เรื่องสั้น

"ข้าวซาวมือพ่อ"

by 2 @November,14 2006 21.20 ( IP : 58...100 ) | Tags : เรื่องสั้น

"ข้าวซาวมือพ่อ"

โดย วรภ วรภา

เสาร์สุดสัปดาห์ ผมพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมหมู่บ้านริมทะเล ป่าชายเลนสองข้างถนนราดยางเข้าหมู่บ้าน บรรยากาศแปลกใหม่ที่พบเห็นสร้างความตื่นเต้นให้ลูกๆของผม และสร้างความรู้สึกอิ่มใจแก่ผมต่อการเดินทางกลับมาตามหาสูตรข้าวของพ่อ

บ้านเดิมซึ่งคงเค้าบ้านเก่าอยู่เพียงน้อย ถูกต่อเติมชานด้านหลังยื่นออกไป เป็นชายมุงหลังคากระเบื้อง อาจจะคนนั่งได้สิบกว่าคน มีโต๊ะไม้เป็นจุดวางอยู่มุมหนึ่ง มีม้าโยกวางอีกมุม พ่อบอกว่าชอบมานั่งตรงนี้เพื่อรับลมสบายๆและดมกลิ่นทะเล

เที่ยงนี้ ผมได้ดมกลิ่นทะเลกับพ่อ...ช่วงน้ำหลาก น้ำทะเลหนุน ชานหลังบ้านสูงกว่าระดับน้ำเพียงแค่ฝ่ามือเด็กๆ ลูกผมกับลูกอ้ายปลาราปูลงไปเล่นน้ำทะเล อึกทึกหวีดว้ายของลูกสาวคนโต เสียงกรีดกรี๊ดของเจ้าตัวเล็กและเสียงตูมตามกระทุ่มน้ำกแกล้งของเจ้าคนกลางกับหลาน ทำให้ผมมองรำลึกภาพของตนเองและพี่น้องในวันวัยเช่นเดียวกันซัดแจ่มอยู่ลึกลงไปกว่าตาเนื้อ

ใต้ร่มปีปีเดียวกันนี้ เราต่างเคยกระทุ่มน้ำเล่นเช่นนี้-ระหว่างรอพ่อกลับจากทะเล ปางคบปีปีนั้นผมเคยปีนขึ้นไปแล้วโจนลงใกล้ๆพี่สาวเพื่อให้น้ำแตกสาดเข้าหน้าเธอ...ตรงคบเตี้ยๆเรี่ยน้ำนั้น ผมเคยแกล้งปล่อยให้น้องนั่งตะเบ็งร้องเพราะจะกระโดดลงก็ไม่กล้า-แล้วกิ่งไหนนะ ที่ผมปีนขึ้นไปเอาเชือกป่านเส้นใหญ่ๆผูกไว้โหนโยนตัวลิ่วลงน้ำ หรือมันจะเปื่อยผุซะแล้ว

เมื่อพ่อแล่นเรือกลับมาถึง ผมกับพี่สาวจะโผเข้าเกาะกราบเรือทิ้งน้องให้โวยวายอยู่ตรงนั้น แม้พ่อดับเครื่อง หากแรงส่งก็จะพาเรือล่องลิ่วๆไปข้างหน้า ร่างของเราจะฟ่องลอดคู่ไปกับลำเรือรู้สึกราวสามารถเหาะเหินอากาศด้วยฤทธิ์มหัศจรรย์เช่นที่เคยเห็นในหนังปานนั้น

ขณะพ่อขนถ่ายเข่งปลาส่งให้แม่ลากขึ้นชานบ้าน น้องจะลุกลนโผว่ายเข้ามาเกาะเรือ เราจะแกล้งน้องซ้ำสองโดยใช้เท้าถีบดันท้องเรือพุ่งสวนทาง ทิ้งให้น้องเกาะเรือแต่ลำพัง กว่าจะตั้งตัวได้ผมกับพี่สาวก็ถึงร่มปีปีนั้นแล้ว

ในช่วงเวลาของลูกๆผม ไม่มีเชือกให้โยนตัวลงน้ำ ไม่มีเรือให้เกาะกราบ บนปางคบปีปีไม่มีเด็กน้อยปีนขึ้นแล้วกระโจนลง เพราะเด็กเมืองเช่นลูกผมไม่มีความหาญกล้าพอ

เพราะพี่น้องและผมเป็นลูกของคนทะเล หากแต่ลูกๆของผมมีพ่อเป็นข้าราชการ

ผมทอดร่างคว่ำทาบริมาชาน เอื้อมมือลงกวัดแกว่งผิวทะเลเล่น รู้สึกอุ่นชื่นวาบถึงหัวใจ ปลาตีนโคนเสาใกล้ๆกระโจนหนีจอมๆๆไปเกาะที่อีกเสา จ่อมจมตัวใต้น้ำโผล่แต่ตาโปนๆเล็งภัย ดูน่าตลกในตื่นกลัวนั้น ผมแกว่งมือแรงขึ้นจนน้ำทะเลบางหยดกระเซ็นเข้าปาก รสเค็มคาวขื่นลิ้น

นี่คือรสทะเล คือกลิ่นน้ำเค็ม...

