เรื่องสั้น
ลมเปลี่ยนฤดู
ลมเปลี่ยนฤดู
อุรุดา โควินท์
บ้านชั้นเดียวสีขาว คล้ายจะซ่อนตัวในสวนร่มรื่น อย่างกับสาวน้อยผู้เอียงอายเพราะอ่อนเดียงสาต่อโลก บ้านหลังใหญ่เพียงพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสบายนี้ คือบ้านที่แพรวาถือกำเนิด เติบโตและเรียนรู้ความเป็นไปในชีวิต...
"จะเอายังไงอีกแพร กว่าจะฝากงานให้แกได้ ฉันต้องบากหน้าไปขอร้องคนอื่นเขา ฉันหวังดีกับแกนะ"
"แต่แพรไม่ชอบงานนี้นี่ แพรหางานได้แล้ว ให้แพรไปทำเถอะค่ะ"
"แกไม่ชอบงาน หรือไม่อยากอยู่กับฉันกันแน่"
แพรวาจดจำเหตุการณ์ที่จบลงด้วยน้ำตาของแม่ได้ดี หล่อนไม่ได้โต้เถียงรุนแรง แต่ยืนกรานว่าจะเดินทางไปทำงานจังหวัดอื่น ห่างจากบ้าน ๓ ชั่วโมง ด้วยการเดินทางโดยรถยนต์
"มันเป็นงานที่ใฝ่ฝันมานาน ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ" แพรวาชี้แจงเหตุผลสั้นๆ
ยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่า หล่อนได้แต่เก็บงำเอาไว้ในใจ...กระนั้น ผู้เป็นแม่ยังล่วงรู้ด้วยสัญชาตญาณ
"แกไม่อยากอยู่กับฉัน เหมือนพ่อของแก" น้ำตาแม่รินเป็นทาง
แพรวาไม่แน่ใจ ว่าเป็นน้ำตาของความเคียดแค้น หรือความน้อยใจ
ต้นเฟื่องฟ้าหน้าบ้านแทงยอดใหม่หลายยอด ทำให้เสียงรูปทรงที่แพรวาเคยเฝ้าจัดแต่ง ทั้งงามแต่ใบ ไม่ยอมออกดอกให้เชยชม เพราะรดน้ำมากไป หล่อนยืนมองต้นไม้ด้วยความหงุดหงิด เคยบอกกี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าให้น้ำเฟื่องฟ้ามาก แล้วยังกล้วยไม้ในโรงข้างบ้านนั่นอีก ไม่มีใครให้ปุ๋ยให้ยา ดูทรุดโทรมไม่งามเหมือนเดิม
"แกก็กลับมาดูบ่อยๆ สิ อะไรกันอยู่ใกล้แค่นี้ กว่าจะกลับบ้านแต่ละที ต้องโทร.ไปอ้อนวอน"
แม่คงพูดเช่นนี้ หากแพรวาเอ่ยถึงต้นไม้...จริงดังแม่ว่า หล่อนเองเป็นฝ่ายจากไป ทั้งที่ยังรัก ยังห่วงใย
หัวจิตหัวใจคนมันซับซ้อนเหลือเกิน ทั้งรักและห่วงใย แต่ทำไมยังไม่พอ
"แม่จ๋า ลูกกลับมาแล้ว คิดถึงจัง" แพรวาร้องตะโกนในใจ บ่อยครั้งอยากเอื้อยเอ่ยให้แม่ได้ยิน แต่ช่างยากเย็นนัก
ประตูกระจกหน้าบ้านฝืดและหนัก แพรวาต้องใช้สองมือออกแรงเลื่อน พยายามให้นิ่มนวลที่สุด ยังวายเกิดเสียงดัง ปัง! เมื่อประตูกระแทกผนัง
"ค่อยๆ เปิดหน่อยไม่ได้หรือไงยะ หลานตื่นเลยเห็นมั้ย...แกก็เหลือเกิน หลานเกิดมาจนจะ ๓ เดือน เพิ่งโผล่หน้ามาดู นี่ถ้าไม่ให้น้องโทร.ไป แกจะมามั้ย"
แพรวนับ ๑ ถึง ๓ ในใจ แล้วบังคับเสียงให้ปกติ "แพรไม่คอยมีเวลาค่ะ"
"ไม่มีเวลาเทียว หรือเวลาทำงานล่ะ" ผู้เป็นแม่ประชดประชัน แพรวาได้ยินมานับร้อยนับพันครั้ง...เหตุใดหล่อนจึงไม่อาจทำใจให้คุณชิน?
