เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์เบี้ยหอยรายทางที่เก็บเกี่ยวได้จากการใช้ชีวิตอยู่ตามสังคมชายแดน  บ้านป่า ห่างไกลจนสุดขอบดินแดนแห่งอารยะชน  นั้นเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในสายตาของคนเขียนหนังสือ(อย่างฉัน) และอาจเป็นของใครอีกหลายๆคนที่หลงใหลใคร่รักที่จะทำงานศิลปะอยู่ร่ำไป
                                                                                                                                              ขอขอบพระคุณ                                                                                                                                               สุนทร  แสนสุข                                                                                                                                         เจ้าพระยา นนท์  2550


“ ฤาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องอพยพ ”

………………… ละอองฝนร่วงโรยลงมาราวกับคนบนฟ้าได้โปรดปรายหยาดหยดแห่งการหล่อเลี้ยงและเติบโตมาสู่มนุษย์  ปุยเมฆสีเทาดำเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แผ่ไพศาลจนสุดเส้นขอบฟ้า  บดบังแสงแรกของวันใหม่อย่างไม่สนใจใยดี
    ฝนตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดง่ายๆ  ฉันยังคงนอนเฝ้าฝูงวัว อยู่ที่กระท่อมกลางป่าติดกับไร่ข้าวของพ่อ  วัวหกตัวสมบัติสิ่งเดียวของพ่อที่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากพวกเราไป พวกมันยังคงแทะเล็มหญ้าระบัดอยู่ในไร่อย่างสบายอารมณ์  ใช่ ! แค่วัวหกตัวนี้เท่านั้น ไร่ที่พ่อทึกทักเอาเองว่าเป็นเจ้าของหาใช่เป็นของพ่อเพียงคนเดียวแต่มันพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหลายชั่วอายุคน 


  เมื่อสองปีก่อนตอนที่พ่อยังอยู่ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ปลูกข้าวในไร่ที่ฉันนอนอยู่ตอนนี้    พ่อกลับเลือกพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปในป่าผืนเดียวกันเพื่อที่จะปลูกข้าวเลี้ยงครอบครัวที่มีแม่และน้องๆอีกสี่คนมาในวันนี้ฉันก็ได้สืบทอดทั้งวิธีการและวิธีคิดที่พ่อได้เสี้ยมสอนมาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กในการใช้ชีวิตอยู่กับป่า  มีแต่เพียงคนข้างนอกเท่านั้นแหละที่ไม่เข้าใจและหาว่าพวกเราเป็นตัวการที่ทำให้ป่าเสียสมดุล  ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม    อยู่มาก็ยังไม่เคยฆ่าสัตว์สักตัวในป่านี้  พืชผักเราก็เก็บแต่พอกิน  “ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ”

หมู่บ้านเล็กๆซ่อนตัวอยู่กลางป่าใหญ่  ห่างไกลความเจริญและผู้คน  หมู่บ้านทอดตัวยาวไปตามแนวสันเขาทั้งสองข้างขนาบ  มันถูกโอบล้อมด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างอบอุ่นที่สุดที่นึ่ง  ฉันเดินต้อนฝูงวัวลงมาตามภูเขาในย่ามมีผักที่หาเอาระหว่างทางเดินมาเต็มย่าม ทั้งผักกูด ผักหนาม มันหมู ฯลฯ  เบื้องหน้ามองเห็นหลังคาบ้านตัวเองอยู่ไม่ไกล  ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขจรไกลไปในอากาศ  “แม่กำลังหุงข้าว “  ฉันรู้ทันทีเมื่อเห็นกลุ่มควันนั้นและน้องๆก็คงจะไปวิ่งเล่นที่ไหนสักแห่งในหมู่บ้าน