เสาร์สุดสัปดาห์หลายหน สมาชิกครอบครัวชักชวนผมไปเที่ยวในเมืองใหญ่...

ลูกๆของผมสนุกกับการช่วยกันปรุงสุกี้ในหม้อไฟฟ้าขนาดครอบครัวพ่อแม่และลูกสามเช่นเราใช้เวลากินหมดต้องสองมื้อ เสียงหัวร่อเริงร่าผสานเสียงรื่นรมย์จากโต๊ะอื่นแข่งประชันกับเสียงเซ็งแซ่โฆษณาสินค้า เสียงอึทึกจากผู้คนที่ขวักไขว่ซื้อหาต่อรอง

อาจมีเพียงผมที่ไม่รู้สึกรื่นรมย์ไปด้วย-ในนามของครอบครัวทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเค้นบังคับให้มาเพื่อกินกลืนยุคสมัยร่วมกับความต้องการของเหล่าคนที่ผมรักทั้งที่ไม่มีใจอยาก

หลานเสาร์ที่เป็นเหมือนพลังฉุดลากผมให้ห่างไกลออกจาก "บ้าน" ดั้งเดิมของผม

...บ้านของเราอยู่บนเกาะเล็กๆชายฝั่งทะเลช่องมะละกา ผืนป่าชายเลนและสายคลองเล็กใหญ่ขวางกั้นเราให้รู้สึกเหมือนคนละฟากฟ้ากับชาวแผ่นดินที่เราขนาดนามว่าพวกดอน ชาวแผ่นดินที่มักเยาะเย้าเราว่าชาวเลอยู่เสมอมา...

ผมหันมองไปรอบๆบ้านหลังเล็กที่ถูกกั้นแบ่งส่วนอยู่ในบ้านหลังใหญ่ซึ่งเรียกขานกันในนาม Super Market ผู้คนนั่งกันอยู่เต็มทุกโต๊ะ ดูคล้ายมวลญาติซึ่งเดินทางมาชุมนุมกันในเรือนครัว-แม้มิได้เกิดร่างมาจากรากรกเดียวกัน หากจิตวิญญาณล้วนก่อเกิดมาจากโพรงครรภ์ของยุคสมัยเหมือนๆกันทั้งสิ้น จิตวิญญาณที่เหมือนกัน หากมิได้เกาะเกี่ยวสัมพันธ์กันเลยแม้นิด

เด็กๆในยุคลูกของผมจึงมี "บ้าน" เช่นนี้อยู่มากมายทุกทั่วระแหง

หรือเยี่ยงนี้จึงจะเป็นบ้านอันแท้จริงของคนชั้นกลางเช่นเรา

มันทำให้ผมนึกถึง "บ้าน" ของคนระดับโคลนเลน-คิดถึงบ้านที่ปลูกอยู่ชายฝั่ง คิดถึงพี่น้องที่ร่วมอู่ครรภ์ ร่วมกระแสจิตวิญญาณ และพ่อ ชายประมงผิวหยาบกร้าน ณ หมู่บ้านริมทะเล

ผมคิดถึงเวลาข้าวซาวของเรา

ผมยืนชิดโต๊ะ สองมือกุมขอบจานไม้แนนเพราะรู้ว่าพี่สาวกับเจ้าน้องชายผมก็ไม่ต่างกัน น้องชายผมมักเรียกมันว่าอ้ายปลาราปู ค่าที่แข้งเข่าของมันมักจะเน่าเปื่อยอยู่บ่อยๆ เมื่อแผลแห้งหายจึงเกิดรอยด่างดำเป็นจ้ำเต็มท่อนขาทั้งสอง เห็นแล้วทำให้ผมนึกถึงลายลำตัวของปลาเก๋าขึ้นมา มันจึงสมควรถูกเรียกว่าปลาราปู...อ้ายปลาราปูที่คอยแต่จะแย่งชิงข้าวชาวไปจากมือผม แล้วผมหรือจะยอม พ่อจึงขยำคลุกซาวข้าวท่ามเสียงอึกทึกยื้อยึดของเราด้วยรอยยิ้มละไม

ลูกๆเพลิดเพลินการปรนปรุงแจกจ่ายให้คนโน้นคนนี้ มันทำให้ผมสนเท่ห์ เมื่ออยู่บ้านอย่าว่าแต่ช่วยทำกับข้าวกับปลาเลย แม้เกาะขอบโต๊ะก็ยงไม่เคย

หรือนี่คือเสน่ห์ของครัวสมัย หรือนี่คือมนต์ขลังรสชาติแห่งห้วงยุค หรือนี่คือโอชะอันผูกตรึงลุ่มหลงของผู้คน

พวกเขากระตือตือร้นผลัดกันหยิบฉวยนั่นนี่ที่ทางร้านหั่นเตรียมใส่ลงในหม้อไฟ ง่ายๆรวดเร็ว-วิธีที่ทันใจทุกคน มากพอที่จะตักแบ่งเฉพาะตัว ไม่ต้องแย่งกัน ไม่แย่งกันเหมือนเรา

สุดท้ายของพิธีกรรมซาวข้าว อ้ายปลาราปูจะเบียดแทรกเข้ามาระหว่างพ่อกับผม เขย่งเอื้อมมือคว้าหมับเกาะกุมขอบจานไขว้มือผม พร้อมตะเบ็งร้อง เค้นน้ำตาช่วงชิงใส่หน้าผม

"หิว...หิว...จะกินข้าว..."

