เรื่องสั้น
นักเลง พ่อ ตา
ไขยืนขบกรามแน่นในมือกำเงินสองพันบาทดวงตาแสดงถึงความอาฆาตแค้นผู้ที่เพิ่งเข้ามาคุยแล้วเดินจากไปโดยไม่ใส่ใจกับอารมณ์ที่เดือดดาลของผู้ที่ยืนอยู่ ไข่เดินกะโผลกกะเผลกเข้าบ้านเมื่อมองแขกผู้มาเยือนจนลับหลังไป กลับมานั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นขณะที่เขาขับรถกลับจากถางหญ้าในสวนยางเพื่อกลับบ้านเหตุเกิดขึ้นบนเนินสูงทางลงจากเนินมีโค้งและมีหญ้าขึ้นรกจนมองถนนฝั่งที่รถสวนมาได้เพียงไม่กี่วา ประกอบกับที่รถของเขาเก่า เบรคมีแต่ทำงานไม่เต็มร้อยอีกทั้งถนนก็เป็นลูกรังโดนน้ำเซาะจนเป็นทางน้ำร่องลึกรถวิ่งได้เพียงเลนส์เดียว เขาจึงตัดสินใจบังคับรถหลีกร่องน้ำไปวิ่งในเลนส์อีกฝั่งของถนน ช่างเวรกรรมอะไรเขานึกในใจ บางวันวิ่งสามสี่รอบก็ไม่เจอซักคัน แต่คราวนี้เค้าเจอมันตรงนี้ตรงที่ไม่มีทางหลีกรถกระบะอีกคันวิ่งสวนมาชนเข้าเต็มๆ ใบหน้าเขาชนกับอย่างหนึ่งของรถกระบะ เขารู้สึกเช่นนั้น คนขับรถลงมาต่อว่าเขาเป็นการใหญ่ ไข่นั่งเงียบเอามือกุมหน้าลูบลงมาสำรวจที่ปากก็เจอแผลเขารู้สึกเจ็บทันทีแต่ไม่ได้พูดอะไรเพราะรู้ว่าเขาผิดเอง คนขับรถบอกให้นั่งรอให้เขาไปส่งผู้โดยสารก่อนแล้วจึงจะกลับมาพาไปโรงพยาบาล ไข่นั่งรออยู่สักพักก็มีรถวิ่งมาเห็นเขานั่งอยู่ข้างถนนมีรถมอเตอร์ไซด์คว่ำอยู่ใกล้ๆก็เลยอาสาพาไปโรงพยาบาล
นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อนมึงตายแน่ ไข่นึกในใจพร้อมกับความหลังครั้งก่อนหลั่งไหลเข้ามาในสมอง เดิมทีไข่เป็นคนพัทลุง มีนิสัย มุทะลุ ไม่เคยยอม เป็นที่รู้กันดีในละแวกบ้าน แต่เพราะมีเรื่องโดนข้อหาลักวัว สาเหตุที่ได้เกิดเรื่องก็เพราะก่อนหน้านี้วัวของเค้าเคยมากัดกินต้นข้าวของไข่ พอไข่ไปบอกก็ไม่ยอมรับผิดชอบ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแต่มันเกิดขึ้นเป็นประจำจนครั้งล่าสุดไข่ได้ตีวัวตายคาที่ จึงเกิดเรื่องหมางใจกัน อีกทั้งยังให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาล้อมจับ เขาไหวตัวทันหนีแหกวงล้อมมาได้ เกิดจากความขี้เกียจของเขาเองในคืนนั้นเขาได้ยินเสียงหมาเห่าแล้วแต่ไม่ได้ลงมาดู ตื่นเช้ามาก็ไม่ได้สังเกตเจ้าของวัวพาญาติพี่น้องมาขอดูรอบบ้านสงสัยว่าเขาเป็นคนลักวัวเขาเลยให้ไปค้น จนเจอเชือกที่ริมรั้วหน้าบ้านเลยเป็นเรื่องขึ้นมาเจ้าของวัวเลยแจ้งตำรวจ ไข่มั่นใจว่าเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้เขาโดนกลั่นแกล้งแน่นอน หากเขาโดนจับต้องติดคุกแน่เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ อีกทั้งเจ้าของวัวและญาติพี่น้องล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องที่ บ่อยครั้งที่คนในตระกูลนี้เกิดเรื่องแต่ก็หายเงียบ หรือไม่ก็คู่กรณีโดนบีบจนต้องยอมไม่เอาความ ก็เลยตัดสินใจหนีแต่ก่อนหนีขอทำอะไรให้มันสะใจ รุ่งขึ้นอีกวันข่าวการตายของเจ้าของวัวกับการหายตัวไปของไข่กระจายทั่วทั้งหมู่บ้าน เขาย้ายตัวเองมาอยู่อีกจังหวัดในที่เงียบสงบ จนได้เมียและมีลูกด้วยกันด้วยความที่เขาเป็นคนขยันจึงแปลงผืนป่าในหุบเขาให้เป็นสวนยางพาราภายในเวลาไม่กี่ปีเขาจึงตั้งใจว่าจะวางรากฐานของชีวิตไว้ที่นี่
หลังจากมีผู้ใจบุญนำเขามาส่งที่โรงพยาบาล ก็มีเจ้าหน้าที่มาเข็นเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ต่อมาก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่นอนอยู่ในห้องพักฟื้นแล้ว เขาถามหมอถึงความหนักเบาของอาการ หมอบอกว่าหมอได้ถอนฟันสองซี่เพราะฟันแตก หากปล่อยไว้จะทำให้เกิดการอักเสบซึ่งมีผลต่อการรักษา ส่วนที่ขานั้นมีแผลถลอกจะเจ็บปวดบ้างตอนที่เคลื่อนไหว เขาได้แต่พยักหน้าอย่างทำใจหลังจากฟังคำพูดหมอ ในวันที่สามวันเขาก็ขอหมอออกจากโรงพยาบาล ตลอดเวลาสามวันที่เขานอนอยู่ที่โรงพยาบาล เขาพยามทำใจว่าจะไม่โกรธคนคนนั้นหากเขาจะมาเยี่ยม แต่แล้วก็ไม่มีเลยทั้งที่เขาขับรถวิ่งส่งคนไปตลาดอยู่ทุกวัน จนมาวันนี้วันที่เอาเงินมาฟาดหัวพร้อมบอกว่าจริงแล้วไม่อยากให้ เพราะเขาไม่ได้ผิดแต่คิดว่าให้เป็นค่าฟันปลอมก็แล้วกัน ไข่ฟังเงียบไม่ได้โต้ตอบอะไรแต่คิดในใจว่าเขาไม่ใส่แน่ฟันปลอม ไข่ตั้งใจว่าจะให้มันเป็นแผลเตือนใจสำหรับความเจ็บปวดครั้งหนึ่งในชีวิต เขายอมที่จะโดนเพื่อนล้อและยอมที่จะเป็นคนพูดไม่ชัดเหมือนดังแต่ก่อน
เวลาผ่านไปหลายปีลูกๆของไข่ก็โตเป็นหนุ่มเป็นสาวแต่งงานมีครอบครัวกันหมด เหลือเพียงลูกสาวคนสุดท้องที่เพิ่งเรียนจบกลับมาอยู่บ้านกับเขา ในช่วงนี้ไข่อยู่อย่างมีความสุขลูกก็กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า ฐานะก็เป็นมีอันจะกินกว่าหลายคนในละแวกนั้น และความสุขอย่างใหญ่หลวงจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของแกอีกครั้ง เมื่อแกเห็นมีหนุ่มๆมาแวะเวียนหาลูกสาวแกอยู่หลายคน “ ทัย พ่อเห็นมีเพื่อนผู้ชายเข้ามาหาลูกหลายหน้าจัง พ่อว่ามันไม่เหมาะนะลูก” ไข่ตัดสินใจพูดกับลูกในวันหนึ่งเมื่อเริ่มได้ยินคำพูดระแคะระคายหูเข้ามา “ ทัยรู้พ่อ แล้วพ่อจะให้ทัยทำพรื้อ เพื่อนๆกันทั้งเพ”ลูกสาวแกตอบไปโดยรู้ความหมายในใจของพ่อ “เพื่อนไอ้ไหรมากันทุกวัน มึงคิดให้ดีแล้วกัน แล้วให้มันถูกต้องตามประเภณี” ไข่พูดแบบรู้ทันแล้วตามด้วยปรามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง