เรื่องสั้น
เรื่องสั้น
1“ คาราวะผู้รอนแรมรักษาป่าทั้งหลาย ที่ให้กำเนิดเรื่องราวและตำนานอันเป็นที่โจษจันในใจฉัน ”
แด่ผู้อพยพเพื่อการมีชีวิตอยู่ (สังขละบุรี2551)
นานมาแล้วที่ฉันต้อง “อพยพ” จะเรียกมันว่าอะไรดีกับการที่ต้องหอบผ้าผ่อน หนังสือหนังหา ปากกา ดินสอ เดินทางไปเพื่อร่วมเรียนรู้กับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เพื่อตัวตน หากแต่เพื่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์เบี้ยหอยรายทางที่เก็บเกี่ยวได้จากการใช้ชีวิตอยู่ตามสังคมชายแดน บ้านป่า ห่างไกลจนสุดขอบดินแดนแห่งอารยะชน นั้นเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในสายตาของคนเขียนหนังสือ(อย่างฉัน) และอาจเป็นของใครอีกหลายๆคนที่หลงใหลใคร่รักที่จะทำงานศิลปะอยู่ร่ำไป
ขอขอบพระคุณ
สุนทร แสนสุข
เจ้าพระยา นนท์ 2550
“ ฤาจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องอพยพ ”
………………… ละอองฝนร่วงโรยลงมาราวกับคนบนฟ้าได้โปรดปรายหยาดหยดแห่งการหล่อเลี้ยงและเติบโตมาสู่มนุษย์ ปุยเมฆสีเทาดำเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ แผ่ไพศาลจนสุดเส้นขอบฟ้า บดบังแสงแรกของวันใหม่อย่างไม่สนใจใยดี
ฝนตกลงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วและไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดง่ายๆ ฉันยังคงนอนเฝ้าฝูงวัว อยู่ที่กระท่อมกลางป่าติดกับไร่ข้าวของพ่อ วัวหกตัวสมบัติสิ่งเดียวของพ่อที่ทิ้งไว้ให้ก่อนจากพวกเราไป พวกมันยังคงแทะเล็มหญ้าระบัดอยู่ในไร่อย่างสบายอารมณ์ ใช่ ! แค่วัวหกตัวนี้เท่านั้น ไร่ที่พ่อทึกทักเอาเองว่าเป็นเจ้าของหาใช่เป็นของพ่อเพียงคนเดียวแต่มันพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาหลายชั่วอายุคน
เมื่อสองปีก่อนตอนที่พ่อยังอยู่ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ปลูกข้าวในไร่ที่ฉันนอนอยู่ตอนนี้ พ่อกลับเลือกพื้นที่ที่อยู่ไกลออกไปในป่าผืนเดียวกันเพื่อที่จะปลูกข้าวเลี้ยงครอบครัวที่มีแม่และน้องๆอีกสี่คนมาในวันนี้ฉันก็ได้สืบทอดทั้งวิธีการและวิธีคิดที่พ่อได้เสี้ยมสอนมาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กในการใช้ชีวิตอยู่กับป่า มีแต่เพียงคนข้างนอกเท่านั้นแหละที่ไม่เข้าใจและหาว่าพวกเราเป็นตัวการที่ทำให้ป่าเสียสมดุล ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม อยู่มาก็ยังไม่เคยฆ่าสัตว์สักตัวในป่านี้ พืชผักเราก็เก็บแต่พอกิน “ ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ”
หมู่บ้านเล็กๆซ่อนตัวอยู่กลางป่าใหญ่ ห่างไกลความเจริญและผู้คน หมู่บ้านทอดตัวยาวไปตามแนวสันเขาทั้งสองข้างขนาบ มันถูกโอบล้อมด้วยความสมบูรณ์ของธรรมชาติอย่างอบอุ่นที่สุดที่นึ่ง ฉันเดินต้อนฝูงวัวลงมาตามภูเขาในย่ามมีผักที่หาเอาระหว่างทางเดินมาเต็มย่าม ทั้งผักกูด ผักหนาม มันหมู ฯลฯ เบื้องหน้ามองเห็นหลังคาบ้านตัวเองอยู่ไม่ไกล ควันไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าขจรไกลไปในอากาศ “แม่กำลังหุงข้าว “ ฉันรู้ทันทีเมื่อเห็นกลุ่มควันนั้นและน้องๆก็คงจะไปวิ่งเล่นที่ไหนสักแห่งในหมู่บ้าน