แพรวาวางกระเป๋าเดินทาง นั่งพิศใบหน้ากลม คางยุ้ย ซึ่งยามนี้บิดเบี้ยวเพราะร้องไห้งอแง เจ้าหลานชายตัวน้อย...ชีวิตใหม่ที่เกิดจากน้องสาวของหล่อน
ดวงตาเล็ก ใสบริสุทธิ์ ราวหยาดน้ำค้าง แขนอ้วนป้อมสองข้างชูขึ้น คล้ายกำลังโหยหาอ้อมกอดอบอุ่น แพรวาค่อยๆ วางนิ้วลงบนฝ่ามือน้อย ขาวสะอาด รู้สึกถึงความนวลเนียนยิ่งกว่าสัมผัส
"ตายแล้ว เล็บยางอย่างนั้น อุ้มหลานได้ยังไง มานี่ ฉันอุ้มเอง" ผู้เป็นแม่โวยวาย เมื่อเห็นแพรวาทำท่าจะอุ้มหลาน
แพรวายกมือขวาขึ้นมาดูเล็บยาว สีน้ำตาลปนส้ม ที่หล่อนคอยตะไบให้เข้ารูปและหมั่นเปลี่ยนสีให้เข้ากับเสื้อผ้า
"งั้นไปอาบน้ำดีกว่า" แพรวายักไหล่ แล้วหิ้วกระเป๋าเดินเข้าห้องนอนเดิมของหล่อน
ผู้เป็นแม่มองตามอย่างอิดหนาระอาใจ ลูกสาวคนโตของหล่อนยังไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หล่อนทั้งเป็นห่วง และคิดถึง ลูกผู้หญิงตัวคนเดียวอยู่ไกลบ้านอย่างนั้น...แต่จะทำอย่างไรได้ เคยห้าม เคยปราม ก็ไม่เป็นผล ได้แต่โทษตัวเองที่เลี้ยงลูกไม่เป็น
หล่อนมีลูกสาวสองคน วัยไล่เลี่ยกัน แพรวากับใยไหม ทั้งสองเติบโตเป็นหญิงสาวคนละแบบ ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย นอกเสียจากความดื้อรั้น เอาแต่ใจ
"คือความเป็นตัวของตัวเอง" ลูกสาวทั้งสองว่าอย่างนั้น
"เจ้าตัวเล็กนี่ล่ะ ดื้อรึเปล่า ไม่ดื้อเนอะ หลานยาย" หล่อนกระชับอ้อมแขนที่อุ้มหลานให้แน่นขึ้น หอมแก้มฟอดใหญ่
"หน้าเหมือนใครหว่า" หล่อนถามตัวเอง แต่แล้วก็ได้คำตอบเดิมทุกครั้ง
"เหมือนแม่มันนะสิ จะเหมือนใคร"
หลานยายคนแรก ทำให้ชีวิตวัยห้าสิบกว่าของหล่อนมีชีวิตชีวาขึ้น หลังจากใยไหมลูกสาวคนเล็กออกเรือน หล่อนก็อยู่เพียงลำพังกับคนใช้เก่าแก่ บ้านหลังใหญ่ดูเหมือนใหญ่และกว้างขึ้นทุกวัน มองไปทางไหนก็มีแต่ความว่าง และความเงียบ
หล่อนเคยปวดหัวกับเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง ระหว่างลูกสาวทั้งสอง อุปนิสัยที่แตกต่างบวกกับความดื้อรั้น ทำให้ลูกสาวไม่ค่อยลงรอยกัน ยังรวมถึงตัวหล่อนเองด้วย
หล่อนเคยเอื้อมระอากับความประพฤตินอกลู่นอกทาง ไม่ได้ดั่งใจของลูกๆ ซึ่งสร้างความผิดหวังให้หล่อนครั้งแล้ว ครั้งเล่า
ช่างประหลาดเสียจริง หล่อนกลับหวนระลึกถึงคืนวันเหล่านั้นบ่อยครั้ง และร่ำร้องให้หวนคืน
มันคงดีกว่า ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว
"โอ๋ เดี๋ยวแม่ก็กลับถูก แม่ไปธุระน่ะ" หล่อนปลอบหลานชาย ผิวกายของเด็กทารกชวนให้นึกถึงวันแรกของการเป็นแม่ หล่อนปลาบปลื้มดีใจจนน้ำตาไหล เมื่อรู้ว่าได้ลูกสาวสมใจ และยินดีเป็นสองเท่า เมื่อได้ลูกสาวอีกคนในสองปีถัดมา
แพรวากับใยไหม เป็นเด็กสดใสร่าเริง ช่างประจบ ใครต่อใครต่างเอ็นดูรักใคร่ โดยเฉพาะแพรวา ผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกับพ่อ จึงเป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา...
