เรื่องสั้น
ชายผู้ที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ
รัตนชัย มานะบุตร
"อู่ว่ะ...ไอ้นี่ทำแบ่ง!" เขาสบถ
ต่อมาเหตุการณ์ก็เกิดกับคณิตเองเมื่อคืนหนึ่งขณะอยู่เวรที่อำเภอกำลังเคลิ้มหลับแล้วสะดุ้งเมื่อมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนตีหนึ่ง เขางัวเงียรับสาย
"ดีมาหนอนิ? เท่นั่ง เท่ไน?"
เป็นเสียงผู้ชายพูดจาลูกผสมสำเนียงออกเพี้ยน ๆ คำว่า 'ดีมาหนอ' เป็นภาษายาวี ตรงกับภาษาไทยว่า 'เท่นั่ง เท่ไน' ก็คือ ที่นั่นที่ไหน' เขาพยายามนึกว่าผู้ตรวจเวรโทรมาล้อกันเล่น ๆ เพราะมีพวกชอบล้อแบบนี้บ่อย สำเนียงออกเพี้ยน ๆ ของชาวบ้านซึ่งข้าราชการที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติและพาลนำคนอื่นเพี้ยนไปด้วยเหมือนกัน เพิ่งมาอยู่ใหม่ ๆ ยากที่เข้าใจแต่พออยู่ไปสักพักเข้าใจได้ไม่ยาก
"เท่นี่เท่อำเภอคับ" คณิตพาเพี้ยนไปตามบท
"มุงทำอะไรที่นั่ง" เขาพูดเพี้ยนคำว่า มึง เป็น มุง
"มาอยู่เวงคับผง"
"โยกังคี่คง"
"โยกังสงคงคับผง" เขาโกหกว่าสองคน ความจริงคืนนี้เขาอยู่คนเดียว ส่วนคู่เวรนอนหลับฝันหวานอยู่บ้าน เป็นความจริงว่าคู่เวรเซ็นชื่อทิ้งไว้สลับกันนอนคนละคืนหากมีผู้ตรวจเวรมาตรวจก็จะบอกว่า เพิ่งออกไปทานข้าว นานแค่ไหนก็ต้องบอกว่าเพิ่งไป ส่วนใหญ่ไม่มีใครตรวจเวรกันจริงจังสักกี่มากน้อย นอกจากมีคำสั่งจากนายอำเภอให้เข้มงวดเท่านั้น นั่นก็นาน ๆ ครั้ง และเป็นพัก ๆ เหมือนไฟไหม้ฟาง
"มอแหละ ๆ ดี่แหล้ว ๆ ...เดี๋ยวเลาพาพักพวกไปยิงกัง เปอเด้ ๆ ปัง ๆ ยิง ๆ บึ้ม ๆ มึงเตรียงปืงไว้ให้พร้องโกแล้วกัง"
"คอดูลู ๆ" คณิตล่อภาษาลูกผสมยาวี "เดี๋ยวก่อน ๆ มุงเป็นใคร" เขาฉุน ไม่เชื่อว่ามีการท้าทายกันโดยตัวเองไม่ทันตั้งสติ
เสียงตอบคือเสียงวางหูโทรศัพท์ทิ้งไป...
เรื่องอะไรที่จะต้องมาเตรียมปืนคอยยิงสู้กับคนพวกไหน ไม่รู้ว่าเป็นใคร เรื่องอะไรเช่นกันที่เขาต้องมากระต่ายตื่นตูมวิ่งโร่ไปแจ้งนายอำเภอ เรื่องอะไรที่เขาจะต้องรีบกลับไปเอาปืนสั้น .38 กระบอกยาวแค่ 2 นิ้วมาดวลปืน เอ็ม.16.
เดี๋ยวเลาไปยิงกัง เปอเด้ ๆ ปัง ๆ ยิง ๆ บึ้ม ๆ มูงเตรียงปืงไว้ให้พร้องโกแล้วกัง...จริงเท็จไม่รู้ คำพูดที่ว่า ปัง ๆ นั้นเป็นปืนและ บึ้ม ๆ นั้นต้องเป็นระเบิด...