“ ได้อะไ ร ” ลุงแก่เดินสวนทางมาถามขึ้น
“ ผักทั้งนั้น ” ฉันตอบ
“ ระวังหน่อยนะช่วงนี้ ” ลุงคนนั้นเตือนฉันด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
“ ทำไมเหรอลุง ” ฉันสวนกลับด้วยคำถามเต็มไปด้วยความสงสัย
“ เห็นเขาว่าจะให้เราไป ”
ลุงตอบฉันแล้วเดินสวนทางขึ้นไปบนยอดเขา ฉันเหลียวมองเห็นหลังไวๆของแกเดินหายเข้าไปในป่า ป่าที่ตอนนี้แลดูเขียวชอุ่ม หยดน้ำยังคงเกาะตามใบไม้ไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงสู่พื้นดินที่ฉันอยู่และเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ในใจคิดถึงประโยคสุดท้ายของลุงคนนั้น “ ใครกันนะที่จะให้เราไปก็ในเมื่อที่นี่คือบ้านของเรา ”
...................................พ่อนอนคลุมโปงกับผ้าห่มสีกะปิที่ได้รับบริจาคมา ร่างภายใต้ผ้าห่มนั้นสั่นเทาราวกับผีเข้า แม่และน้องๆนั่งเฝ้าดูอาการของพ่ออย่างไม่คลาดสายตา ในขณะที่น้องคนรองจากฉันกำลังก่อไฟเพื่อต้มน้ำร้อนเอาไว้เช็ดตัวพ่อ พ่อป่วยมาสี่วันแล้วหลังจากกลับมาจากไร่และแกก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมไปหาหมอโรงพยาบาลที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านราวๆสามสิบกิโลฯซึ่งต้องใช้วิธีเดินเท้าอย่างเดียวในหน้าฝนเช่นนี้ พ่อยังคงเชื่อในสมุนไพรตามที่ได้สืบทอดกันมาแต่โบร่ำโบราณ แกยังคงรั้นตามแบบฉบับของคนแก่ที่เติบโตมากับป่าและคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับแกก็เกิดและตายในป่าแห่งนี้โดยที่ไม่ได้พึ่งพาความเจริญทางวิทยาศาสตร์ใดๆจากโลกภายนอกเลย
พ่อค่อยๆแหวกผ้าห่มโผล่หน้าออกมา ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ภายในนั้นหนาวสะท้านเข้ากระดูก พ่อสั่งฉันทั้งที่ตัวยังสั่นงกๆ
“เอ็งไปตัดบอระเพ็ดหลังบ้านให้ข้าที เอายาวๆนะ” พ่อสั่งฉันด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์ออกจากปากสั่นระริกขาวซีด
ฉันกลับมาพร้อมเถาบอระเพ็ดยาวประมาณสองศอก แม่และน้องๆช่วยกันประคองพ่อให้ลุกขึ้นนั่ง น้องสาวคนรองยกขันที่มีน้ำอุ่นๆต้มกับรากไม้ประทับบนริมฝีปากพ่อ ฉันยื่นเถาบอระเพ็ดให้พ่อ พ่อรับมันและพยายามยกมันขึ้นมาพันรอบหัว พันได้รอบพอดีพ่อใช้เล็บจิกบอกตำแหน่งแล้วยื่นคืนให้ฉันเอาไปตัดส่วนที่เหลือทิ้ง
พ่อนั่งเคี้ยวก้านบอระเพ็ดขนาดความยาวที่เท่ากับรอบหัวของเขาพอดีจนหมด แล้วยกขันขึ้นดื่มน้ำอุ่นตามชะล้างความขมที่ฉาบไปทั่วทั้งปาก พ่อเชื่อว่าอาการปวดหัวจากพิษไข้ป่า จะบรรเทาลงได้หากทำเช่นที่พ่อทำ ถ้าไม่หายก็สุดแล้วแต่ ผีฟ้าเทวดาจะโปรด! คนที่รอนแรมไปทั่วทุกสารทิศอย่างพ่อ บรรพบุรุษของพ่อคงสืบทอดบอกต่อกันว่า “ อย่าไปยุ่งกับคนข้างนอกมากนัก มันอันตราย เราอยู่แบบนี้ของเราน่ะแหละดีที่สุดแล้ว”