ผมรู้สึกเหมือนถูกปลาเก๋าดอกเกลื้อนตุบตอดเข้าที่หัวใจ ไม้ตายของมันมักได้ผลเสมอ หากผมยังพยายามยุคแย่ง สองมือกำเกร็ง แอ่นสะโพกดันเข้าปลาหัวทุยให้ออกไป

"ไม่ให้...ไม่ให้...ของกูนเว้ย" ผมตะโกนใส่หัวขี้อิจฉาของมัน

"เอาละๆ..." พ่อเอื้อมดึงจานข้าวไปจากเรา "พ่อยังซาวข้าวไม่เสร็จเลย ก่อนกิน พ่อต้องเสกคาถาก่อน"

คำ "คาถา" ทำผมกับน้องหยุดนิ่ง บอกกันต่อๆว่าคาถาของปู่ศักดิ์สิทธิ์นัก ขนาดปู่เดินตกบ่อน้ำซึ่งพื้นล่างเป็นแง่หินเหลี่ยมแหลมคม แม้รอยขีดสักเส้นยังไม่อาจแผ้วพาน พ่อเป็นลูกชายคนเดียว ปู่จึงยกตำราคาถานั้นให้ร่ำเรียนและเป่ากระหม่อมให้ก่อนตาย

"พ่อไม่ได้กินข้าวเปล่า" พ่อมักบอกลูกๆอย่างนั้นเสมอ

ผมไม่รู้ว่า นั่นเป็นเรื่องที่พ่อพูดเล่นๆหรือพ่อทำจริงๆ หากผมก็ศรัทธาสนิทใจ-คนบ้านเราไม่ได้กินข้างเปล่าๆ

ผมพยายามมองให้เห็นว่านั่นคือการละเล่น "หม้อข้าวหม้อแกงลิง" ของเด็กยุคใหม่ หม้อข้าวหม้อแกงลิงที่ใช้หม้อจริงแทนกะลา ใช้เส้น ใช้ผักจริงแทนใบไม้ใบหญ้า ใช้ความร้อนจริงๆแทนภาพจินตนาการและสามารถกินได้จริงๆแทนท่า "อ้ำๆ" แล้วเททิ้ง

ทุกๆครั้งที่มาที่นี่ ลูกๆของผมจะสนุกเพลิดเพลินกับการเล่นเช่นนี้อยู่เสมอ

ผมตักน้ำใสๆในถ้วยเล็กจ่อปากสูดชิม จืดไป...เลือกหยิบเครื่องปรุงในกระปุกทรงแปลกๆ หากดูสวยสง่ามาเขย่าเหยาะ น้ำปลานิด พริกน้ำส้มหน่อย เว้นน้ำปรุงสูตรชื่อเฉพาะของร้านที่ผมไม่ถูกกลิ่นถูกรสเลยเสร็จแล้ว จิบชิมอีกที...พอใช้ได้แล้ว

แม้นจะ "พอใช้ได้" แต่ผมก็ไม่เคยประทับใจในโอชะของมัน ในรู้สึกของผมยังไงๆมันก็เป็นรสที่สู้กับรสข้าวซาวมือพ่อไม่ได้เลย

ข้าวซาวสูตรง่ายๆหากอิ่มเอมด้วยหัวใจของพ่อ

มือหยาบกร้านหนาสากของพ่อค่อยๆบิแบะเนื้อปลา หยิบเรียวก้างเล็กๆออกทิ้ง นิ้วทู่ๆเทอะทะกับก้างขาวใสบอบบางเป็นภาพเน้นแน่นในใจจำของผม แม้ไม่รู้สึกถึงอ่อนโยน แต่มือนั้นสร้างเชื่อมั่นต่อปลอดภัยให้อุ่นข้างในอกอยู่เสมอ

คีมนิ้วบีบบดเนื้อปลาให้แหลก แล้วค่อยๆโรยลงบนข้าวสุกร้อนฉุย ควันพลิ้วรุ่ยๆเป็นสาย หยิบซีอิ๊วดำเหยาะๆกระจายบนผิวข้าวสวย จุดดำๆแต้มเกลื่อนสีขาวดูชัดตา คล้ายแต้มที่ใจ รินลงสู่ท้อง เร้าน้ำลายให้หิวรสไหลสอเต็มคอปาก ยิ่งเมื่อมือพ่อขยำซาวข้าวคลุกรสให้รวมกัน ซีอิ๊วคลุกข้าวให้กลายสี คล้ายเหลือง คล้ายน้ำตาล เต็มจานสังกะสีขอบเทาะ ยิ่งเร่าให้ใคร่ลิ้ม

เราออกจากศูนย์การค้าแห่งนั้นหลังผ่าน ๓ ชั่วโมงกับหม้อข้าวหม้อแกงลิงระดับครอบครัว-ผมไม่รู้ว่าลูกๆของผมจะผูกจำข้าวของพวกเขาเพียงไร ผมไม่รู้ว่า วันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาจะรู้สึกใฝ่หาการชักพาลูกหลานให้ย้อนหิวกับใจจำของพวกเขาหรือไม่"