ไม่คิดเลย เพราะผู้หญิงคนเดียว เขาทิ้งทั้งลูก ทั้งเมีย ได้ลงคอ
หล่อนนึกภาพสามีหิ้วกระเป๋าใหญ่เดินออกจากบ้าน มีลูกสาววัยรุ่นสองคนมองตามด้วยดวงตาฉ่ำชื้น...
เขาทำได้อย่างไร?
เวลาผ่านพ้นสิบกว่าปี หล่อนไม่เคยลืมเลือนความทรงจำอันปวดร้าวนั้นได้
"แม่ ลูกไหมเป็นยังไงบ้าง" ใยไหมร้องถาม ตั้งแต่ยังเดินไม่ถึงประตู ห่างกันเพียงแค่นี้ หล่อนเป็นห่วงลูกน้อยแทบขาดใจ
"ร้องไห้รึเปล่าแม่" ใยไหมรับตัวลูกชายมาอุ้ม
"งอแงนิดหน่อย คงหิวนมน่ะ"
"เดี๋ยวกินนมก็หลับนะจ๊ะ ลูกแม่เลี้ยงง่ายจะตายไป" ใยไหมทำเสียงเล็กเสียงน้อยคุยกับลูกชาย
"เลี้ยงง่ายกว่าแกเยอะเลย" สายตาที่มองหลานชายและลูกสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา
ใยไหมไม่ได้เห็นสายตาเช่นนี้มานานเต็มที นับแต่พ่อจากไป ใยไหมเคยคิดว่าความปวดร้าวที่พ่อให้ไว้ ทำลายศรัทธาต่อความรักของแม่จนหมดสิ้น
ใยไหมเพิ่งรู้ว่าหล่อนผิด คิดผิดมาตลอด
"ความรักมันไม่ยั่งยืนหรอกนะไหม เลือกคนที่จะดูแลแกได้ดีกว่า" แม่พร่ำสอนตั้งแต่ใยไหมเริ่มคบเพื่อนชาย เริ่มมีความรัก
ผู้ชายที่หล่อนเลือกด้วยหัวใจ จึงไม่ใช่คนที่แม่ยอมรับ
"ดูพ่อแกเป็นตัวอย่างเถิดนะ พอหมดรักแล้วเป็นยังไง ไม่เคยเหลียวแลลูก - เมีย ถ้าฉันไม่มีสมบัติของตา คงเลี้ยงพวกแกไม่ได้อย่างนี้หรอก"
ทั้งหว่านล้อม ทั้งดุด่า ใยไหมยังยืนยันคำเดิม หล่อนจะแต่งงานกับชายคนรัก
"จนกรอบอย่างนั้น อีกหน่อยมันทิ้งแกจะทำยังไงฮึ" นี่คือเหตุผลสำคัญของแม่
"ไหมจะแต่งงานกับคนที่ไหมรักเท่านั้น" มันคือเหตุผลของหล่อน
ข้อขัดแย้งครานั้นยุติลง เพราะคำถามของใยไหม
"ทำไมแม่ถึงให้คุณค่าของเงินมากกว่าความรัก?"