หลังจากนั้นเหตุการณ์ยังคงดำเนินไปตามปกติเช่นทุกวัน ยังคงมีหนุ่มมาจีบลูกสาวไข่เป็นประจำแต่จะมีพิเศษอยู่คนหนึ่งซึ่งจะมาอยู่นาน ด้วยที่บ้านของไข่นั้นมีการเปิดโต๊ะสนุกเกอร์ อาหารตามสั่งและขายของชำ จึงทำให้หนุ่มที่เข้าออกได้อย่างสบายใจไม่ต้องหาเหตุผลมาแก้ตัวแม้จะมีเหตุผลอื่นแฝงก็ตาม คนพิเศษคนนั้นที่มาบ้านไข่เป็นประจำและเป็นคนที่ได้หัวใจของทัยไปครองนั้นเป็นหนุ่มอีกหมู่บ้านเป็นลูกเต้าเหล่าใครไข่ไม่รู้แต่ทัยรู้ดี แล้ววันหนึ่งเมื่อไข่ได้รู้ประวัติของหนุ่มผู้ได้หัวใจของลูกสาวไปครอง ไข่ก็เกิดเดือดดาลขึ้นมาทันทีแต่ก็คิดตรึกตรองอยู่หลายวัน กลัวหากเขาพูดไปกระทบความรู้สึกของลูกสาวผู้เป็นดั่งดวงใจของเขา “นั่นมันเป็นเรื่องระหว่างพ่อกับพ่อของอ็อด แต่นี่มันอ็อดกับทัยพ่อต้องแยกให้ออก อ็อดเขาเป็นคนดี และทัยก็ตัดสินใจแล้ว พ่อห้ามไม่ได้หรอก” คำพูดนั้นยังชัดเจนเหมือนเพิ่งพูดกับลูกเมื่อเขานึกขึ้นมาหลังจากไข่พูดกับลูกสาว ไม่กี่วันญาติผู้ใหญ่ทางฝ่ายชายก็ให้คนที่เป็นที่นับน่าถือตาในหมู่บ้านมาทาบทาม ด้วยความเกรงใจไข่จึงฝืนคุยแล้วเรียกค่าสินสอดแพงลิ่วจนทำให้คนที่มาทาบทามถึงกับอ้าปากค้าง ไข่รู้สึกสะใจเมื่อนึกไปถึงสีหน้าของพ่อแม่ฝ่ายชายตอนที่ได้รู้ถึงค่าสินสอด เย็นนั้นไข่ได้พูดกับลูกสาวราวกับว่าเป็นความสำเร็จในการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเองไว้ได้ ทำให้ทัยน้ำตาไหลพรากเมื่อทราบถึงจำนวนสินสอดที่พ่อเรียกไป
เช้าวันหนึ่งหลังจากที่กลับมาจากกรีดยาง วันนี้ไข่รู้สึกว่ายางที่ไปกรีดนั้นจำนวนต้นลดลงทั้งๆที่จริงแล้วมันเท่าเดิมหรือเป็นเพราะความสบายใจจากเรื่องวันก่อน กลับมาถึงบ้านกะว่าจะกินกาแฟซักแก้วแล้วกลับไปเก็บน้ำยางอย่างเช่นเคย หากแต่ว่าเมื่อเข้าไปดูกระติกน้ำร้อนไม่ได้เสียบปลั๊กไว้น้ำยังไม่ได้ต้ม ซึ่งหากเป็นเช่นทุกวันทัยจะลุกขึ้นมาจัดแจงต้มไว้รอแกกลับมากินทุกวัน ไข่จึงเดินไปเคาะประตูเรียกลูกสาว เงียบไม่ได้ยินเสียงตอบ เลยเปิดประตูเข้าไป ไม่มีลูกสาว ในห้องว่างเปล่ามีแต่เพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง ไข่เข้าใจว่าเป็นจดหมายแต่บอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่อ่านมัน ไข่ขบกรามแน่นขณะที่ในมือขย้ำจดหมายแน่นอย่างกับต้องการให้มันสลายหายไป น้ำในดวงตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นน้ำตาแห่งศักดิ์ศรีที่เขาพยามรักษามันมาตลอดชีวิต ศักดิ์ศรีที่เขาปกป้องด้วยการทิ้งบ้านเกิด ด้วยการไม่ใส่ฟันปลอมจากเงินของคนที่ดูถูกเขา แต่ตอนนี้ลูกสาวผู้เป็นดวงใจของเขาได้ทำลายมันลงอย่างสิ้นซากแล้ว
