เรื่องสั้น
สมาชิกในครอบครัว
เด็กหญิงอายุราวๆ 5 ขวบ ผมสั้น ผิวดำแดง ตาหรี่ปรือ มีแววขวยเขินที่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นใคร่ครวญ และริมฝีปากจิ้มลิ้ม (รับกับพวงแก้มระเรื่อ) พร้อมจะหล่นคำพูดกระแทกใจคนฟังได้ง่ายๆ
ผมเจอเธอในวันที่แดดรวยระริน ซ่อนอายร้อนอันอุ่นอ้าวไว้บนฟ้ากว้างเธอนั่งอยู่ท่ามกลางเด็กผู้หญิงอีกนับสิบ ดูไม่กลมกลืนแต่ก็ไม่แปลกแยกไปจากคนอื่น ที่บอกว่าไม่กลมกลืนก็เพราะว่าเธอแยกตัวออกมานั่งอยู่กับเด็กหญิงร่างผอมสูง ท่าทางแปลกๆ ทั้งคู่สนุกอยู่กับการเติมแต่งจินตนาการของตัวลงบนแผ่นกระดาษ ขณะที่คนอื่นๆ ทยอยกันลุกไปทานมื้อเที่ยงในโรงอาหารของโรงเรียน
เด็กหญิงหยิบสีเทียนขึ้นแล้วบรรจงวาดรูปพ่อ แม่ พี่สาวกับตัวแก ผมชะโงกดูก็เห็นว่าตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษมีบ้านหลังน้อยโดยที่มีสมาชิกของครอบครัวยืนอยู่ตรงมุมทั้ง 4 ของกระดาษ
ส้มแป้นวาดรูปหัวใจดวงสวยลงตรงมุมทั้ง 4 ดวงเข้าหากัน ราวจะสื่อถึงความรักของคนในครอบครัวที่เชื่อมโยงถึงกัน หัวใจมีสีแดงสดสวยงามมาก
แววตาจริงจังของเด็กหญิงทำให้ผมนึกอยากจะบันทึกภาพของเธอไว้ ผมคว้าดินสอมาจรดสายเส้นลากไล้ใบหน้าของเด็กหญิงลงบนแผ่นกระดาษอันเปล่าเปลือย
พอเดาได้ว่าผมกำลังวาดรูปของเธอ ส้มแป้นก็ยิ้มอายๆ เธอกระถดตัวเข้ามาหาผม เมียงๆ ขอดูภาพของเธอ
น้าวาดรูปหนูเหรอ เธอถามเบาๆ ไม่กล้าบอกว่าเหมือนหรือไม่เหมือน
เด็กนักเรียนคนอื่นๆ ทยอยเดินกลับมา บ้างวิ่งเล่น บ้างนั่งล้อมวงนั่งคุย-ตอนนั้นผมเบื่อๆ ก็เลยเดินออกมานั่งยืดเส้นยืดสาย แล้วก็อ่านหนังสือพิมพ์ที่พกติดตัวมา ใต้ร่มมะขามต้นเตี้ยลมพัดเย็นชื่น ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นส้มแป้มเดินหน้ามุ่ยเข้ามาหา
แกนั่งลงบนเก้าอี้โดยที่ไม่รอให้ผมเอ่ยชวนมือทั้งสองยืดขอบเก้าอี้ ยื่นปลายเท้าเขี่ยไปยังพื้นทราย
ไม่ไปเล่นกับเพื่อนๆ เหรอ ผมถามเธอ เด็กหญิงส่ายหน้า ดวงตาเหม่อลอย เหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
หิวมั้ย ผมถามอีก
ส้มแป้นส่ายหน้า
เด็กหญิงโยกตัวไปมานั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แกจึงพูดขึ้น ไม่อยากวาดรูปแล้วล่ะ
ส้มแป้นมองหน้าผม แม่ให้หนูอยู่เป็นเพื่อนพี่นุ่น จู่ๆ แกก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
พี่นุ่นคนที่ผอมๆ ใส่เสื้อสายๆ นั่นแหละ แกเป็นพี่สาวของหนู เป็นคนแปลกๆ เธอพูดทิ้งท้ายไว้เหมือนจะให้ผมถามต่อ แววตาแปลกๆ ของเธอกับท่าทางที่เป็นผู้ใหญ่เกินตัว ทำให้ผมนึกสนใจ ขณะเดียวกันก็ร้อง- อ๋ออยู่ในใจ ที่แท้เด็กหญิงร่างผอมสูงที่นั่งถลึงตาเงียบๆ ไม่พูดกับใครคนนั้นเป็นพี่สาวของเธอ