ยอมรับของพวกเขากับยอมรับของผมจะต่างกันไหมหนอ

และหลายเสาร์ ผมพยายามฉุดรั้งครอบครัวให้หวนคืนสู่รากเหง้า-ข้าวซาวในใจจำเป็นอุบายหนึ่งที่ผมหวังให้ต่างบ่วงล่ามใจพวกเขาไว้ จึงซาวสูตรข้าวง่ายๆนั้นให้ลูกได้ลิ้มชิม ผมเพียงหวังว่าข้าวสูตรพ่อจากมือผมคงสร้างรู้สึกคล้ายกันให้เกิดแก่ลูกๆได้บ้าง

ผมบิบดเนื้อปลากะพงทอดโรยลงบนข้าวสวยสุกใหม่ควันกรุ่น เขย่าเหยาะซีอิ๊วลงตามสูตรพ่อทำ แล้วคลุกซาวข้าวด้วยนิ้วเรียวผิวเกลี้ยงบาง รู้สึกร้อนรนเข้าถึงเนื้อในจนต้องชักมือเป่าลมบรรเทา เมื่อค่อยซาร้อนจึงขยุ้มคลุกเนื้อข้าว เนื้อปลาและซีอิ๊วให้เข้ากัน เมื่อร้อนยกมือออก เป่าข้าวพรูลดร้อนให้น้อยลง สลับเช่นนั้นจนข้าวซาวดูไม่ต่างข้าวพ่อเลย

ไม่มีลูกคนไหนมามุงแย่งจานข้าวเช่นผมและพี่น้องเคย

ดูเหมือนเจ้าลูกหมาทั้งสามของผมจะเพลิดเพลินกับคำท่องไล่เลียนโฆษณาจากจอโทรทัศน์จนเลยละจานข้าวอยู่ตรงนั้น นานๆจึงหันมาตักข้าวใส่ปาก บดเอื้องกลืน เป็นเหมือนหน้าที่ ไม่ใช่รู้สึกหิวโหย เป็นเหมือนกลไกลสั่งทำ ไม่ใช่อารมณ์อิ่มลิ้มเอมรสหวานมันเค็ม

ข้าวซาวที่ผมอุตส่าห์บรรจงคลุกขยำเนื้อรสให้ผสมเคล้าคละกลมกล่อมกัน

หวานมันของปลากะพงจากตลาดสดเช้าตรู่ หอมมันข้าวสุกใหม่กรุ่นควันฉุย เจือรสเค็มซีอิ๊วดำพอสาลิ้นปาก เป็นข้าวซาวสองจานที่ทำผมใจเหี่ยวแห้งลง รู้สึกทดท้อพร้อมกับข้าวซาวที่ค่อยๆแห้งกรังติดผิวจานกระเบื้องสองใบนั้น

ผมหดหู่ทดท้อเพราะไม่อาจค้นพบได้ว่าข้าวซาวมือผมขาดหายเสน่ห์ใดไป ลูกๆจึงไม่สนใจหิวหา

หรือว่าผมจะใส่เสื้อปลาน้อย จึงขาดรสหวานนุ่ม หรือข้าวหุงจะแข็งขื่นเป็นไจให้เคืองคอ หรือซีอิ๊วดำจะย้อยเหยาะมากเกินควรจนเค็มขม หรืออะไรบางอย่างที่ผมมองไม่เจอกับตาขาดหายไป

แม้ทุกครั้งที่ชาวข้าว ผมจะคาดผลว่าลูกๆคงแตะต้องมันเพียงฉาบฉวย แล้วทิ้งข้าวเหลือให้เกรอะกรังคาจาน หันไปใส่ใจภาพกระโดดโลดเร้าเริงของหนุ่มสาวดนตรี หรือไม่ก็สนุกกับเกมจากซีดีโปรแกรมสุดมัน หากทุกครั้งนั้น ผมเพียงหวัง บางที ผมอาจมีโชค คลุกเสน่ห์ที่ค้นหาลงได้สักหน ลูกๆอาจจะรู้สึกต่อข้าวซาวเหมือนกับที่ผมรู้สึกตลอดมา เป็นผูกพันลึกซึ้งต่อข้าวซาวมือพ่อ

"พ่อยังจำข้าวเสกสูตรพิเศษของเราได้ไหมครับ" ผมหันหน้าไปทางพ่อ แนบแก้มกับพื้นชาน

แววตาขุ่นฝ้าของพ่อบอกสงสัยก่อนจะหัวเราะหึๆในคอ "ซาวให้หมาที่ไหนวะ ก็พวกแกน่ะโตๆกันแล้ว" แววตาพ่อเปลี่ยนเป็นสุขลึกๆใต้เคลือบขุ่นนั้น "แล้วมันก็ไม่มีอะไรพิเศษหรอก แค่ข้าวเหยาะซีอิ๊วธรรมดาๆนี่แหละ"

"คาถาไงพ่อ คาถาที่ปู่สอนพ่อ พวกเราไม่ได้กินข้าวเปล่าไม่ใช่หรือ" ผมผงกหัวขึ้น มือค้ำไว้ คำพูดผมทำพ่อหัวเราะก้าก