            “ ได้อะไ ร ”    ลุงแก่เดินสวนทางมาถามขึ้น
            “ ผักทั้งนั้น ”  ฉันตอบ
            “  ระวังหน่อยนะช่วงนี้ ”  ลุงคนนั้นเตือนฉันด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
            “  ทำไมเหรอลุง ” ฉันสวนกลับด้วยคำถามเต็มไปด้วยความสงสัย
            “  เห็นเขาว่าจะให้เราไป ”
  ลุงตอบฉันแล้วเดินสวนทางขึ้นไปบนยอดเขา  ฉันเหลียวมองเห็นหลังไวๆของแกเดินหายเข้าไปในป่า  ป่าที่ตอนนี้แลดูเขียวชอุ่ม หยดน้ำยังคงเกาะตามใบไม้ไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงสู่พื้นดินที่ฉันอยู่และเติบโตมาตั้งแต่เด็ก  ในใจคิดถึงประโยคสุดท้ายของลุงคนนั้น    “ ใครกันนะที่จะให้เราไปก็ในเมื่อที่นี่คือบ้านของเรา ”                


...................................พ่อนอนคลุมโปงกับผ้าห่มสีกะปิที่ได้รับบริจาคมา  ร่างภายใต้ผ้าห่มนั้นสั่นเทาราวกับผีเข้า  แม่และน้องๆนั่งเฝ้าดูอาการของพ่ออย่างไม่คลาดสายตา  ในขณะที่น้องคนรองจากฉันกำลังก่อไฟเพื่อต้มน้ำร้อนเอาไว้เช็ดตัวพ่อ พ่อป่วยมาสี่วันแล้วหลังจากกลับมาจากไร่และแกก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมไปหาหมอโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านราวๆสามสิบกิโลฯซึ่งต้องใช้วิธีเดินเท้าอย่างเดียวในหน้าฝนเช่นนี้  พ่อยังคงเชื่อในสมุนไพรตามที่ได้สืบทอดกันมาแต่โบร่ำโบราณ  แกยังคงรั้นตามแบบฉบับของคนแก่ที่เติบโตมากับป่าและคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับแกก็เกิดและตายในป่าแห่งนี้โดยที่ไม่ได้พึ่งพาความเจริญทางวิทยาศาสตร์ใดๆจากโลกภายนอกเลย

พ่อค่อยๆแหวกผ้าห่มโผล่หน้าออกมา  ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ภายในนั้นหนาวสะท้านเข้ากระดูก  พ่อสั่งฉันทั้งที่ตัวยังสั่นงกๆ

“เอ็งไปตัดบอระเพ็ดหลังบ้านให้ข้าที เอายาวๆนะ”  พ่อสั่งฉันด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์ออกจากปากสั่นระริกขาวซีด

ฉันกลับมาพร้อมเถาบอระเพ็ดยาวประมาณสองศอก แม่และน้องๆช่วยกันประคองพ่อให้ลุกขึ้นนั่ง น้องสาวคนรองยกขันที่มีน้ำอุ่นๆต้มกับรากไม้ประทับบนริมฝีปากพ่อ  ฉันยื่นเถาบอระเพ็ดให้พ่อ พ่อรับมันและพยายามยกมันขึ้นมาพันรอบหัว พันได้รอบพอดีพ่อใช้เล็บจิกบอกตำแหน่งแล้วยื่นคืนให้ฉันเอาไปตัดส่วนที่เหลือทิ้ง
พ่อนั่งเคี้ยวก้านบอระเพ็ดขนาดความยาวที่เท่ากับรอบหัวของเขาพอดีจนหมด แล้วยกขันขึ้นดื่มน้ำอุ่นตามชะล้างความขมที่ฉาบไปทั่วทั้งปาก  พ่อเชื่อว่าอาการปวดหัวจากพิษไข้ป่า จะบรรเทาลงได้หากทำเช่นที่พ่อทำ  ถ้าไม่หายก็สุดแล้วแต่ ผีฟ้าเทวดาจะโปรด! คนที่รอนแรมไปทั่วทุกสารทิศอย่างพ่อ บรรพบุรุษของพ่อคงสืบทอดบอกต่อกันว่า “ อย่าไปยุ่งกับคนข้างนอกมากนัก มันอันตราย เราอยู่แบบนี้ของเราน่ะแหละดีที่สุดแล้ว”