ระยะนี้คณิตเตรียมตัวสอบสอบเปลี่ยนตำแหน่งไปไหนมาไหนหอบตำราไปด้วยเสมอว่างก็เปิดอ่าน หลังจากหูจากโทรศัพท์เขาหอบหนังสือขึ้นมากอดไว้กับอกไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องหอบมันไปด้วยทั้ง ๆ ที่แค่ตำราใช่ปืนเสียเมื่อไหร่ เขาก้าวลงบันได มองเยื้องไปยังถนนเห็นเพิงขายกล้วยทอดซ่อนอยู่ในเงามืด เป็นเพิงของแม่ม่ายชื่อมารือเยาะ ฟังจากปากข้าราชการว่ากล้วยทอดของแกอร่อยใช้ได้ มีคนอุดหนุนเยอะ...ไม่รู้เพราะเป็นแม่ม่ายปากแดงแก้มแดงก็ไม่รู้
ขณะนั่งอยู่ใต้เพิงขายกล้วยทอดเขาคิดถึงปืนสั้นกระบอกเดียวที่ตอนนี้อยู่บ้าน ดีแล้วที่ไม่นำติดตัวมา หากนำมาด้วยจะไปสู้กับเอ็ม.16ได้อย่างไรหนอ นึกได้ว่ามีตาปูเรือใบซึ่งได้แอบเก็บไว้ถุงหนึ่ง มันเป็นตาปูชุดเดียวกับที่ปลัดป้องกันเก็บได้จากปากทางเข้าหาด 'แค-แค'
คณิตเถียงกับปลัดป้องกันถึงชื่อหาด "ไม่ใช่ ต้องพูดว่าหาด แฆ-แฆ"
"ใคร ๆ ก็อ่านและพูดว่า แค-แค กันทั้งนั้นแหละ"
"แต่ชาวบ้านพูดว่า แฆ-แฆ"
"ไม่ว่าใครอ่านหรือพูดว่ายังไง" ปลัดป้องกันขี้เกียจเถียงด้วย เถียงไปก็แค่นั้น เลยสกัดโดยเฉไปพูดจุดอ่อนของคณิต "คืนวันเสาร์...วงเหล้าใต้เพิงต้นมะม่วง..."
"พอ ๆ เลิกพูดเรื่องนั้น" คณิตโบกมือห้าม เขาส่ายหัวทำหน้าเบ้
แค่เอ่ยถึงวงเหล้าใต้ต้นมะม่วง คณิตก็รู้แล้วว่าท่านปลัดต้องการเล่นอะไรต่อไป คืนวันเสาร์คืนนั้นข้าราชการคอเหล้าร้องเพลงกันจนเสียงแหบแห้ง ธนา เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ที่ตอนเมามีอะไรเล่นพิเรนทร์มาเล่นให้เป็นที่ฮือฮา ตอนนั้นกับแกล้มหมด เขาเอาหนังหมาที่โดนรถทับแห้งติดผิวถนนมาย่างส่งกลิ่นหอมเหมือนเนื้อย่าง.... คนที่นั่งอยู่ก่อนที่รู้ว่าหนังหมาย่างไม่มีใครกล้าแตะต้องแต่คนที่มาสมทบทีหลังนั้นไม่รู้ วงเหล้ามีห้าหกคนไม่รู้ว่าใครกินเข้าไปบ้างแต่ตอนวงเหล้าเลิกราหนังหมาย่างแผ่นนั้นหมดและหนึ่งคนที่มาทีหลังมีคณิตรวมอยู่ด้วย
ข่าวร้าย ๆ เกิดขึ้นจริงดังโกหก...