“มึงอย่าให้มันรู้นะว่าเป็นเงินของกู” “ครับพ่อ” เสียงตอบรับจากลูกชายหลังจากสิ้นเสียงกำชับจากไข่ หลังจากตัดสินใจขัดใจพ่อ ทัยกับอ็อดพากันมาอยู่ที่บ้านญาติของอ็อดอีกจังหวัดหนึ่ง ไม่นานก็กลับมาอยู่บ้านของอ็อด ทั้งสองตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน โดยเปิดร้านอาหารตามสั่งที่บ้านของอ็อดและอ็อดก็กรีดยางของตนที่ได้รับส่วนแบ่งมา เสร็จจากกรีดยางก็ไปทำงานก่อสร้าง เมื่อรวมกันแล้วก็พอเลี้ยงตัวไปได้ ครั้นจะหางานอื่นทำก็ยากนักเพราะในชนบทอย่างนี้ไม่มีงานที่จะให้เลือกทำมากนัก การที่จะสร้างฐานะให้มั่นคงต้องใช้เวลาหลายปี แต่ทั้งสองก็อยู่ได้สบายหากไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น “อ็อดทัยเม็นไม่มาสองเดือนแล้ว”ทัยบอกกับอ็อดในวันหนึ่ง “มึงท้องม้ายไอ้ทัย” อ็อดถามสวนขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ ไม่ใช่ไม่อยากมีลูกแต่คิดว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ เพราะชีวิตเขาตอนนี้ยังไม่พร้อมซักอย่าง “ถ้างั้นตอเช้าไปหาหมอกันนะ”
อ็อดนั่งรอสลับกับเดินไปมาหน้าห้องคลอดด้วยใจจดใจจ่อ เป็นห่วงคนที่อยู่ในห้องคลอดก็เป็นห่วง แต่ก็มีอีกเรื่องที่ยังคิดไม่ตกอีกเช่นกัน เขาจะเอาเงินจากที่ไหนมาจ่ายค่าทำคลอด เขาเคยได้ยินจากคนข้างบ้านที่เพิ่งคลอดลูกว่าหากคลอดธรรมดาก็อยู่ที่หลักพัน แต่หากต้องผ่าตัดทำคลอดก็จะเป็นหลักหมื่นทีเดียว ”พี่ครับ ค่าผ่าตัดทำคลอดของคุณ อรทัย บุญศักดิ์ เท่าไหร่ครับ” อ็อดเข้าไปถามเจ้าหน้าที่การเงินหลังจากที่หมอเข้ามาตรวจดูอาการแล้วอนุญาติให้กลับบ้านได้ “เออ คุณค่ะ ของคุณ อรทัย บุญศักดิ์ ใช่ไหมค่ะ” เจ้าหน้าที่การเงินถามย้ำอีกครั้ง “ครับใช่ครับ” “มีคนจ่ายให้แล้วค่ะ ก่อนหน้าที่คุณจะมาเมื่อกี้นี้เองค่ะ” ในใจอ็อดนั้นอยากรู้ว่าใครกันที่มาจ่ายเงินให้แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ ด้วยความที่กลัวว่าทัยและลูกจะรอนาน ขณะที่เดินกลับเขาก็คิดขึ้นได้แล้วอมยิ้ม ก่อนที่เขาจะมาจ่ายค่าทำคลอด พี่ชายของทัยและพี่สะใภ้มาเยี่ยมและกลับไปก่อนที่หมอจะเข้ามาดูอาการแล้วบอกให้กลับบ้านได้
“หยุดมึงไม่ต้องพูด ถ้าพูดเรื่องนี้ให้ไปพูดกันที่อื่น ห้ามพูดในบ้านนี้” ไข่ตะหวาดลูกชายและลูกสะใภ้ที่มาพูดกับเมียถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของหลานที่เพิ่งไปดูมา หลังจากออกจากโรงพยาบาลพี่ชายและพี่สะใภ้ก็ยังไปเยี่ยมหลานอยู่เป็นประจำ แล้วก็จะกลับมาพูดกับแม่ หลังจากที่โดนไข่ห้ามคราวนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ให้ไข่ได้ยินอีก