"อ้ายหมาเอ๊ย นั่นมันเรื่องหลอกเด็ก แกยังจำอยู่อีกหรือวะ"

"พ่อซาวข้าวสูตรนั้นอีกซิพ่อ" ผมลุกนั่ง เอ่ยจริงจัง "ผมอยากให้ลูกหมาสามตัวของผมได้กินข้าวเสกของพ่อเหมือนที่พวกผมเคยกิน"

ผมเล่าข้าวซาวสูตรผมให้พ่อฟังพร้อมข้อวิเคราะห์ พ่อยิ้มแก้มตุ่ย "ปลาตะเพียนแดงไม่มีแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่มีใครแล่นเรือไปขายปลาที่เปอร์ลิสแล้ว ทุกวันนี้ จะมีรถแล่นเข้ามารับปลาถึงที่ ผูกขาดกันตั้งแต่ตอนซื้อเรือ ซื้อเครื่อง ซื้ออวนให้โน่นแหละ เดี๋ยวนี้ชาวเรือเองก็ไม่ค่อยได้กินปลาดีๆแพงๆหรอกวะ เถ้าแก่เอาหมด แล้วถ้าแกอยากจะกินปลาสดๆราคาถูกๆแกก็ต้องจ้องเวลาเรือเข้า รีบลงไปขอปันที่เรือ ถ้ารอถึงฝั่ง แกก็ต้องซื้อ แกก็ต้องซื้อราคาเดียวกับเถ้าแก่ชาย ก็ยังไม่แน่ว่าพวกเรือจะกล้าขายแกไหม มันกลัวเถ้าแก่ด่าน่ะ ก็ติดทุนเขาไว้นี่หว่า ถ้าแกอยากซื้อหาอะไร โน่น ไปที่ร้านหัวแพซิ มีทุกอย่างเหมือนตลาดเลย"

ผมขับรถไปทางตะวันออกของหมู่บ้าน ตรงรอยต่อระหว่างหมู่ ๑ และ หมู่ ๒ มีสะพานเทียบเรือทอดยาวออกไปสู่ทะเล อำนวยความสะดวกในการเทียบท่าแก่ชาวเรือได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นช่วงน้ำขึ้นหรือน้ำลง การขนถ่ายปลาปูกุ้งหอยคล่องตัวขึ้นหลายทวี ที่ต้นสะพาน ริมฝั่งมีแพปลาคอยรับซื้ออาหารเหล่านั้นเพื่อส่งต่ออีกช่วง และติดกันเป็นมินิมาร์ทที่ตกแต่งหรูหราเทียมแบบในเมืองทีเดียว

ทั้งแพปลาและมินิมาร์ทเป็นของเถ้าแก่เดียวกัน เขาเป็นคนในตัวตลาดที่มาคอยรบผลผลิตของท้องทะเลโดยไม่กังวลว่าน้ำจะขึ้นหรือน้ำลง น้ำใหญ่หรือน้ำตาย เพราะอวนของเขาวางดักนิ่งแน่วตรงร่องน้ำนี้แล้ว

ผมหาซื้อปลาและซีอิ๊วดำได้ที่นี่

เป็นปลาของเช้าตรู่ที่ดองน้ำแข็งเย็นจัดไว้รอรถขนถ่าย และเป็นซีอิ๊วดำยี่ห้อที่ผมเชื่อว่าไม่ซื่อสัตย์ต่อคุณภาพรสรุ่นแรกๆของตน

ทุกอย่างผิดไปจากหวังของผม ยังก็แต่เสน่ห์มือพ่อเท่านั้น จะเปลี่ยนไปไหม

ผมพยายามเค้นครวญสอบสูตรเสน่ห์ข้าวพ่อ อยู่ตรงไหนจึงต่างเสน่ห์เหมือนผม

ตรงนั้นไหมหนอ ตรงเมื่อข้าวสุกใหม่ในหม้อดินเผา แม่จะเอาใบพายเล็กๆคนให้ข้าวร่วนเม็ดหลุดจากก้อนกลุ่ม แล้วราถ่านลดไฟลงเพื่อดงข้าวจนสุกแห้งเหมาะควร เวลาคดใส่จานจึงดูนุ่มพองเต็มจานเร้าตาแล เร้าใจอยากลิ้มรส-ต่างกันมากไหมกับข้าวในหม้อหุงไฟฟ้า

ผมจะเฝ้ารอจนไฟแดงปุ่มกดงานเลื่อนวาบจาก Cooking ไปแดงจ้าที่ Keep Warm จึงเปิดฝาหม้อควันคลุ้งตลบออกมา จ้วงทัพพีคุ้ยกลับข้าวจนเม็ดหลุดร่วนจากกลุ่มก้อน ไม่ต่างข้าวในหม้อดินแม่

หรือจะเป็นตรงนั้น ตรงความต่างของมือพ่อและมือผม-เป็นเพราะมือหนากระด้างจของพ่อบีบบดเม็ดข้าวให้รสหลอมกลมกลืนได้ดีกว่ามือบอบบางของผมใช่ไหม ผมไม่แน่ใจว่าลึกลงในผิวด้านและเววลาเนิ่นนานที่เพราะพอกรอยสากบนมือพ่อจะส่งผลตอรสข้าวซาวหรือเปล่า หากผมมั่นใจวาบนผิวมือพ่อ ลึกลงไปในวันเวลาตราบชั่วอายุพ่อ นั่นคือน้ำเนื้อชีวิตเรา