ใครจะนึกว่าขับรถยนต์ไปบนท้องถนนต้องคอยระวังระไว แทนที่จะเป็นวัวควายแพะแกะชาวบ้านกลับต้องระวังตาปูเรือใบ มันงอกเงยเหมือนดอกเห็ดได้ฝนขึ้นที่ไหนเมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ มีบางแห่งเจ้าหน้าที่ช่วยกันเก็บเหมือนเก็บดอกเห็ดไม่ให้เหลือแม้แต่ดอกเดียว แล้วใครจะนึกว่าวงเหล้าใต้เพิงต้นมะม่วงต้องเลิกร้างลงไปโดยปริยายเพราะข่าว เผา ยิง ระเบิดตามมาด้วยวางตาปูเรือใบ... ตกตอนค่ำไม่มีใครกล้าออกนอกบ้าน ไม่มีแม้นั่งสรวลเสเฮฮาตามริมทางยามเลิกงานอีก
เมื่อไม่นานมานี่คณิตกลับไปเยี่ยมบ้านที่ สงขลา ญาติคนหนึ่งของเขาเลี้ยงวัวหลายตัวเล่าให้ฟังว่าตอนนี้มีข่าวว่าแก๊งลักวัวผุดขึ้นมา จนตัวเขาเองต้องนอนนอกบ้านเฝ้าดูวัว เพราะโจรสมัยใหม่เล่นวางยาวัวแล้วจูงไปขึ้นรถยนต์ วัวกี่ตัวก็ตามสามารถจูงขึ้นรถยนต์ได้โดยง่ายดาย มันเชื่องเหมือนจูงเด็กขึ้นรถยนต์พาไปเที่ยว
เขาก็เคยได้ยินคนแก่เล่าว่าสมัยก่อนโจรขโมยวัวชุมมาก ถึงขนาดต้องนอนถือปืนเฝ้าวัวนอกบ้าน
"ตานีตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง" ญาติผู้มีวัวหลายตัวถามเขา
"เหนื่อยครับ ร้านรวงในตลาดปิดประตูตั้งแต่หัวค่ำ เมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมเองยังไม่กล้านอนในบ้าน ยอมนอนซุ่มสู้กับยุงนอกบ้าน"
ตอนคณิตย้ายมาอยู่อำเภอปะนาแระ ใหม่ ๆ เพื่อน ๆ เคยถามว่าเป็นไงบ้าง เขาบอกว่า ดีมาก ๆ ที่นี่มีทั้งคนไทยพุทธและมุสลิม ไม่มีปัญหาในการประกอบอาชีพ ดำเนินชีวิตประจำวัน อยู่ร่วมกันโดยสันติ...อำเภอปะนาเระ นี่แหละเป็นอำเภอของชาวบ้านที่นี่อย่างแท้จริงที่ยังคงใช้ชื่อเดิม ผิดกับอำเภอที่เกิดขึ้นใหม่ที่ทางฝ่ายปกครองพยายามตั้งชื่อใหม่ให้เป็นชื่อภาษาไทยสวยงาม เช่นอำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาสโดยทิ้งชื่อเดิมคำว่า คอลอกาเว ของชาวบ้านไปโดยสิ้นเชิง
ก่อนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิตานี แม่ของเขาเอ่ยว่า "ลูกควรระวังตัวให้มาก ๆ ได้ดูข่าวในโทรทัศน์ มีเรื่องฆ่ากันทุกวัน...คนพวกนั้นมันด้น"
คำว่าด้นของแม่คณิตคือดุ! นั่นเอง
สำหรับคืนนี้จริงไม่จริงคณิตไม่กล้าเสี่ยงนอนเฝ้าบนที่ว่าการอำเภอ เส้นทางเข้าตัวอำเภอไม่ใช่เส้นทางสายหลักจึงไม่มีป้อมยามหรือจุดตรวจแต่อย่างใด หากคนพวกนั้นยกขโยงมากันจริงก็สามารถผ่านหน้าโรงพักโดยสะดวก เขาก็อยากดูว่าคนพวกนั้นยิงถล่มตัวอาคารที่ว่าการอำเภอเพียงฝ่ายเดียวโดยไม่มีใครโต้ตอบ อย่างดีก็แค่กราดกระสุนทะลุฝาตัวอาคาร บานประตู บานหน้าต่างแตกกระจาย หรือไม่ก็ปาระเบิดสักลูกสองลูกแล้วขับรถหลบหนีไป ไม่มีใครกล้าเสี่ยงตามไล่ล่าเพราะเสี่ยงต่อการประทะกับตาปูเรือใบ อย่างดีแค่คอยเก็บกวาดตอนรุ่งเช้า
ป่านนี้คนโทรมาคงนั่งหัวเราะแหะ ๆ แต่เขาสิ คืนนี้ต้องเดือดร้อน หนีกลับไปนอนบ้านก็ไม่ได้เดี๋ยวก็โดนข้อหาละทิ้งหน้าที่...นอนใต้เพิงกล้วยทอดคงนอนไม่หลับ เดาว่าไม่มีแม้เงาผู้ก่อการร้ายตามคำท้าทายก็เดาไม่ถูก...
หากคนพวกนั้นยิงถล่มอำเภอแล้วหนีไปจริง ๆ เขาจะค่อยย่องไปยังที่ว่าการอำเภอแอบหลบอยู่มุมใดมุมหนึ่ง ทำเป็นว่าตัวเองกำลังปฏิบัติหน้าที่เวรยามอย่างแข็งขัน เท่านี้ก็คงรอดตัว ดีไม่ดีอาจได้ชื่อว่า 'วีรชนคนกล้า' และหากเขาทึกทักไปแจ้งโรงพักหรือแจ้งนายอำเภอให้ทราบเกิดคนพวกนั้นไม่มาล่ะ เขาไม่กลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะไปดอกหรือ...
