เรื่องสั้น
แม่ครับ...ตีผมสิ
รัตนชัย มานะบุตร
แม่ออกมา "ไม่ต้องหาหรอก แม่ขายอาแป๊ะไปหมดแล้ว"
"รวมทั้งไก่ชนของผมด้วยหรือ?"
"มันมีไก่ชนของผมด้วย...แม่ขายทำไม?"
"ก็แม่ไม่รู้นี่ว่ามันเป็นไก่ชน"
"ทำไมแม่จะไม่รู้..."
"แม่ไม่รู้จริง ๆ"
"อาแป๊ะที่ไหน แม่ต้องตามไปเอากลับคืนมา"
แม่ส่ายหน้า "เขาไม่ใช่คนที่นี่...ไม่ใช่คนบ้านเราแล้วจะให้แม่ไปตามเอาคืนที่ไหน?"
ผมโยนกระเป๋าหนังสือ กระแทกก้นลงพื้นดินตรงหน้าแม่ ด้วยความเสียใจผมร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาย "อย่าเสียใจไปเลยพรุ่งนี้แม่ค่อยซื้อตัวใหม่ให้แทนก็แล้วกัน"
"มันแทนกันไม่ได้หรอก...มันไม่เหมือนกัน"
แม่เดินเลี่ยงไปโดยไม่ยอมคุยอะไรอีก
ไก่ชนตัวนี้ลุงเผียนเป็นคนให้ผมเลือกเอาเอง เพราะแกเห็นว่าผมให้ข้าวน้ำและนั่งนับเกล็ดพวกมันเกือบทุกวัน ผมรู้จักและสนิทสนมไก่ครอกนี้ทุกตัวตั้งแต่พวกมันออกจากไข่กระทั่งโตรู้ว่าตัวไหนตัวผู้ตัวเมีย พอๆ กับรู้จักลุงเผียน แกเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงห่างกันข้ามสวนยางแค่สวนเดียว ต่างก็แต่แกเป็นคนพุทธเท่านั้น เราเด็ก ๆ ชอบไปดูไก่ชนที่บ้านแก เราท่องตำราที่แกบอก "อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดสิบสอง" ถ้าดูด้วยสายตาก็ให้ดูตัวที่มี "รูปร่างเพรียว คอยาว ขายาว แข้งใหญ่" ...การได้ดูได้เห็นไก่ชนลุงเผียนทุกวันจนเกิดความรู้สึกหลงใหล รักใคร่และอยากได้มาเลี้ยง
"เอ็งอยากได้มันไหมล่ะ?"
"อยากได้สิครับ"
"ครอกนี้แหละลูก" ไอ้เหลืองหางขาว "ลุงให้เอ็งเลือกเอาไปสักตัว...เห็นว่าเอ็งชอบ"
ผมจึงเลือกตัวที่มีเกล็ดสิบสองตรงตามตำรา พอนำกลับมาบ้านกลับนับเกล็ดได้แค่สิบเอ็ดหายไปหนึ่งเกล็ด ผมก็คิดว่าคงจับมาผิดตัว แต่เมื่อนับอีกวันกลับนับได้สิบสอง หลังจากนั้นผมไม่นับมันอีกเลย...กลัวว่ามันเล่นภาพลวงตากับผมอีก
ผมปล่อยให้หากินรวมกับไก่ของแม่ที่บ้าน ตัวสูงโย่งกว่าพันธุ์ไก่บ้าน ตัวที่โตเท่า ๆ กันไม่มีตัวใดกล้าไล่จิก"ทำท่าจะเป็นจ่าฝูงฉิบ!