สองฝ่ามือของพ่อต้องทานแรงครูดเสียดสีของเส้นเชือกตั้งแต่เริ่มแตกพานรู้เล่นใบเรือ จนผ่านสู่ยุคเรือติดเครื่องมอตอยย์ท้ายลำ กระทั่งเป็นห้วงวันคืนรุ่งเรืองของเครื่องมิตซูกลางลำ เชือกเส้นแล้วเส้นเล่าอวนหัวแล้วหัวเล่าที่บาดลึกผิวมือพ่อ จนแม้พ่อเขยิบฐานะเป็นเถ้าแก่เรือโป๊ะ ผมก็ยังเห็นพ่อคงร่วมกำเส้นเชือกตะเบ็งเสียง "ฮุยเลฮุย เอ้า ฮุยเลฮุย" กับลูกน้องอยู่เสมอ

ฝ่ามือผมล่ะ-บางใส เกลี้ยงเกลาและอุ้งอูมเหมือนแก้มก้มทารก ผ่านผจญเพียงด้านปากกามันวาวกระดาษบัญชี คีย์คอมพิวเตอร์ และปุ่มอีเลคโทรนิกประจำวันทั้งหลายเท่านั้น

ผมพยายามพินิจนึก น้ำเนื้อชีวิตนี้จะส่งผลต่อเนื้อรสข้าวซาวไหม

หรือจะเป็นตรงนั้น ตรงเสน่ห์เนื้อปลาสด เหงือกแดงสวย ตาใสเหมือนน้ำล้ำลึก เสน่ห์เกล็ดวาววาม สะท้อนแสงกระทบ และเสน่ห์กลิ่นคาวเฉพาะของทะเล เสน่ห์ที่พี่ น้องและผมต่างคุ้นชิน

ตัวเรือนของเราปลูกอยู่ชายฝั่งยื่นชานออกไปทางทะเล เมื่อน้ำขึ้นเต็มตลิ่งและพ่อกลับมักจะเทียบเรือตรงชานนี้ หากเราอยู่บนชานเพียงชะโงกลงดูก็จะเห็นปลาในเรือของพ่อทันที รู้กันอยู่ว่า ปลาปลดใสเข่ง พ่อจะขาย ปลาไว้ในกง พ่อจะกิน

ปลาเนื้อนุ่ม รสหวานเป็นที่นิยมของนักบริโภคและราคาแพงถูกพ่อกันไว้ให้เรากินเสมอ พ่อบอกว่า "อุตส่าห์ตากแดดตากลม เสี่ยงฟ้าเสี่ยงน้ำแล้ว เราก็ต้องอร่อยปากอร่อยลิ้นบ้างละวะ"

จำได้ว่าแม้ข้าวของพ่อจะอร่อยทุกครั้ง แม้จะมีปลาเลื่องลือเนื้ออย่างกะพงหิน กุเรา กระบอกจุมโปย รอบัน หากที่ผมจดจ่อใจมากที่สุดคือเนื้อจารเม็ดขาว

แต่ผมจำไม่ได้ว่า ผมได้กินข้าวจารเม็ดขาวครั้งสุดท้ายเมื่อไร อาจจะเป็นก่อนที่ผมถูกส่งตัวเข้าไปเรียนต่อในตัวเมือง อาจจะเป็นเมื่อเรือโป๊ะเที่ยวสุดท้ายกลับจากเวิ้งทะเล หรืออาจจะเป็นก่อนพ่อขายหรือโป๊ะไป

แม้จะไม่ใส่ใจว่าเราละทิ้งทะเลหรือทะเลทอดทิ้งเรา หากผมรู้สึกดีว่านั่นคือจุดเริ่มที่เราห่างจากกลิ่นรสคาวเค็ม

จนบัดนี้ เราคือคนดอนโดยสมบูรณ์แบบ

แบบคนตอนที่ต้องเดินเข้าไปเลือกปลาในตลาดสดทั้งที่รู้แก่ใจปลาพวกนั้นล้วนเดินทางไกลมาจากระนอง ผ่านคืนบนรถบรรทุกในลังดองน้ำแข็ง ผ่านหลายวันหลายคืนจากโพ้นน้ำพม่า และบางที บางพันธุ์ปลาอาจถูกแซ่แข็งไว้เป็นเดือนเพื่อรอขายเมื่อผ่านฤดูชุกชุมของปลานั้น

และแม้รู้ว่า อาจต้องเสี่ยงต่อฟอร์มาลีนที่ยังเหลือค้างในหัวปลา เหงือกปลา

แล้วจะเฟ้นหาความสดใหม่จากที่ใด

หรือจะเป็นตรงนั้น ตรงรสซีอิ๊วดำตราปลาตะเพียน ใช่ ต้องเป็นปลาตะเพียนลายเส้นสีแดงสองตัวอยู่บนสองข้างฉลากพื้นเขียวตัวอักษรจีนและอังกฤษแบบรูมีสีเหลืองอ่อนแปะข้างขวดสีชาเข้มเท่านั้น