ผ่านไปสองวันแล้วอาการของพ่อยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง  ผู้ใหญ่ญาติมิตรสหายหลายคนในหมู่บ้านก็ช่วยกันพลัดเปลี่ยนแวะมาเยี่ยมเยียนเฝ้าไข้  หลายคนช่วยกันคะยั้นคะยอเพื่อว่าพ่อจะยอมใจอ่อนยอมไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่สำเร็จ
หลังจากนั้นแกก็เสียชีวิตลง    พ่อตายระหว่างทางเดินขึ้นภูเขาหลังจากเกณฑ์ชายหนุ่มในหมู่บ้านช่วยกันตัดไม้ไผ่ผูกติดกับผ้าขาวม้าเพื่อหามพ่อออกมาจากหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่สถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุด แกไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไป    แกตายลงอย่างสงบเงียบ    คงเหมือนกับความเงียบที่อยู่ในป่าตอนนี้ เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมแผ่วๆที่พัดผ่าน และลมนี้เองคงหอบเอาจิตวิญญาณของพ่อล่องลอยไปในอากาศธาตุอันเป็นนิรันดร์


มาถึงวันนี้สองปีแล้วซินะที่คนอย่างพ่อเสียชีวิตลง คนที่ไม่ยอมพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมศิวิไลซ์และทิ้งไว้แค่เพียงเถ้าถ่านสลายลงสู่พื้นดิน  แต่ศรัทธาแห่งผืนป่าก็ยังไม่เหือดแห้งหายไปจากจิตใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้เลย ฉันยังนั่งครุ่นคิดถึงการเดินทางอพยพอันยาวนานของพ่ออยู่ที่กระท่อมริมห้วยน้ำหลังหมู่บ้าน    การอพยพที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความเจ็บปวดโหดร้ายจากมนุษย์ด้วยกันต่างกันตรงที่เผ่าพันธุ์และภาษา  พ่อเลือกที่จะอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต  ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่พ่อกับครอบครัวได้ย่ำรอยเท้าผ่าน กระเตงฉันไว้บนหลังข้ามลำห้วยคดเคี้ยวใหญ่น้อย  ในยามค่ำคืนอาศัยหลับนอนในถ้ำราวกับยุคที่มนุษย์เริ่มไม่มีหาง  ไร้อารยะธรรม  ต้องหลบซ่อน  การอพยพที่กินเวลาแรมเดือนในป่ากว้าง  เพียงเพื่อพ่อต้องการที่จะหลบลี้ให้ไกลผู้คนในแผ่นดินของพ่อที่มักจะรุกรานพวกเขาด้วยการรีดไถผลิตผลทางการเกษตรที่พ่อแลกมันมาด้วยหยาดเหงื่อ  “จอบเสียม มีดพร้า ฤาจะสู้กระสุนปืนได้”


พ่อเลือกที่จะย้ายถิ่นฐานใหม่ไปเรื่อยๆ ในการทำมาหากิน  และที่ที่พ่อจะทำกินได้ก็คือป่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าที่ไหนถูกบุกรุกจากคนมีเงินที่พอจะสั่งให้ถางภูเขาทั้งลูกได้ในชั่วข้ามคืนได้ พ่อจะไปจากที่นั่น  พ่อมิใช่พรานป่ามือฉมังแต่อย่างใดหากแต่พ่อมองสัตว์ที่อยู่ร่วมผืนป่าที่เห็นจนชาชินเป็นเยี่ยงสิ่งมีชีวิตที่มิสมควรได้รับการคุกคาม  สัตว์น้อยใหญ่ในป่าต่างก็มีผีสางเทวดาสิงสถิตอยู่ในชีวิตของมัน  ความเชื่อยังคงฝังรากลึกมายังความรู้สึกนึกคิดฉัน ต้นไม้ยังคงถูกบูชาต่อชะตาอายุค้ำจุน  ให้ร่มเย็นกับคนอย่างเราๆ ในวันที่โลกร้อนเหลือเกินทั้งกายและใจ