ผ่านไปสองวันแล้วอาการของพ่อยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาลง ผู้ใหญ่ญาติมิตรสหายหลายคนในหมู่บ้านก็ช่วยกันพลัดเปลี่ยนแวะมาเยี่ยมเยียนเฝ้าไข้ หลายคนช่วยกันคะยั้นคะยอเพื่อว่าพ่อจะยอมใจอ่อนยอมไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่สำเร็จ
หลังจากนั้นแกก็เสียชีวิตลง พ่อตายระหว่างทางเดินขึ้นภูเขาหลังจากเกณฑ์ชายหนุ่มในหมู่บ้านช่วยกันตัดไม้ไผ่ผูกติดกับผ้าขาวม้าเพื่อหามพ่อออกมาจากหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่สถานีอนามัยที่ใกล้ที่สุด แกไม่มีเรี่ยวแรงที่จะขัดขืนอีกต่อไป แกตายลงอย่างสงบเงียบ คงเหมือนกับความเงียบที่อยู่ในป่าตอนนี้ เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมแผ่วๆที่พัดผ่าน และลมนี้เองคงหอบเอาจิตวิญญาณของพ่อล่องลอยไปในอากาศธาตุอันเป็นนิรันดร์
มาถึงวันนี้สองปีแล้วซินะที่คนอย่างพ่อเสียชีวิตลง คนที่ไม่ยอมพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมศิวิไลซ์และทิ้งไว้แค่เพียงเถ้าถ่านสลายลงสู่พื้นดิน แต่ศรัทธาแห่งผืนป่าก็ยังไม่เหือดแห้งหายไปจากจิตใจของคนในหมู่บ้านแห่งนี้เลย ฉันยังนั่งครุ่นคิดถึงการเดินทางอพยพอันยาวนานของพ่ออยู่ที่กระท่อมริมห้วยน้ำหลังหมู่บ้าน การอพยพที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของความเจ็บปวดโหดร้ายจากมนุษย์ด้วยกันต่างกันตรงที่เผ่าพันธุ์และภาษา พ่อเลือกที่จะอพยพครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่พ่อกับครอบครัวได้ย่ำรอยเท้าผ่าน กระเตงฉันไว้บนหลังข้ามลำห้วยคดเคี้ยวใหญ่น้อย ในยามค่ำคืนอาศัยหลับนอนในถ้ำราวกับยุคที่มนุษย์เริ่มไม่มีหาง ไร้อารยะธรรม ต้องหลบซ่อน การอพยพที่กินเวลาแรมเดือนในป่ากว้าง เพียงเพื่อพ่อต้องการที่จะหลบลี้ให้ไกลผู้คนในแผ่นดินของพ่อที่มักจะรุกรานพวกเขาด้วยการรีดไถผลิตผลทางการเกษตรที่พ่อแลกมันมาด้วยหยาดเหงื่อ “จอบเสียม มีดพร้า ฤาจะสู้กระสุนปืนได้”
พ่อเลือกที่จะย้ายถิ่นฐานใหม่ไปเรื่อยๆ ในการทำมาหากิน และที่ที่พ่อจะทำกินได้ก็คือป่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าที่ไหนถูกบุกรุกจากคนมีเงินที่พอจะสั่งให้ถางภูเขาทั้งลูกได้ในชั่วข้ามคืนได้ พ่อจะไปจากที่นั่น พ่อมิใช่พรานป่ามือฉมังแต่อย่างใดหากแต่พ่อมองสัตว์ที่อยู่ร่วมผืนป่าที่เห็นจนชาชินเป็นเยี่ยงสิ่งมีชีวิตที่มิสมควรได้รับการคุกคาม สัตว์น้อยใหญ่ในป่าต่างก็มีผีสางเทวดาสิงสถิตอยู่ในชีวิตของมัน ความเชื่อยังคงฝังรากลึกมายังความรู้สึกนึกคิดฉัน ต้นไม้ยังคงถูกบูชาต่อชะตาอายุค้ำจุน ให้ร่มเย็นกับคนอย่างเราๆ ในวันที่โลกร้อนเหลือเกินทั้งกายและใจ