ไม่ ! ต้องไม่กะโตกกะตาก ต้องไม่ตกเป็นเหยื่อคนพวกนั้น และไม่แพร่งพรายเรื่องโง่ ๆ ให้เสียเวลาหรอกเพราะมันเป็นเรื่องเสียโง่นี่น่า...การจะไปถล่มอำเภอหรือโรงพักไม่มีผู้ก่อการร้ายที่ไหนจะโทรไปบอกหรอก
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ประมาท รีบกลับไปอำเภอ เอาตาปูเรือใบในลิ้นชักหากคนพวกนั้นเกิดมาจริง ๆ จะได้ใช้ กลับมานั่งใต้เพิงกล้วยทอดอีกครั้ง ที่บ้านพักนายอำเภอไม่มีรถยนต์อยู่แสดงว่าท่านไม่อยู่ ที่พัก อ.ส. นั้นเงียบเชียบ พวกเขาคงออกตรวจท้องที่ที่หนึ่งที่ใดสักแห่ง
แสงไฟรถยนต์อย่างน้องสองคันส่อง สว่างจ้ามาแต่ไกล ลำแสงส่องยอดสนริมขอบรั้ว
นั่นล่ะ...คนพวกนั้นมากันแล้ว คณิตใจเต้นระส่ำระสาย...
ในที่สุดคนพวกนั้นก็มาจริง ๆ...
เขากำเอาตาปูในถุงพลาสติกโปรยบนถนนทีละกำ ๆ เพิ่งนึกจะโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจที่โรงพักแต่โทรศัพท์ไม่มี ไอ้เวร ! เขาสบถ เป็นข้าราชการระดับนี้แล้วยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้อีกช่างเชยจริง ๆ นึกจะวิ่งไปยังตู้สารธารณะใต้ถุนอำเภอก็ไม่ทันการณ์อีกแล้ว ไม่น่าทำให้เกิดเรื่องยุ่ง ๆ ขึ้นมาเลย ช่างเหมือนกับเอาไม้ไปแหย่รังมด ประเดี๋ยวยางรถยนต์คนพวกนั้นรั่วขึ้นมาจริง คนมาตั้งสองคันรถมีทั้งปืนระเบิดใครจะไปสู้มันได้ อ.ส.เฝ้าฐานสักคนก็ไม่มี แทนที่คนพวกนั้นกราดยิงที่ว่าการอำเภอแล้วขับรถหลบหนีไป กลับตาลปัตร หนีไปไหนไม่ได้ก็คงตั้งหน้าตั้งตาเผาให้มันวายวอดไปเสียเลย เขาไม่กลัวว่าอำเภอถูกเผาแล้วไม่มีที่ทำงาน เผาแล้วรัฐบาลก็ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ที่กลัวคือเรื่องมันไม่ลงเอยเพียงเท่านั้น เพราะกว่าตำรวจจะมา นึกถึงมดแดงที่แตกรังก็แล้วกัน ไม่มีใครคุมมันให้อยู่ในระเบียบได้ เผาอำเภอไม่พอกระจายกันไปเผาบ้านพักข้าราชการที่อยู่รายรอบก่อนแยกย้ายหลบหนีกันคนละทิศละทาง...ไม่น่าเลย ไม่น่าโปรยตาปูเรือใบให้เกิดปัญหายุ่ง ๆ แต่ถ้าหากคิดในมุมกลับ เขาก็ทำถูกต้อง เราเคยระวังระไวตาปูเรือใบผู้ก่อการร้าย แต่โดนคราวนี้ต่อไปผู้ก่อการร้ายต้องคอยระวังตาปูเรือใบเจ้าหน้าที่ ถือเป็นปฏิบัติการเชิงรุก
คณิตคิดได้แค่เพียงหนีออกจากเพิงกล้วยทอดไปให้ไกลแสนไกล แต่ความเร็วของรถยนต์ทำให้เขาหนีออกจากเพิงไปได้แค่นอนหมอบอยู่ใต้ต้นสนห่างจากเพิงเพียงเจ็ดแปดวาเท่านั้น
สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นตาลโตนด และท้องทุ่งนา คณิตหมอบติดกับพื้นเหลียวหน้ามองโรงพักไฟสว่างโร่ ที่นั่นยังไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แสงไฟรถของคนพวกนั้นขับผ่านหน้าโรงพักมาแล้วก็ตาม แสงจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องให้เห็นชนิดของรถยนต์ชัดขึ้น คันนำหน้าเป็นรถยนต์กระบะของ อ.ส . บนกระบะท้ายเต็มไปด้วยกำลังพล และคันหลังนี่สิเป็นรถยนต์ของท่านนายอำเภอเป็นรถยนต์กระบะสี่ประตู คันนำหน้าเหยียบตาปูเรือใบจนเกิดเสียงรั่วของลมรถเสียหลักลงคูข้างทาง และรถคันหลังไม่ต่างกัน กำลังทั้งหมดกระโดดลงรีบวิ่งออกจากรถกระจัดกระจายหาที่กำบัง บางคนกลิ้งตัวไปยังคูตรงฝั่งข้าม เสียงขึ้นลำปืนดังเกือบพร้อมกัน นายอำเภอเองซุ่มเงียบอยู่ในรถ เพราะนั่นมีเกราะกันกระสุนอยู่ มีแต่ผู้อารักขาเท่านั้นที่เปิดประตูออกมาพวกเขาวิ่งก้ม ๆ ขนานกับพื้นไปหลบคุ้มกันอยู่ห่าง ๆ คณิตมองเห็นการทำงานของฝ่ายตรงข้ามว่าเวลาเขาปฏิบัติการณ์ซุ่มโจมตีมันเป็นเช่นนี้เอง หากเขากราดยิงรับรองไม่ต่ำกว่าห้า...ตาย เขาเลิกสนใจกำลังที่ตอนนี้กระจัดกระจายไปทั่วแล้ว เขามุดศีรษะจนติดพื้นให้พ้นวิถีกระสุนเมื่อมีคนทำปืนลั่น อุทาหรณ์ทำปืนลั่นถูกพวกเดียวกันตายมานักต่อนักแล้ว เขาใช้ท้องคลานไปกับพื้นเหมือนตะกวดเลาะออกให้ห่างไปให้ไกลที่สุดเพราะจุดที่รถเสียหลักห่างจากเขาไม่มากนัก เสียงเท้าหนัก ๆ วิ่งเลยเขาไปหรือหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่รู้
เขาสงบสติ ให้พวกท่านตื่นตระหนกกันไปเถอะ ยามวิกาลเช่นนี้ไม่มีมือตาปูคนใดลุกขึ้นยืนบอกหรอกว่า ผมเองเป็นคนโปรยตาปูเรือใบ คนโง่เท่านั้นที่บอกเช่นนั้น อย่างดีหากเป็นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามป่านนี้คงแหลกละเอียดกันไปข้างหนึ่งแล้ว
สปอตไลท์จากรถยนต์กระบะคันหน้าหมุนไปรอบ ๆ แล้วมาจดจ่ออยู่ที่หน้าเพิงขายกล้วยทอด เงาของต้นสนช่วยบังไม่ให้เห็นเขา เมื่อไฟสปอตไลท์หมุนไปทางอื่น เขาเริ่มต้นคลานต่อไปแต่เหมือนมีเสาไม้กำลังยันไหล่ไม่ให้ขยับไปได้ เมื่อเพ่งพินิจกลับพบกับรองเท้าคู่ยักษ์กำลังหนีบคอเขาอยู่ ดิ้นจนหลุดเงยหน้าขึ้น ปรากฏชายร่างยักษ์กำลังยืนจังก้าอยู่ เขายื่นมือยักษ์ลงมากำคอเสื้อของเขาแล้วยกขึ้นให้ยืน ไอ้ร่างยักษ์ควักมีดออกมาปลายมีดแหลมคมเหน็บเข้าที่คอคณิต
ชายร่างยักษ์ตะโกนขึ้นว่า "เฮ เราจับแก๊งวายร้ายกวนเมืองผู้โปรยตาปูเรือใบไว้ได้แล้ว..."