ฉันเดินลัดเลาะไปตามถนนในหมู่บ้านที่ตอนนี้เปียกแฉะพื้นดินนุ่มราวกับเดินย่ำไปบนฟองน้ำ ขี้ดินเหนียวหนืดเกาะติดตามร่องนิ้วเท้า พื้นถนนทิ้งร่องรอยล้อเกวียนและรอยเท้าผู้คนที่เดินผ่านไปมา  ฉันหยุดแวะที่บ้านลุงคนนึงที่ตอนนี้แกกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่  ฉันตะโกนถาม

          “ เขียนอะไร”
          “  ตำรา”  ลุงแก่ตอบทันที
          “  เขียนทำไมเดี๋ยวก็ไม่อยู่แล้ว”  ฉันถามแกต่อแบบทีเล่นทีจริง
          “  เขียนเก็บไว้ต่อไปจะไม่มีให้เห็นกันอีก”

ฉันเดินต่อไปอีกในใจไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหน เดินไปเรื่อยๆแล้วก็หยุดที่บ้านหลังนึง เป็นบ้านของ พู่ภี่ คู่หนึ่ง บ้านของแกผุพังเต็มทีแล้วคงเหมือนกับร่างกายและจิตใจของแกตอนนี้  แกคงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะซ่อมแซม ลูกๆของแกก็ตายจากกันไปหมดแล้วคงเหลือเพียงแกสองคน และแกคงไร้เรี่ยวแรงที่จะอพยพอีกต่อไป  ฉันยังคงเดินต่อไปอีกอย่างไร้จุดหมาย  เย็นย่ำมากแล้วฉันเริ่มมองไม่เห็นทางเดิน ความมืดเข้าปกคลุมหมู่บ้านอีกครั้ง เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมอยู่สองข้างทางที่ฉันเดินไป  อีกสักพักคงมืดสนิทในค่ำคืนที่ไร้แสงแห่งดวงจันทร์เหมือนในตอนนี้                  


……………………………เสียงแนวคิดเรื่องการอพยพคนในหมู่บ้าน แนวคิดที่ว่า “คนกับป่าอยู่ด้วยกันไม่ได้” แว่วดังไกลจากบางกอกมาถึงคนในหมู่บ้าน  ข่าวเรื่องการย้ายที่อยู่ใหม่เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ  ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านพูดถึงเรื่องที่อยู่ใหม่ของพวกเรา เป็นที่ที่ทางการได้ตระเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วเพื่อรองรับ “การอพยพครั้งใหญ่อีกครั้ง” ภาพนั้นเป็นที่ราบโล่งเตียน  ไม่มีต้นไม้  ไม่มีลำธาร  ไม่มีชีวิต ฉันครุ่นคิดว่า “  หากมีการอพยพเกิดขึ้นจริงญาติพี่น้องที่อยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งผืนป่าแห่งนี้จะทำเช่นไร  พี่น้องฉันนับพันคนจะต้องออกไปเผชิญโลกที่ไม่คุ้นเคย”

  • พู่ ความหมายคือ ปู่หรือตา  ส่วนภี่ ความหมายคือย่าหรือยาย พื้นที่แห่งนี้กำลังจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่มีความสำคัญระดับโลก  เขาว่ามันกำลังจะเป็นมรดกของโลก  แต่จะเป็นไรไปหากจะมีคนไว้คอยดูแลรักษามรดกนามอุโฆษเช่นนี้  ไม่ !
    “ ไม่มีใครคิดเช่นนั้นในตอนนี้”  ฉันบอกกับตัวเอง


    ดวงตะวันยังคงอับเฉาไร้สิ้นแสงแห่งความหวัง  ท้องฟ้าอึมครึมดูหม่นหมองก็เหมือนกับคนในหมู่บ้านเวลานี้  คนที่มีชีวิตแนบแน่นราวกับเป็นผืนแผ่นเดียวกันกับป่ากำลังจะถูก “แนวคิดของคนในเมือง”  คุกคามความสัมพันธ์ที่เปรียบประหนึ่งมารดากับบุตรระหว่างพวกเรากับป่า เสียงนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แรงเสียจนผู้คนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้เริ่มสั่นคลอนในความรู้สึกและวิถีแห่งการดำรงอยู่  แต่วันนี้ทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันว่า  กูไม่ยอม !
                                   