ฉันเดินลัดเลาะไปตามถนนในหมู่บ้านที่ตอนนี้เปียกแฉะพื้นดินนุ่มราวกับเดินย่ำไปบนฟองน้ำ ขี้ดินเหนียวหนืดเกาะติดตามร่องนิ้วเท้า พื้นถนนทิ้งร่องรอยล้อเกวียนและรอยเท้าผู้คนที่เดินผ่านไปมา ฉันหยุดแวะที่บ้านลุงคนนึงที่ตอนนี้แกกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ ฉันตะโกนถาม
“ เขียนอะไร”
“ ตำรา” ลุงแก่ตอบทันที
“ เขียนทำไมเดี๋ยวก็ไม่อยู่แล้ว” ฉันถามแกต่อแบบทีเล่นทีจริง
“ เขียนเก็บไว้ต่อไปจะไม่มีให้เห็นกันอีก”
ฉันเดินต่อไปอีกในใจไม่ได้คิดว่าจะไปที่ไหน เดินไปเรื่อยๆแล้วก็หยุดที่บ้านหลังนึง เป็นบ้านของ พู่ภี่ คู่หนึ่ง บ้านของแกผุพังเต็มทีแล้วคงเหมือนกับร่างกายและจิตใจของแกตอนนี้ แกคงไม่มีเรี่ยวแรงที่จะซ่อมแซม ลูกๆของแกก็ตายจากกันไปหมดแล้วคงเหลือเพียงแกสองคน และแกคงไร้เรี่ยวแรงที่จะอพยพอีกต่อไป ฉันยังคงเดินต่อไปอีกอย่างไร้จุดหมาย เย็นย่ำมากแล้วฉันเริ่มมองไม่เห็นทางเดิน ความมืดเข้าปกคลุมหมู่บ้านอีกครั้ง เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องระงมอยู่สองข้างทางที่ฉันเดินไป อีกสักพักคงมืดสนิทในค่ำคืนที่ไร้แสงแห่งดวงจันทร์เหมือนในตอนนี้
……………………………เสียงแนวคิดเรื่องการอพยพคนในหมู่บ้าน แนวคิดที่ว่า “คนกับป่าอยู่ด้วยกันไม่ได้” แว่วดังไกลจากบางกอกมาถึงคนในหมู่บ้าน ข่าวเรื่องการย้ายที่อยู่ใหม่เริ่มหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ฉันได้ยินคนในหมู่บ้านพูดถึงเรื่องที่อยู่ใหม่ของพวกเรา เป็นที่ที่ทางการได้ตระเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วเพื่อรองรับ “การอพยพครั้งใหญ่อีกครั้ง” ภาพนั้นเป็นที่ราบโล่งเตียน ไม่มีต้นไม้ ไม่มีลำธาร ไม่มีชีวิต ฉันครุ่นคิดว่า “ หากมีการอพยพเกิดขึ้นจริงญาติพี่น้องที่อยู่กระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งผืนป่าแห่งนี้จะทำเช่นไร พี่น้องฉันนับพันคนจะต้องออกไปเผชิญโลกที่ไม่คุ้นเคย”
- พู่ ความหมายคือ ปู่หรือตา ส่วนภี่ ความหมายคือย่าหรือยาย
พื้นที่แห่งนี้กำลังจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่มีความสำคัญระดับโลก เขาว่ามันกำลังจะเป็นมรดกของโลก แต่จะเป็นไรไปหากจะมีคนไว้คอยดูแลรักษามรดกนามอุโฆษเช่นนี้ ไม่ !
“ ไม่มีใครคิดเช่นนั้นในตอนนี้” ฉันบอกกับตัวเอง
ดวงตะวันยังคงอับเฉาไร้สิ้นแสงแห่งความหวัง ท้องฟ้าอึมครึมดูหม่นหมองก็เหมือนกับคนในหมู่บ้านเวลานี้ คนที่มีชีวิตแนบแน่นราวกับเป็นผืนแผ่นเดียวกันกับป่ากำลังจะถูก “แนวคิดของคนในเมือง” คุกคามความสัมพันธ์ที่เปรียบประหนึ่งมารดากับบุตรระหว่างพวกเรากับป่า เสียงนั้นเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แรงเสียจนผู้คนที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้เริ่มสั่นคลอนในความรู้สึกและวิถีแห่งการดำรงอยู่ แต่วันนี้ทุกคนมีความรู้สึกร่วมกันว่า กูไม่ยอม !