"ไม่ต้องหาหรอก แม่ขายอาแป๊ะหมดแล้ว"
คำพูดของแม่ก้องอยู่ในหูบาดความรู้สึกในใจ ผมร้องไห้เสียงดังขึ้นอีกเป็นสองเท่าจนพ่อเข้ามา
"มันถูกขายไปแล้วกับคนไม่รู้จัก หยุดเศร้าเสียใจเถอะ ร้องไห้หมดน้ำตาก็ไม่ได้มันคืนอีกแล้ว ทำใจแล้วค่อยหาใหม่"
พ่อพูดแค่นั้นแล้วก็จากไป พี่สาวก็เข้ามาพูดทำนองเดียวกับพ่อแล้วก็จากไป...ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึก ไม่มีใครรู้ว่าผมรักไก่ตัวนี้มากแค่ไหน...ไม่มีใครทนฟังเสียงแหกปากร้อง ช่างน่ารำคาญ ผมร้องไห้เสียจนเสียงแหบ..เหนื่อย ไม่มีใครสนใจที่จะเข้ามาพูดปลอบประโลมเหมือนตอนแรกอีกแล้ว จนกระทั่งได้เวลาไปอ่านหนังสือ "อัล-กุรอ่าน" ที่บ้าน "โต๊ะชายอี" การอ่านหนังสือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะถ้าขาดเรียนคืนไหน วันถัดมาโต๊ะชายอีจะตามมาถึงบ้านแกต้องรู้ให้ได้ว่าป่วยจริงหรือป่วยการเมือง หากป่วยการเมืองก็จะสร้างความยุ่งยากเกิดขึ้นภายในบ้าน แม่ต้องโดนตำหนิที่ปล่อยให้ลูกประพฤติตัวเหลวไหล สุดท้ายมาลงที่ตัวผมเอง พ่อด่า แม่ก็ดุซ้ำ ผมลืมเรื่องไก่ไปชั่วขณะ เข้าไปบ้านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเครื่องแบบนักเรียนออก เป็นนุ่งผ้าถุงสวมหมวกขาวเป็นเครื่องแบบนักเรียนมุสลิมแล้วก็ออกจากบ้านไปเงียบ ๆ เดินไปได้ครึ่งทางก็คิดถึงไอ้เหลืองหางขาวขึ้นมาอีก...ป่านนี้มันคงตายไปแล้ว ความรู้สึกเสียใจกลับมาเหมือนเดิมอีก
"ขายไก่ชนผมไปทำไม?"
"แม่ไม่รู้?"
ช่างเป็นคำพูดที่บาดใจอะไรเช่นนี้ แม่น่าจะรู้ว่าผมรักมันมากแค่ไหน กลับมาบ้านตอนเย็นเอาข้าวเอาน้ำให้กินจนอิ่ม นวดแข้งนวดขาให้มันแข็งแรง อีกไม่นานผมก็จะนำไปฝึกตีกับไก่ลุงเผียนแล้ว พบแกแกก็ถามว่าไก่ที่ให้เอ็งไปโตแค่ไหนแล้ว...อกชัน หวั้นชิด หงอนบิด ปากร่อง พัดเจ็ด ปีกสิบเอ็ด เกล็ดสิบสอง แข้งขา เกล็ด เส้นขน จะงอยปาก ตาที่แหลมคม ไม่นานขนสร้อยรอบคอ ลำตัวเขียวอมเหลือง สร้อยหางสีขาวงอนสองเส้น ทุกสรีระยังติดตา โอ้..นี่ผมต้องมาเสียมันไปโดยไม่มีวันได้คืนอีกเลยล่ะหรือ ทำไมต้องมาจากผมไป แม่ไม่เข้าใจผมเลย ผมไม่ได้หวังจะเป็นนักพนันไก่หรอก แต่ความรักที่มีต่อมันต่างหาก ความรักนั่นต่างหากที่นำพาให้ผมต้องเสียใจกับการจากไปของมัน
ไม่น่าเลย!!! เท้าย่ำเดินท่ามกลางจิตใจที่ปั่นป่วน ไปเรียนหนังสือทำไม สู้เกเรไม่ดีกว่าหรือ แม่จะได้รู้เสียบ้างว่าการกระทำที่ผิดพลาดของแม่เกิดผลเสียหายตามมามากมาย เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเดินอ้อมไปแอบซุ่มอยู่ใต้โคนต้นยาง...นาน แสงสว่างค่อย ๆ จางจาก ความมืดเข้ามาแทนที่ คืนนี้ผมน่าไปพักบ้านน้าชาย หรือบ้านใครสักคน แต่หาเหตุผลอ้างไม่ได้ว่าทำไมมานอนที่นั่นทั้ง ๆ ไม่เคยนอนค้างบ้านใคร หรืออ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ หรือไม่ก็โกหกให้รู้แล้วรู้รอด หรือบอกความจริงไปว่าแม่ทำผิดพลาดที่ให้อภัยไม่ได้...คืนนี้หากผมไปนอนค้างบ้านคนอื่นแน่นอนแม่ต้องตามหา รับรองต้องวุ่นวายทั้งหมู่บ้าน ไม่ดีเลยเพราะเรื่องยุ่งยากก็จะตามมาอีกมากมาย
ไม่มีทางอื่นนอกจากกลับไปนอนบ้านทำทีว่าเรากลับมาจากเรียนหนังสือที่บ้านโต๊ะชายอี! เหมือนเช่นทุก ๆ คืน ทำตัวเป็นปกติไม่ให้ผิดสังเกต
ผมตัดสินใจเดินกลับบ้านไปแอบอยู่หลังเล้าไก่
ปกติตอนนี้ที่บ้านโต๊ะชายอีนั้นเพื่อน ๆ กำลังฝึกฝนการอ่าน รอเวลาชายอีเรียกเข้าไปนั่งอ่านต่อหน้าทีละคน ทีละคน ๆ ไอ้เชน ไอ้ซอด ไอ้เตะ ไอ้เลาะ ไอ้ฉาด ไอ้หนีบ หากคืนนี้มีผมด้วย ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่ถูกเรียกไปนั่งอ่านต่อหน้า...ผมยกหนังสืออัล-กุรอ่านขึ้นมาจูบ ขอพรให้แก่ตัวเองว่าคืนนี้ผมต้องอ่านออกเสียงถูกต้องหมดทุกตัวอักษร นั่งขัดตะหมาดเรียบร้อย สายตาจดจ่ออยู่ที่ไม้ชี้ขนแม่นตรงตัวหนังสือ โต๊ะชายอีนั่งพิงฝาอยู่เบื้องหน้า พร้อมแล้วสำหรับการเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า "อา-อู-ซุ-บิล-ลาฮ์ฯ" ตามมาด้วยประโยค "บิสมิลลาฮ..."