เสียงแก้วน้ำแตกกระจายบนพื้น คือคำตอบจากแม่
"มาแล้วเหรอ คุณแม่คนใหม่" แพรวาปรากฏตัวต่อหน้าน้องสาวพร้อมกลิ่นกายหอมกรุ่น และอารมณ์แจ่มใส หลังจากอาบน้ำนานเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นนิสัยประจำตัวของหล่อน
"เห็นหลานรึยัง" ใยไหมเอ่ยถาม ด้วยน้ำเสียงหวานเจือความภาคภูมิ ขณะอุ้มลูกชายเดินวนรอบห้องช้าๆ
แพรวาเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของน้องสาวอย่างละเอียดลออ ราวกับนางฟ้ากำลังร่ายรำ...หล่อนเห็นเช่นนั้น
ดวงหน้าของใยไหมปราศจากเครื่องสำอางใด หากผุดผ่อง สดใน เรือนร่างที่เคยผอมบาง กลับมีทรวดทรงขึ้น ดูมีน้ำมีนวลผิดตา ดวงตาเรียวนั้นเล่า...เปล่งประกายดุจเดียวกับเพชรเม็ดงามยามต้องแสงไฟ
"แพรวาไม่เคยเห็นความสะสวยของน้องสาวมาก่อน จนกระทั่งวันนี้ ใยไหมดูงดงาม หมดจด และอ่อนหวานยิ่งนัก...แพรวาเห็นด้วยความรู้สึก มิใช่สายตา
อย่างกับว่า น้องสาวที่ดื้อรั้น แข็งกระด้าง เด็ดเดี่ยวเหมือนผู้ชายได้จากหล่อนไปแล้ว เหลือเพียงหญิงสาวอ่อนโยนตรงหน้า
"เลี้ยงยากมั้ย" แพรวถาม
"ไม่หรอก ลองอุ้มดูสิ" ใยไหมก้าวเข้ามาชิดตัวพี่สาว แล้วค่อยๆ ส่งเด็กน้อยสู่อีกอ้อมแขนหนึ่ง
ใยไหมหัวเราะท่าทางเก้ๆ กังของพี่สาว ยิ่งแพรวาพยายามมากเท่าไร เจ้าหลานชายก็ยิ่งดิ้นมากขึ้น
"โอ๋ ป้าอุ้มหนูไม่เป็น เลยอึดอัดสินะ มา มา แม่จะช่วย" ใยไหมช่วยวางมือทั้งสองของพี่สาวให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
"อยู่กับป้านะ ให้แม่เค้าพักบ้าง" แพรวารู้สึกประดักประเดิกกับคำว่า ป้า มันทำให้หล่อนรู้สึกแก่ขึ้นมาก
"แต่เจ้าตัวเล็กนี่ช่างน่ากอดนัก น่ารักน่าชัง เหมือนใครก็ไม่รู้" แพรวารำพึงในความรู้สึก
"อุ้มดีๆ สิแพร อย่ารัด หลานจะอึดอัด" ผู้เป็นยายร้องลั่น ทันทีที่เห็นหลานชายอยู่ในอ้อมแขนลูกสาวคนโต
"แล้วเล็บยาว..."
ยังไม่ทันรอให้แม่พูดจบ แพรวาชิงตอบเสียก่อน
"แพรตัดเล็บแล้ว ตอนอาบน้ำ"
หล่อนแย้มยิ้มจากจิตใจอันเบิกบาน ไม่บ่อยนักที่ลูกสาวสองคนจะอยู่พร้อมหน้า แถมยังกลมเกลียวผิดปกติ โดยเฉพาะแพรวา ถึงกับลงทุนตัดเล็บที่เจ้าตัวหวงนักหนา ผิดวิสัยถือดีและชอบเอาชนะ ซึ่งติดตัวมานาน จนแก้ไม่หาย
"เป็นเพราะหลานยายแท้เชียว" หล่อนครุ่นคำนึงอย่างเป็นสุข
ยามบ่ายคล้อย สายลมพัดพาไออุ่นมาแทนที่ความเหน็บหนาว บ่มเมล็ดพันธุ์ เพื่อรอการผลิกล้ายามฝนโปรย...แพรวานั่งบนพื้นหญ้าใต้ต้นลิ้นจี่ ปล่อยให้สายลมลูบไล้ผิวกาย หมายจะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่กำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
จากฤดูหนาว เป็นฤดูร้อน เป็นฤดูฝน...หมุนเวียนไม่จบสิ้น
บ้านสีขาวหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในสวนแห่งนี้ เคยมีแต่ฤดูหนาวอันยาวนาน นานเสียจนแพรวาคุ้นกับความหนาว และชินกับความสลัวราง
แพรวาก้มลงมองเล็บลั้นของตัวเอง แล้วยิ้มให้ริ้วแห่งสายลมอย่างเอ็นดู|
"ฤดูกำลังเปลี่ยน" หล่อนบอกตัวเอง