....................................วันนี้เป็นวันหล่าหล่องละต้อง* พวกเราเชื่อกันว่าห้ามเดินทางออกนอกหมู่บ้านในวันนี้เพราะอาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์ที่ไม่ดีได้ ลือกันว่าพรุ่งนี้ชาวบ้านจะรวมตัวกันเข้าไปในเมืองเพื่อ “ประท้วง” แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆผู้คนมากันจากหลายหมู่บ้านที่อยู่รอบๆป่า มีทั้ง โบ่วคู** กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน คนชรา เด็กทั้งผู้หญิงและชายทุกคนสวมใส่ไช่ยกูกี***นุ่งผ้าสะโหร่งสะพายย่าม ตอนนี้ทุกคนมารวมตัวกันที่หมู่บ้านฉันเพื่อรอรถที่ทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ มุ่งหน้าไปยังศาลหลักเมืองที่อยู่ไกลออกไปจากเราร่วมๆสามร้อยกิโลเมตร และที่นั่นมีเวทีสำหรับพวกเรารออยู่ เวทีที่จะทำให้คนข้างนอกรู้ว่าพวกเราอยู่กันอย่างไร . “ พวกเรายืนยันหนักแน่นว่า ยังไงพวกเราก็จะไม่อพยพ เราไม่ไปเด็ดขาด เราอยู่กันมาหลายชั่วอายุคนที่สำคัญเราไม่เคยทำร้ายป่าเขา ต้นน้ำลำธาร ถ้าจู่ๆจะมีใครมาอพยพเราโดยทึกทักเอาเองว่าเราเป็นตัวทำลายป่าโดยที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากวิถีชีวิตของพวกเรา พวกเรายืนยันคำเดิมว่า ไม่ไป !”
ฉันกลับมายังหมู่บ้านในเย็นวันนั้น ถึงจะหนักแน่นในความคิดเช่นไรแต่ในใจยังคงไหวหวั่นอยู่ลึกๆกับการต่อสู้กับสิ่งที่ไม่มีตัวตน สิ่งที่เป็นเพียงแค่แนวคิดจากคนเพียงไม่กี่คนที่พวกเราเราไม่เคยเห็นแม้กระทั่งหน้าตา
วันแรมหนึ่งค่ำ / ** ผู้นำทางความเชื่อและจิตวิญญาณ / *** เสื้อแบบกะเหรี่ยงมีสีแดง สีขาว สีดำ ฯลฯ
บรรยากาศของเมื่อวานซืนยังคงคุกรุ่นอยู่ในลมหายใจและแววตาของคนในหมู่บ้าน เสียงที่ดังเซ็งแซ่อยู่บนศาลานั้นเงียบกริบเมื่อกำนันประจำตำบลกล่าวต้อนรับหัวหน้าป่าไม้ ฉันนั่งอยู่กลางศาลารายล้อมไปด้วยผู้เฒ่าผู้แก่ที่เคารพนับถือของคนในหมู่บ้าน บางคนหอบลูกกระเตงหลานมาร่วมฟังด้วย บางคนนั่งจุดยาสูบไชโย ก่อนอัดเข้าปอดมีเสียงดังเป๊าะแป๊ะอยู่ที่ปลายมวน บางคนบ้วนน้ำหมากลงใต้ถุนแล้วถกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปากที่เต็มไปด้วยคราบไคลน้ำหมาก ผู้คนมากันเต็มศาลา แล้วเสียงพูดก็ดังขึ้น
“ จะไม่มีการอพยพใดๆเกิดขึ้น หากเรายังไม่ได้ทำการศึกษาว่าพวกท่านสร้างผลกระทบให้กับระบบนิเวศภายในป่าจริงหรือไม่ ผมจะส่งทีมสำรวจมาเก็บข้อมูลอย่างแน่นอน ”
กำนันแปลคำพูดก่อนกล่าวขอบคุณและยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ในการให้ข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิถีชีวิตของพวกเรา
เสียงพูดคุยกันของชาวบ้านดังอึงอลไปทั่วศาลาจนฟังไม่ได้ศัพท์ บางคนเขย่ามือกัน บางคนอุ้มเด็กที่ร้องงอแงชูขึ้นไปในอากาศ บางคนยิ้มเผยให้เห็นฟันสีลูกหว้า แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปจนหมดศาลา ฉันเดินลัดไปข้างศาลาเพื่อไปยังกระท่อมริมห้วยน้ำ เวลาใกล้เพลแล้วแสงตะวันส่องลอดก้อนเมฆที่เคลื่อนตัวออกไปเผยให้เห็นรูปทรงของมันทีละนิดๆ ฟ้าหลังฝนนั้นสวยงามอย่างที่เขาว่าจริงๆ
สองอาทิตย์ต่อมา ฉันรับอาสาพ าเจ้าหน้าที่ชุดสำรวจข้อมูลไปเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน พาพวกเขาไปพูดคุยกับผู้นำทางความคิดและความเชื่อของคนในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ตามที่เจ้าหน้าที่ร้องขอ และฉันยังรับหน้าที่เป็นล่ามให้กับพวกเขาอีกด้วย วิถีชีวิตที่ฉันเห็นอยู่ทุกวันของชาวบ้านที่นี่ถูกจดบันทึกเป็นข้อมูลเพื่อการศึกษา เอกสารถูกรวบรวมขึ้นเพื่อเสนอเป็นรายงานส่งต่อไปยังผู้มีอำนาจในเมือง
- บุหรี่แบบกะเหรี่ยงใช้กาบหมากมวนกับใบยาสูบผสมก้านมะขามสับละเอียดคั่วกับน้ำตาลทรายรสชาดจะออกหวานๆ
ไม่มีการอพยพใดๆเกิดขึ้นกับพวกเราอีกต่อไป แนวคิดนั้นกลายเป็นกรณีศึกษาการจัดการพื้นที่ป่าทั่วประเทศ พวกเราตั้งรกรากอยู่ที่นี่มาสองร้อยกว่าปีแล้ว เผ่าพันธุ์ที่ดำรงไว้ยังคงสืบทอดเรื่องราวและตำนานการเดินทางจากดินแดนอันไกลโพ้น และไม่ว่าโลกข้างนอกจะสับสนวุ่นวายเพียงไรเรายังคงดำรงอยู่อย่างสันโดษและสงบสุขกับป่าที่เปรียบเสมือนจิตวิญญาณของพวกเรา
ค่ำคืนนี้ฉันได้ยินเสียงนาเดะ* จากชายชราที่นั่งอยู่หน้ากองไฟริมลำห้วยท้ายหมู่บ้านพระจันทร์ดวงกลมส่องแสงอาบไล้ไปบนผิวน้ำดูแวววาวระยิบระยับ ลมหนาวพัดโชยมาปะทะผิวหนังของเราแต่ไออุ่นจากเปลวไฟก็ช่วยบรรเทาความเหน็บหนาวได้บ้าง บทเพลงในราตรีนี้ฉันรู้ในความหมายของมันดี ท่วงทำนองกับความหมายในเนื้อเพลงทำให้ชายชราผู้นั้นน้ำตาไหลริน
“ จะมีสักกี่ครั้งที่เราต้องอพยพ บรรพบุรุษที่เดินทางอพยพบนเส้นทางที่แสนเจ็บปวด รอนแรมในป่ากว้าง เคารพและศรัทธาในดินแดนแห่งป่าเขาถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ที่นานวันเข้าอาจจะลืมลืนรากเหง้าแห่งดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ”
เสียงนั้นบาดลึกเข้าไปในจิตใจของฉันที่ตอนนี้ได้แต่นึกถึงเรื่องราวของพ่อ จังหวะดนตรียังคงบรรเลงด้วยปลายนิ้วของชายชรา ฉันเบือนหน้าหนีหลบสายตาแล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม แต่ใครจะรู้เล่าว่าน้ำตาของทั้งชายชราและฉันนั้นเต็มไปด้วยความปลาบปลื้มที่ในวันนี้เราได้อยู่ในดินแดนแห่งบารมีอันสูงส่ง และจะอยู่ที่นี่ไปอีกจนชั่วกาลนาน
-------------------------------------
* เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายประจำเผ่ารูปร่างคล้ายพิณแบบจีน