    ....................................วันนี้เป็นวันหล่าหล่องละต้อง* พวกเราเชื่อกันว่าห้ามเดินทางออกนอกหมู่บ้านในวันนี้เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ดีได้  ลือกันว่าพรุ่งนี้ชาวบ้านจะรวมตัวกันเข้าไปในเมืองเพื่อ “ประท้วง”  แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆผู้คนมากันจากหลายหมู่บ้านที่อยู่รอบๆป่า มีทั้ง โบ่วคู**  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  คนชรา เด็กทั้งผู้หญิงและชายทุกคนสวมใส่ไช่ยกูกี***นุ่งผ้าสะโหร่งสะพายย่าม ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่หมู่บ้านฉันเพื่อรอรถที่ทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ให้  มุ่งหน้าไปยังศาลหลักเมืองที่อยู่ไกลออกไปจากเราร่วมๆสามร้อยกิโลเมตร  และที่นั่นมีเวทีสำหรับพวกเรารออยู่  เวทีที่จะทำให้คนข้างนอกรู้ว่าพวกเราอยู่กันอย่างไร .   “  พวกเรายืนยันหนักแน่นว่า ยังไงพวกเราก็จะไม่อพยพ  เราไม่ไปเด็ดขาด เราอยู่กันมาหลายชั่วอายุคนที่สำคัญเราไม่เคยทำร้ายป่าเขา ต้นน้ำลำธาร  ถ้าจู่ๆจะมีใครมาอพยพเราโดยทึกทักเอาเองว่าเราเป็นตัวทำลายป่าโดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากวิถีชีวิตของพวกเรา  พวกเรายืนยันคำเดิมว่า ไม่ไป !”

ฉันกลับมายังหมู่บ้านในเย็นวันนั้น  ถึงจะหนักแน่นในความคิดเช่นไรแต่ในใจยังคงไหวหวั่นอยู่ลึกๆกับการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน  สิ่งที่เป็นเพียงแค่แนวคิดจากคนเพียงไม่กี่คนที่พวกเราเราไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าตา

    วันแรมหนึ่งค่ำ  /  ** ผู้นำทางความเชื่อและจิตวิญญาณ  /  *** เสื้อแบบกะเหรี่ยงมีสีแดง สีขาว สีดำ ฯลฯ
บรรยากาศของเมื่อวานซืนยังคงคุกรุ่นอยู่ในลมหายใจและแววตาของคนในหมู่บ้าน  เสียงที่ดังเซ็งแซ่อยู่บนศาลานั้นเงียบกริบเมื่อกำนันประจำตำบลกล่าวต้อนรับหัวหน้าป่าไม้  ฉันนั่งอยู่กลางศาลารายล้อมไปด้วยผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน  บางคนหอบลูกกระเตงหลานมาร่วมฟังด้วย  บางคนนั่งจุดยาสูบไชโย
  ก่อนอัดเข้าปอดมีเสียงดังเป๊าะแป๊ะอยู่ที่ปลายมวน บางคนบ้วนน้ำหมากลงใต้ถุนแล้วถกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากที่เต็มไปด้วยคราบไคลน้ำหมาก  ผู้คนมากันเต็มศาลา แล้วเสียงพูดก็ดังขึ้น


        “  จะไม่มีการอพยพใดๆเกิดขึ้น      หากเรายังไม่ได้ทำการศึกษาว่าพวกท่านสร้างผลกระทบให้กับระบบนิเวศภายในป่าจริงหรือไม่  ผมจะส่งทีมสำรวจมาเก็บข้อมูลอย่างแน่นอน ”

กำนันแปลคำพูดก่อนกล่าวขอบคุณและยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ในการให้ข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิถีชีวิตของพวกเรา

เสียงพูดคุยกันของชาวบ้านดังอึงอลไปทั่วศาลาจนฟังไม่ได้ศัพท์  บางคนเขย่ามือกัน  บางคนอุ้มเด็กที่ร้องงอแงชูขึ้นไปในอากาศ บางคนยิ้มเผยให้เห็นฟันสีลูกหว้า แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปจนหมดศาลา  ฉันเดินลัดไปข้างศาลาเพื่อไปยังกระท่อมริมห้วยน้ำ  เวลาใกล้เพลแล้วแสงตะวันส่องลอดก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวออกไปเผยให้เห็นรูปทรงของมันทีละนิดๆ  ฟ้าหลังฝนนั้นสวยงามอย่างที่เขาว่าจริงๆ


สองอาทิตย์ต่อมา  ฉันรับอาสาพ าเจ้าหน้าที่ชุดสำรวจข้อมูลไปเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน  พาพวกเขาไปพูดคุยกับผู้นำทางความคิดและความเชื่อของคนในหมู่บ้าน  หรืออะไรก็ตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ และฉันยังรับหน้าที่เป็นล่ามให้กับพวกเขาอีกด้วย  วิถีชีวิตที่ฉันเห็นอยู่ทุกวันของชาวบ้านที่นี่ถูกจดบันทึกเป็นข้อมูลเพื่อการศึกษา เอกสารถูกรวบรวมขึ้นเพื่อเสนอเป็นรายงานส่งต่อไปยังผู้มีอำนาจในเมือง


  • บุหรี่แบบกะเหรี่ยงใช้กาบหมากมวนกับใบยาสูบผสมก้านมะขามสับละเอียดคั่วกับน้ำตาลทรายรสชาดจะออกหวานๆ

  ไม่มีการอพยพใดๆเกิดขึ้นกับพวกเราอีกต่อไป แนวคิดนั้นกลายเป็นกรณีศึกษาการจัดการพื้นที่ป่าทั่วประเทศ  พวกเราตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีแล้ว  เผ่าพันธุ์ที่ดำรงไว้ยังคงสืบทอดเรื่องราวและตำนานการเดินทางจากดินแดนอันไกลโพ้น  และไม่ว่าโลกข้างนอกจะสับสนวุ่นวายเพียงไรเรายังคงดำรงอยู่อย่างสันโดษและสงบสุขกับป่าที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของพวกเรา 


    ค่ำคืนนี้ฉันได้ยินเสียงนาเดะ* จากชายชราที่นั่งอยู่หน้ากองไฟริมลำห้วยท้ายหมู่บ้านพระจันทร์ดวงกลมส่องแสงอาบไล้ไปบนผิวน้ำดูแวววาวระยิบระยับ ลมหนาวพัดโชยมาปะทะผิวหนังของเราแต่ไออุ่นจากเปลวไฟก็ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวได้บ้าง บทเพลงในราตรีนี้ฉันรู้ในความหมายของมันดี  ท่วงทำนองกับความหมายในเนื้อเพลงทำให้ชายชราผู้นั้นน้ำตาไหลริน

“ จะมีสักกี่ครั้งที่เราต้องอพยพ  บรรพบุรุษที่เดินทางอพยพบนเส้นทางที่แสนเจ็บปวด  รอนแรมในป่ากว้าง เคารพและศรัทธาในดินแดนแห่งป่าเขาถ่ายทอดสู่ลูกหลาน  ที่นานวันเข้าอาจจะลืมลืนรากเหง้าแห่งดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ” 


  เสียงนั้นบาดลึกเข้าไปในจิตใจของฉันที่ตอนนี้ได้แต่นึกถึงเรื่องราวของพ่อ จังหวะดนตรียังคงบรรเลงด้วยปลายนิ้วของชายชรา  ฉันเบือนหน้าหนีหลบสายตาแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม แต่ใครจะรู้เล่าว่าน้ำตาของทั้งชายชราและฉันนั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มที่ในวันนี้เราได้อยู่ในดินแดนแห่งบารมีอันสูงส่ง  และจะอยู่ที่นี่ไปอีกจนชั่วกาลนาน


                            -------------------------------------


* เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายประจำเผ่ารูปร่างคล้ายพิณแบบจีน

Comment #1
คนโดนหักหลัง
Posted @December,03 2009 10.17 ip : 203...105

สับสน คละเคล้าเศร้า

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