คณิตระร่ำระลักบอกเช่นกัน "ไม่จริง มันโกหก...ผมคือคณิต เจ้าหน้าที่ปกครอง"
เสียงจากโทรโข่งดังขึ้น "เราไม่เคยรู้จักกัน..ใครกันคณิต"
"ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ปกครองที่นี่.คณิต คณิตเอง"
"อำเภอเราไม่มีเจ้าหน้าที่ชื่อนี้...ขณะนี้เจ้าหน้าที่เราล้อมไว้หมดแล้ว ยอมมอบตัวดี ๆ ตอนนี้นายทั้งสองเป็นแค่ลูกแมวสองตัวเท่านั้น"
ครู่ต่อมาชายร่างยักษ์กระแทกคณิตลงพื้น บ่นพึมพำแผนจับตัวประกันไม่สำเร็จ "ลูกแมวสองตัว มอบตัวเหรอ คนพูดเป็นใคร ชื่ออะไร"
ท่านนายอำเภอเพิ่งเปิดประตูรถยนต์ออกมา "เราคือนายอำเภอมนูญ แล้วนายล่ะเป็นใคร"
"ออ ท่านเองดอกหรือ เราคือเซ็ง ท่าน้ำ" เสียงย้อนตอบมา
เซ็ง ท่าน้ำคือโจรเรียกค่าคุ้มครองสมัยหนึ่งแต่เขาไม่น่าจะใช่เพราะว่าเขาได้ตายไปนานแล้ว
"นายไม่ใช่ นายไม่ใช่" นายอำเภอมนูญ ตะโกนลั่น "เซ็ง ท่าน้ำมีชีวิตอยู่เมื่อเกือบสามสิบปีที่แล้ว"
"ฮะ ฮา...นั่นล่ะคือเรา"
"นายพูดโกหกเพื่ออะไร? "
คณิตกลัวจนตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำว่าเซ็ง ท่าน้ำ จึงตะโกนไปว่า "ท่านเคยได้ยินนิทานเรื่องยักษ์ตนหนึ่งกับลูกแมวตาเปียกไหม?"
ทุกคนที่ได้ยินคณิตพูดรู้สึกงุนงงไปตาม ๆ กัน
มีใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า "นายคนนั้นพูดถึงเรื่องอะไร...ไม่รู้เรื่อง"
"ขอประทานโทษครับท่านนายอำเภอ ผมพลั้งปากไป ที่จริงผมจะพูดว่าผมเป็นลูกน้องของท่าน"
"อย่าพูดเรื่องตลก เราไม่เล่นตลกด้วยหรอก...เราไม่มีลูกน้องชื่อคณิตหรอก มอบตัวเสียดี ๆ"
ไอ้ร่างยักษ์ที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำได้ยินเพื่อนใหม่ของเขาพูดถึงนิทานเรื่องยักษ์ตนหนึ่งกับลูกแมวตาเปียก เขานึกถึงหนังตะลุงของแดะแมขึ้นมาทันที "เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะไม่รู้จักนิทานเรื่องยักษ์ตนหนึ่งกับลูกแมวตาเปียกเพราะหลังจากเราได้มอบตัวกับท่าน ท่านติดต่อรับหนังตะลุงแดะแมมาเล่นให้ดูเพื่อเป็นเกียรติและแสดงความจริงใจ"
"ยักษ์ตนหนึ่ง" นายอำเภอทวนคำ "แค่ยักษ์ตนหนึ่งในหนังตะลุงของแดะแมเอง"
"ท่านรู้จักนิทานเรื่องยักษ์ตนนั้นน้อยไปแล้ว มันไม่ใช่ยักษ์ธรรมดานะ แต่มันคือยักษ์ทานอาวุธ"
"นายพูดอะไรเราฟังไม่เข้าใจ"
คณิตตะโกนขึ้นอีก "ผมคือลูกน้องของท่านนะ"
"ไม่ใช่" ชายคนที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ ตะโกนบอก "เราสองคนเป็นพวกเดียวกัน ท่านอย่าไปเชื่อเพื่อนคนนี้ของเรา เขาพูดโกหกเพื่อเอาตัวรอด"
"ใช่นายพูดถูกต้อง" นายอำเภอกล่าว
ชายคนที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ พูดอีก "ท่านได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันที่ 24 ที่ผ่านมา * แล้วใช่มั้ย..."