เป็นปลาตะเพียนที่ว่ายจากปากน้ำเปรอร์ลิส มาเลเซียข้ามนานน้ำมากกับเรือโป๊ะของพ่อคราวละครึ่งโหลขวด เป็นปลาตะเพียนที่คงรสชาติซีอิ๊วสม่ำเสมอในห้วงหลายปีนั้น เป็นปลาตะเพียนที่ผมฉงนใจว่าดูดำสนิทในขวด หากเมื่อเหยาะบนข้าวขาวกลับออกเหลือง ออกน้ำตาลซะนี่

นานปีแล้วที่ผมไม่เห็นปลาตะเพียนสีแดง ในบรรดาสินค้าเลี่ยงศุลกากรดูเหมือนไม่มีรายการซีอิ๊วดำยี่ห้อนี้รวมอยู่ด้วย ผมเคยถามข่าวกับคนเรือพวกนั้นอยู่บ้าง หากได้รับคำตอบว่าทั้งตลาดกัวลาเปอร์ลิสพบเพียงตราปู ตรากุ้ง และตราปลาทูเท่านั้น

ข้าวซาวมือผมจึงเป็นซีอิ๊วเมืองไทยจากชายฝั่งทะเลออกที่ผมพบว่ารสชาติเข้มข้นปากลิ้นแค่ระยะแรก เปิดภาพโปรโมทตัวเท่านั้น หากต่อมาเมื่อชื่อฉลาดติดตาคน อัตราส่วนบางสิ่งอย่างก็เจือจางลง

"เหยาะซีอิ๊วลงไปแค่สี่ห้าหยด แล้วขยำซาวให้ทั่ว แค่นี้ก็กลมกลืนเหลือแหล่แล้ว" นั่นคือคำพ่อเอ่ยถึงตราปลาตะเพียน

ซีอิ๊วของผมล่ะ จะเหยาะกี่หยดจึงกลมกล่อมได้เทียมกัน

หรือจะเป็นตรงนั้น ตรงศักดิ์สิทธ์คาถาที่พ่อเสก คาถาที่ทำให้เราชะงักเสียงทะเลาะแย่ง คาถาที่พ่องึมงำในปากสักครู่แล้วเป่าพ้วงลงในข้าวซาว

"เอ้า จานนี้ให้น้องก่อน เพราะพ่อเสกคาถาให้เป็นเด็กว่าง่าย สอนง่าย เชื่อฟังผู้ใหญ่ เคารพนับถือพี่ๆเป็นเด็กที่ดี น่ารัก ใครพบ ใครเห็นก็เอ็นดู"

หรือไม่ก็ "จานนี้ให้พี่ เพราะพ่อเสกคาถาให้เป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักเสียสละแก่น้อง รู้จักดูแลคุ้มครองน้องทะเวลา ไม่ว่าจะหิวหรืออิ่ม หลับหรือตื่น สุขหรือทุกข์"

เราไม่เคยได้ยินคาถาท่องคำชัดๆออกมา หากเราก็เชื่อและศรัทธาต่อลมเป่าของพ่อ เราเชื่อว่าเราไม่ได้กินข้าวเปล่า หากมีพลังบางอย่างผลักดันการเติบโตของเราให้เป็นดังพ่อบอกไว้

หลายครั้งที่ผมพยายามถามถึงคาถา บทท่อง ความหมายและความเข็มขลัง พ่อหัวเราะหึๆแล้วหลอกผม "ท่องว่า นะเมตตา โมกรุณา พุทปรานี ธายินดี ยะเอ็นดู"

ผมค้านพ่อว่าไม่ใช่แน่ๆ เพราะผมเคยได้ยินหนุ่มลูกเรือพ่อใช้คาถานี้เสกแป้งต่างหาก พ่อหัวเราะหึๆอีกหน "ใช้ได้ เสกข้าวก็ใช้ได้ ถ้าลูกเชื่อถือแล้วโตขึ้นเป็นคนดี คาถาอะไรก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ"

ผมทบทวน แต่ละครั้งซาวข้าว ผมมีคาถาให้ลูกหรือเปล่าหนอ และหากผมจะเสกเป่าคาถาลงในข้าวซาว ลูกๆจะเชื่อถือและศรัทธาต่อคำคาถานั้นหรือเปล่าหนอ

ท่าทีของพ่อดูกระฉับกระเฉง ละไมยิ้มเต็มริมปาก และดูเหมือนตาพ่อจะเปล่งแววขับรอยขาวฝ้าให้เจื่อนจางลง

เป็นปิติของชราที่ได้ทำบางสิ่งให้ลูกหลานพึงใจ ใช่ไหม ผมคิดท่าทีของพ่อเช่นนั้น

ขณะคลุกข้าวซาวตามสูตร  ผมและเด็กๆยืนเรียงสองข้างพ่อ เสียงอ้ายปลาราปูเย้าแว่วมา "อยู่ถึงในเมืองของกินอร่อยๆเยอะแยะ ไม่กิน ดั๊นมากินข้าวคลุกซีอิ๊วดำถึงที่นี่" หรือแม้แต่อ้ายราปูก็ไม่อาจใส่ใจจำภาพหลังเหล่านั้น ผมฉงนคิด