จบประโยค 'อบิสมิลลาฮ...' ได้ยินเสียงขันของนกกรงแม่พะ ดังขึ้น ด้านหลัง
'ตุไป้ไห้นลอ'
เสียงร้องนั้นดังใกล้เข้ามา ๆ
มันเป็นนกตัวเดียวที่มีเสียงขันเลียนเสียงหลาน ๆ ที่ถามโต๊ะชายอี "โต๊ะไปไหน" ปกติแขวนตรงหน้าบันไดขึ้นบ้านโต๊ะชายอี แต่คืนนี้เสียงนั้นก้องกังวานมาถึงที่นี่?
"มานั่งอยู่ที่นี่ทำไม...ทำไมไม่ไปอ่านหนังสือ"
ผมหนาววาบเหลียวหลังไปยังต้นเสียง ใช่ แสงสว่างจากฟ้าเห็นเงาของใครคนหนึ่งซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโต๊ะชายอี เงาทะมึนถือไม้เรียวหวายส่ายไปมา ผมลุกขึ้นยืน หันหน้าไปหาแก เสียงของแกมีอำนาจมาก "มานี่ มานี่ เข้ามาใกล้ ๆ นี่"
ผมเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่ายและยืนกอดอกหันก้นให้ ไม้เรียวหวายแหวกอากาศหวดตรงที่ก้นดังขวับ! หนึ่งครั้ง "ทีหลังอย่างทำเช่นนี้...กลับบ้านไป"
ผมนุ่งผ้าโสร่งผืนบาง ๆ ไม่ได้รองอะไร ทำให้ก้นปวดแสบปวดร้อน ผมนึกถึงครั้งหนึ่งในโรงเรียนไทยที่ครูหวดก้นเพื่อนคนหนึ่งด้วยไม้เรียวเช่นกัน แต่ครั้งนั้นเพื่อนแอบรองแผ่นกระดาษหนา ๆ ไว้ที่ก้น แต่ผมไม่ได้รองอะไรเลยจึงรู้สึกปวดแสบตามแนวไม้เรียว ลุกลามทั้งก้น เงาดำ ๆ ของแกเดินหายไปตามทางมืด ๆ ผมคิดว่าคืนนี้โต๊ะชายอีคงไม่สอนอัล-กุรอ่าน ไม่เช่นนั้นป่านนี้แกไม่มาเดินอยู่เช่นนี้ หรือแกไม่เห็นผมไปอ่านอัล-กุรอ่านเลยตามมาหาที่บ้าน แม่คงบอกว่าผมไปอ่านหนังสือแล้ว หลังจากนั้นแกก็มาตามหาจนเจอ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าแกรู้ได้อย่างไรว่าผมนั่งแอบซุ่มอยู่ที่นี่ในเมื่อไม่มีใครเห็น...
ผมกลับเข้าบ้านเดินก้มหน้าก้มตาด้วยความเคอะเขิน แต่แม่ก็ถามว่า "อ่านหนังสือเสร็จแล้วหรือ ทำไมคืนนี้เลิกเร็วล่ะ"
ผมไม่ตอบคำถามแม่แต่นึกถึงไก่ชนของผม แล้วก็ย้อนคำถามเดิม "แม่ขายไก่ชนผมไปทำไม?"
ผมรู้ว่าคำตอบแม่คือ แม่ไม่รู้...
แม่ไม่ตอบแต่ก้มหน้าแล้วเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า แม่ยื่นไม้เรียวหวายมาให้ แล้วแม่กอดอกหันก้นให้ "แม่ทำผิดไปแล้ว ลูกตีแม่เถอะ"
น้ำตาผมไหลนองเหมือนตาน้ำผุด ผมรับไม้เรียวจากแม่มาแล้วยื่นกลับให้แม่ตามเดิม "แม่ไม่เคยผิด ผมผิดเอง...ตีผมสิแม่"
.........................................................