"จำไม่ได้....มันนานมากจนเราลืมเลือนไปแล้ว แต่ตอนนี้นายมอบตัวเสียดี ๆ อย่าให้ต้องใช้กำลัง เราจะให้ความเป็นธรรมแก่นาย"
"การมอบตัวเอาไว้ทีหลัง...เซ็ง ท่าน้ำถูกสังหารโหดหลังจากเขาเข้ามอบตัว ข่าวนั้นเรียบ ๆ พอประมาณสัณฐาน ทว่าเบื้องหลังแท้จริงนั้นยังมีอะไรหลายอย่างขดเอาไว้ หลายครั้งผู้มีอิทธิพล ไม่ต้องบอกท่านก็รู้ว่าใครเป็นผู้มีอิทธิพล ชอบเอาชื่อเราไปแอบอ้างในการเรียกค่าไถ่ เรียกค่าคุ้มครอง เราต้องกำจัดผู้แอบอ้างการกระทำนั้นให้ได้...เราจึงติดต่อขอมอบตัวต่อท่านไง...นั่นละที่เราต้องพูดถึงเรื่องยักษ์ตนหนึ่งของแดะแมไงล่ะ"
แดะแมเล่นตลกกับตัวหนังตะลุงของเขาว่า
"มึงรู้จักกูน้อยไปแล้ว กูคือยักษ์ทานอาวุธนะ"
"มึงว่ากะไรนะ กูหูตึง"
"กูคือยักษ์ทานอาวุธ"
"ยักษ์มาหาหน่อปุดรึ."
"ฮาย...ยักษ์ทานอาวุธ กูแปลงร่างได้ทั้งนั้น"
"จริงรึ...ลองแปลงร่างเป็นเสือให้ดูทีดิ"
"ง่ายมาก คอยดู" ว่าแล้วยักษ์ทานอาวุธก็แปลงร่างเป็นเสือทันที
"เชื่อแล้ว แล้วอย่างอื่นล่ะมีไหม"
"เออ มี"
"รถยนต์"
"ไม่ใช่ เป็นสัตว์"
"งั้นลองแปลงร่างเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างเช่นเป็น...เอาลูกแมวตาเปียกก็แล้วกัน"
ว่าแล้วโดยไม่ลังเลยักษ์ทานอาวุธก็แปลงร่างเป็นลูกแมวตาเปียกทันที อีกฝ่ายที่ดูเชิงอยู่ก็กระโดดตะครุบคอบีบจนตายโดยที่เจ้ายักษ์ทานอาวุธไม่ทันได้ตั้งตัว
"นั่นมันเซ็ง ท่าน้ำ แต่นายไม่ใช่ นายเป็นแค่โจรกระจอกเที่ยวโปรยตาปูเรือใบให้เดือดร้อนไปทั่ว มอบตัวเดี๋ยวนี้ เราจะคุ้มครองนาย"
"ตอนนี้ ท่านอยากให้เราแปลงร่างเป็นลูกแมวตาเปียกนะรึ ไม่มีทาง"
"นายเฉไฉไปพูดเรื่องราวไร้สาระนั้นจนได้ ขอถามหน่อยเถอะ นายวางตาปูเรือใบสกัดเจ้าหน้าที่ เพื่อสิ่งใด" เสียงตะโกนด้วยความฉุนเฉียว
"ตาปูเรือใบเป็นของเรา แต่ลูกน้องของท่านเป็นคนโปรย และเขาก็เป็นเพื่อนของเรา"
"ไม่จริง" คณิตจำเป็นต้องโกหก
"ถามว่าทำไม.ทำไมไม่ตอบคำถามเรา"
"ก็ได้.เราต้องการดารุล-อิสลาม * กลับคืนมา" ชายคนที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำบอก
นายอำเภอเคยได้ศึกษาเรื่องแนวคิดเรื่องพวกนี้มาบ้าง ท่านรู้ว่ามันยังคลุมเครือในทรรศนะของกฎหมายอิสลาม มันเป็นแนวคิดของคนจำนวนน้อย มุสลิมส่วนใหญ่ไม่มีแนวคิดเช่นนี้ "เซ็ง ท่าน้ำ เป็นโจรเรียกค่าคุ้มครองไม่น่าจะมาเกี่ยวกับดารุล-อิสลาม"
"ใช่ พ.ศ.นั้นเราเป็นโจรเรียกค่าคุ้มครอง แต่เราก็แบ่งสันปันส่วนกันถ้วนหน้า ท่านก็รู้ดี"
"ไม่ใช่...เราไม่รู้ไม่เห็นเรื่องราวใด ๆ"
ชายผู้อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำ หมอบลง เขาปลดเป้บนบ่าออกนำชิ้นส่วนของปืนที่อยู่ในเป้ออกมาประกอบ เขาอยู่ในท่านอนตะแคง ไม่วายควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ กลางแสงไฟสปอตไลท์ท่านนายอำเภอเห็นควันบุหรี่เป็นวงกลม...คนสูบต้องเป็นคนใจเย็น ควันถึงจะลอยเป็นวงได้