มีหลายครั้งที่เมียของเขาเห็นเขานั่งเหม่อลอยเหมือนกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “พี่ไข่น้องมีเรื่องจะคุยกับพี่” เมียของเขาพูดขึ้นวันหนึ่งหลังจากได้ทราบข่าวจากลูกชายที่ไปเยี่ยมลูกสาวมา แล้วกลับมาบอกว่าตอนนี้ทัยลำบากมากไม่ได้ทำอาหารขายแล้ว เพราะได้ไม่พอจ่ายก็เลยต้องออกไปรับจ้างทำงานในตัวเมือง ไม่มีเวลาเลี้ยงลูกและลูกยังไม่สบายเจ็บออดๆแอดๆต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ “พี่จะว่ายังไง ถ้าน้องจะให้ลูกมันกลับมาขายของที่นี่” เมียถามขึ้นอีกครั้ง ไข่นิ่งเงียบครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า “ได้ แต่มาได้แค่แม่กับลูกมันนะ ผัวมันห้ามมา” ทัยดีใจยิ่งนักเมื่อรู้จากพี่ชายว่าพ่ออนุญาตให้กลับไปขายของที่บ้านได้แล้ว ในวันแรกที่ทัยกลับมาเตรียมเปิดร้านทัยเข้าไปขอโทษพ่อและแม่ พ่อนั้นเดินหนีไม่ตอบไม่มองหน้า ทัยกลับมาขายของเช่นเดิมแต่มาแค่คนเดียวส่วนลูกนั้นให้แม่ของอ็อดเลี้ยง ทัยกลับไปกลับมาอยู่นานนับเดือนไม่ได้มีการซักถามจากผู้เป็นพ่อซักคำ พอเจอหน้ากันไข่ไข่ก็จะหลบไม่ปล่อยโอกาสให้ทัยได้ทักทายสักครั้งเลย วันหนึ่งแม่ของอ็อดมีธุระต้องไปต่างจังหวัด ทัยจึงพาลูกมาที่บ้านของพ่อด้วย “ไอ้ทัย ไซร้มึงปล่อยให้ลูกมึงมานอนอยู่แบบนี้ มึงเห็นม้าย ทั้งควันไฟ กลิ่นเครื่องแกง ลูกมึงยังเล็กอยู่นะโว้ย” ไข่กลับมาจากเก็บน้ำยางก็ขึ้นเสียงเป็นการใหญ่ เมื่อเห็นหลานนอนอยู่ในเปลรถเข็นข้างแม่ที่กำลังทำกับข้าวควันโขมง “ก็ถ้าให้อยู่ในบ้าน ตอนมันร้องทัยกลัวจะไม่ได้ยิน” ทัยตอบด้วยความรู้สึกผิดแต่ก็รู้สึกตื้นตันอยู่ในใจที่พ่อยอมพูดกับตัวเองแล้ว เพราะเอ็งทีเดียวเชียวไอ้ตัวเล็กทัยนึกในใจ “หลานคนเดียว ถ้าทางโน้นเค้าเลี้ยงกันไม่ได้ ก็เอามากูจะเลี้ยงเอง” ไข่พูดขึ้นอีกครั้งแถมด้วยคำเหน็บฝ่ายทางโน้น “ก็วันนี้แม่ของอ็อดเขามีธุระ ทุกทีแกก็เลี้ยงให้นั้นแหละ”ทัยแก้ต่างให้แม่ของอ็อด “แล้วผัวมึงล่ะทำไมไม่ช่วยมึงเลี้ยง” ไข่ถามไปถึงอ็อดพร้อมอุ้มหลานขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่ไข่พูดถึงอ็อดหลังจากที่ทัยหนีตามเขาไป “อ็อดเขาเก็บน้ำยางเสร็จก็ต้องไปทำงานก่อสร้างทุกวัน” ทัยอธิบาย “เฮ้อ ลูกคนเดียวก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงกัน ถ้างั้นมึงบอกไอ้อ็อดก็แล้วกัน ไม่ต้องไปทำแล้วงานก่อสร้าง ให้มันมากรีดยาง กูจะแบ่งให้พวกมึงแปลงนึง เสร็จยางจะได้มีเวลาเลี้ยงลูกกัน” ไข่พูดจบก็เดินอุ้มหลานเข้าบ้าน ทัยหันมาสบสายตากับแม่ยิ้มกว้าง “พ่อมึงคงรู้แล้วล่ะ ว่าศักดิ์ศรี กับ สักหลาน อะไรสำคัญกว่ากัน” แม่พูด
ไพรพราย