แปลกยังไงล่ะ ผมถามต่อ
พี่หนูไม่พูด แกเป็นใบ้
ผมมองผ่านฉากอาคารเรียนที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนื้อที่หลายสิบไร่ของโรงเรียนชื่อดัง นึกถึงเด็กนักเรียนนับร้อยที่ยืนเข้าแถวหน้าเสาธงในยามเช้า นึกถึงแววตาใสบริสุทธิ์ของเด็กหญิงเด็กชายตัวน้อยๆ ที่เพิ่งจากอ้อมอกพ่อแม่มาเข้าสู่รั้วโรงเรียนอันเป็นโลกภายนอกอดนึกไม่ได้ว่าในท่ามกลางแววตาสดใสไร้มายาเหล่านั้น อาจมีดวงตาถมึงทึงแปลกๆ กำลังจดจ้องมา
ผมเงียบไปครู่หนึ่ง
น้าเชื่อไหมหนูงี้อยากรู้เหลือเกินว่าพี่นุ่นแกคิดอะไรอยู่ เวลาที่หนูเห็นพี่นุ่นนั่งอยู่คนเดียวหรือเวลาที่หนูตื่นขึ้นมาแล้วก็เห็นพี่นุ่นนอนลืมตาอยู่ข้างๆ
ผมนึกภาพตามคำพูดของส้มแป้น ในหน้าซูบเซียว ดวงตาถมึงทึงของเด็กหญิงชื่อนุ่นก็แวบผ่านเข้ามาอีก หนูงี้ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว มีอยู่คืนหนึ่งพี่นุ่นนอนไม่หลับ จู่ๆ แกก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วก็เอามือมาจับที่คอแล้วก็ทำหน้าอย่างนี้ นี่น้าคอยดูนะ ส้มแป้นทำหน้าเหมือนกำลังเจ็บปวดเสียเต็มประดา กว่าจะรู้ว่าเจ็บคอไม่สบายก็นั่งส่งภาษาใบ้กันตั้งนาน
ผมเงียบไปอีก นึกภาพว่าครอบครัวนี้ สื่อสาร กันอย่างไร นึกไม่ออกว่าจะชุลมุนวุ่นวายสักแค่ไหน
แล้วเวลาที่หนูอยู่บ้านกับพี่ หนูพูดกับพี่สาวยังไง ผมถามเหมือนไม่มีอะไรจะถาม
หนูก็พูดภาษาใบ้
เก่งจัง หนูพูดอะไรได้บ้างล่ะ สอนให้น้าพูดภาษาใบ้บ้างได้ไหม
น้าจะให้หนูสอนอะไรล่ะ
พูดคำว่า หนูรักแม่
นั่งดูเด็กหญิงวัย 5 ขวบสาธิตภาษาใบ้แล้วก็ลองทำตามไปทีละคำ เป็นคำพูดง่ายๆ เท่าที่ผมจะนึกได้อย่างเช่นคำว่า พ่อ แม่ หิวข้าว อะไรทำนองนั้น
พูดถึงแม่ น้ารู้ไหม แม่หนูเขาพูดถึงพี่นุ่นว่าไง เด็กหญิงหันมาถาม ผมส่ายหน้า แม่ว่าแม่เบื่อเต็มทีไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที แม่ว่าพี่นุ่นไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ไม่สบายบ่อยเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่เข้าออกๆ โรงพยาบาลหมดเงินไปเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ประโยคหลังๆ ผมแทบไม่ได้ยินแล้วใบหน้าซูบเซียว ดวงตาถมึงทึงของเด็กหญิงแวบผ่านเข้ามาอีก
เด็กๆ เริ่มออกมาวิ่งเล่นตรงสนามส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ผมหลับตานึกวาดภาพเด็กหญิงคนหนึ่งที่อยู่รายล้อมไปด้วยเพื่อนๆ แปลกหน้า แต่ตัวเองก็คนแปลกประหลาดไม่เข้าพวกกับใคร
นึกถึงแรงกดดันที่อยู่เบื้องหลังครอบครัวนี้
ในห้วงลึกของความครุ่นคำนึงยังมีภาพของเด็กหญิงส้มแป้นไม่เสื่อมคลาย.
ชาคริต โภชะเรือง