"มือปู่เหี่ยว ขยำข้าวไม่น่ากิน แหยะ" เสียงเจ้าตัวเล็กแจ้วคำ พ่อชะงักนิดหนึ่ง "ก็ปู่แก่แล้วนี่ลูก"

ผมสังเกตมือพ่อ วันยาวนานที่เลิกกร้านกรำงาน ค่อยๆลบรอยด้านแข็งบนฝ่ามือของพ่อออกได้บ้างหากยังคงทิ้งร่องรอยแผลเป็นบางแผลอยู่ทั้งที่ฝ่ามือและหลังมือ ผิวย่นจากวัยจึงขับเน้นให้รอยแผลดูยับเยินมากยิ่งขึ้น ผมและพี่น้องรู้ดีว่าแผลเป็นพวกนั้นมีคุณค่าสูงส่งต่อเราเช่นไร มีความน่าเคารพศรัทธาเชื่อมั่นเพียงใด แต่ลูกๆของผมไม่ พวกเขาไม่มีวันซาบซึ้งคุณค่านั้นแน่นอน

"โอมพ้วง เอ้า ปู่เสกคาถาให้แล้ว ใครกินข้าวเสกของปู่จะเป็นเด็กดี เรียนเก่ง"

"น้ำลายปู่ลงไปด้วย" คราวนี้เป็นเสียงเจ้ากลางที่ทำปู่ชะงักอีกหน

"ไป เอาข้าวไปนั่งกินหน้าทีวีไป๊" ผมเสกกลบเกลื่อน

ผมไม่รู้ว่าพ่อจะรู้สึกเช่นไรบ้าง แต่ผมรู้สึก หากผมเป็นพ่อ ผมคงน้อยใจ ในข้าวซาวหนึ่งจานนั้นมีทั้งข้อเด่นและข้อด้อยรุ่นผมและพี่น้อง เรายอมรับในจุดเด่น ยามนั้น ข้าวเสกของพ่อจึงมีพลังต่อจิตใจพวกเรา ครั้นถึงยามนี้ ลูกๆของผมเห็นไปที่จุดด้อยข้าวซาวจึงไร้เสน่ห์สิ้นเชิง

"พ่อครับ ผมแต่อยากให้ลูกๆได้กินข้าวจากมือพ่อเหมือนกับที่เราเคยกิน" ผมพยายามถนอมรู้สึกของพ่อ

พ่อตบไหล่ผมเบาๆ "พ่อเข้าใจ อย่าว่าแต่ลูกแกเลย ลูกของอ้ายปลาราปูก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ ไม่มีลูกหมาตัวไหนร้องขอให้พ่อซาวข้าวอีกแล้ว"

เด็กๆให้ความสนใจข้าวเสกของพ่อเพียงไม่กี่คำ ก็หันไปวิ่งเล่นไล่กันตามคำชวนของหลานชาย ทิ้งให้ข้าวซาวค่อยๆแห้งลงๆ สีออกเหลือง ออกน้ำตาลของซีอิ๊วดำทำให้ดูเหมือนเป็นข้าวเก่าๆเลอะๆ คราบกรังแห้งที่ติดผิวจานทำให้รู้สึกเกรอะเลอะสกปรกไม่น่าดู ผมไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้สึกถูกเค้นบังคับให้มาที่นี่หรือไม่ ผมรู้แต่ว่าบางสิ่งบางอย่างในวันเวลาได้ชักนำผู้คนไปสู่อำอาจของมันโดยไม่ต้องบีบบังคับใดๆเลย เสน่ห์มือพ่ออาจยังคงอยู่ แต่ไม่มีหัวใจใคร่หิวหาของใครอีกแล้ว

ผมเทข้าวเสกของพ่อโปรยลงแผ่นน้ำ เม็ดข้าวค่อยๆไหลล่องแฉลบพลิกกระจายจมลงใต้แผ่นน้ำนั้น

ไม่เห็นแม้ลูกปลาตัวเล็กๆโผล่ขึ้นมาตอดตุบมันเลย หรือนี่เพราะทะเลก็เปลี่ยนแปลงไป เราออกจากหมู่บ้านริมทะเลเมื่อตะวันจวนลับขอบน้ำ และจะถึงเมืองใหญ่ในขณะแสงไฟฟ้าแจ่มนวลกระจ่างเมือง

สุดสัปดาห์คราวต่อๆไป ผมและลูกๆ ใครจะชวนใครไปไหนดี

Comment #1
หนู
Posted @September,08 2009 10.24 ip : 61...72

อยากได้เรื่องย่อใครมีช่วยบอกด้วยขอบคุณค่ะ

Comment #2
เพื่อนรัก
Posted @September,08 2009 10.25 ip : 61...72

ช่วยวิจารณ์เรื่องนี้ด่วน

Comment #3
เหมียว
Posted @September,14 2009 09.05 ip : 61...196

ขอความเห็นใจกรุณาช่วยบอกเรื่องย่อและบทวิเคราะห์ข้าวซาวมือพ่อด้วยค่ะ

แสดงความคิดเห็น

« 1601
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