เมื่อปืนเป็นรูปเป็นร่าง ปลายกระบอกชี้ขึ้นฟ้า เสียงดังขึ้นหนึ่งชุด เนื่องจากความเงียบของค่ำคืน เสียงจึงดังมากจนแสบแก้วหู ทุกคนหมอบลง ขึ้นลำกล้องเตรียมพร้อมเช่นกัน
เสียงของคณิตตะโกนขึ้นอีก "ท่านครับ ผมแค่ติดร่างแห ผมโดนกล่าวหาแท้ที่จริงผมเป็นลูกน้องของท่าน...พวกเดียวกับท่าน"
เสียงปืนเจ้าหน้าที่ดังขึ้น กระสุนพุ่งขึ้นฟ้า เจ้าหน้าที่บางคนขอไฟเซ็กจุดหรี่ พฤติกรรมแบบนี้ท่านเคยมี่ประสบการณ์ โจรและเจ้าหน้าที่ต่างยิงปืนขึ้นฟ้า จนทั้งสองฝ่ายพอใจแล้วต่างฝ่ายต่างล่าถอยกันไปโดยไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำ เจ้าหน้าที่รายงานหน่วยเหนือประทะผู้ก่อการร้ายจนล่าถอย...ครู่หนึ่งมีเสียงตะโกนในหมู่เจ้าหน้าที่ว่า "เฮ้ย ดูนั่น...ไอ้นั่นมัน!"
ชายที่อ้างตัวเองว่าเซ็ง ท่าน้ำดีดบุหรี่ออกจากนิ้วแล้วลดกระบอกปืนลง เขาตะโกนขึ้นว่า "แต่ตอนนี้ พ.ศ. นี้ไม่ใช่แล้ว"
"อุว่ะ! แบ่ง! ทำเล่นลิ้น"
เมื่อกระบอกปืนลดลงขนานกับพื้นผู้ที่อ้างตัวเป็นเซ็ง ท่าน้ำหันปลายกระบอกปืนเล็งไปทางเจ้าหน้าที่
กำลังพลซึ่งเป็นลูกน้องของท่านนายอำเภอกล่าวตะโกนขึ้นว่า "ท่านครับ ไอ้นั่นมันหันกระบอกปืนมาทางเรา ท่านครับ ๆ มันกล้าเล่นกับเราแรง ๆ"
นายอำเภอตะลึง "นั่นนายกำลังทำผิดสัญญาแล้ว.ไหนว่าเราจะไม่ยิงกัน"
"สัญยงสัญญาเมื่อสามสิบปีที่แล้วนะรึ มันหมดอายุไปนานแล้ว...เปอเด้! ยิง"
เสียงปืนจากชายที่อ้างตัวเองว่าเป็นเซ็ง ท่าน้ำดังขึ้น
"ถ้านายต้องการเช่นนั้น...ก็ได้ เปอเด้!...ยิง!"
และเสียงปืนจากทั้งสองฝ่ายดังขึ้นพร้อม ๆ กัน
เปอเด้!...ยิง!
เชิงอรรถ * ข่าวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2519 : ข่าวระบุไว้ว่าเซ็ง ท่าน้ำ ถูกสังหารโหดด้วยฝีมือฆาตกร เอ็ม.16 กลุ่มหนึ่ง หลังจากนั้น นายมะแอ ตีมุง,นายบาราเฮง เจ๊ะฮะ และ อ.ส.เจ๊ะดอเลาะ เต๊ะ ซึ่งเป็นคนร้าย ได้ติดต่อกับนายมนูญ ชูเสน่ห์ นายอำเภอปะนาเระ ขอมอบตัว *ดารุล-อิสลาม : ในอดีตดินแดนส่วนหนึ่งของมุสลิมในฟิลิปินส์และไทย เป็นดินแดนอิสลาม เมื่อผู้ที่มิใช่มุสลิมตีได้ดินแดนดังกล่าว ดินแดนเหล่านี้จึงมีฐานะคลุมเครือจากทรรศนะของกฎหมายอิสลาม
อนึ่ง(ผู้เขียน): สำหรับขบวนการที่มีลักษณะบ้าคลั่ง น่าจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเพิ่มความวุ่นวาย หรือสร้างปัญหาให้มากขึ้นนั่นเอง และลักษณะแบบนี้ ไม่น่าไว้ใจประเทศมหาอำนาจ เพราะคำว่าบิดเบือนคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ต้องไม่มาจากมุสลิม!