เรื่องสั้น

กังหันลม

by 2 @November,14 2006 21.22 ( IP : 58...100 ) | Tags : เรื่องสั้น

กังหันลม   โดย ประมวล มณีโรจน์ 

๑.

เช้าวันอาทิตย์แดดเช้าไม่ผ่องใส ฝนหลงฤดูที่ซัดผ่านหมู่บ้านกลางหุบเขาเมื่อค่อนรุ่ง กลับโปรยปรายลงมาอีกเมื่อฝูงนกเริ่มตื่นนอน ใบไม้ใบหญ้าชุ่มเปียก บางหลุมดินเริ่มมีน้ำขัง ชีวิตของสถานที่ราชการดูเงียบเหงาเศร้าซึม แต่วิถีของผู้คนยังดำเนินอย่างเข้มแข็งเหมือนทุกวัน

เพิงขายขนมครกตรงสามแยกหน้าสถานีอนามัยส่งควันไฟขึ้นจับกลุ่มอ้อยอิ่งในบรรยากาศชื้นเย็น มันเป็นเช้าที่ข้าพเจ้าเพิ่งรู้สึกถึงความเงียบสงบ และเหมือนได้สัมผัสกับความสดชื่นอย่างเต็มทรวงอกเป็นครั้งแรก ขณะที่ทอดน่องผ่านม่านฝนปรอยไปยังเพิงขนมครกด้วยความคิดเรื่อยเปื่อย ข้าพเจ้าเคยคิด ได้ขนมครกร้อนๆสักเจ็ดแปดคู่มานั่งกินกับลูกๆ แม้จะเป็นมื้อเช้าง่ายๆราคาถูก แต่ชีวิตก็ไม่น่าจะต้องการอะไรมากมายนัก

ทางดินแดงหน้าที่ว่าการอำเภอเฉอะแฉะไปด้วยรอยเท้าวัวฝูงและล้อรถยนต์ แถบรุ้งกินน้ำลากสีจางๆทาบผ่านเส้นตัดระหว่างตีนฟ้าชุ่มฝนกับทิวเขาด้านตะวันตก สายลมอ่อนแรง เสียง 'ลูกร้อง' ของกังหันลมบนยอดภูทางด้านทิศเหนือของหุบเขา จึงแผ่วโผยลงไปจนเกือบไม่ได้ยิน

เพียงชั่วครู่ที่มีโอกาสได้ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปกับเสียงกังหันลม หูก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่มมาทางด้านหลัง สมองเพียงคิดจะก้าวหลีกความเฉอะแฉะขึ้นไปยืนแอบอยู่บนพื้นหญ้าข้างทาง ปิคอั้พตอนครึ่งยี่ห้อดังคันหนึ่งก็พุ่งพรวดมาถึงพร้อมน้ำโคลนที่พุ่งฉีดเต็มร่าง ข้าพเจ้าฉุนกึก แต่สีแดงเลือดนกของมันบาดความรู้สึกจนลืมโกรธ ได้แต่มองตามปิคอั้พรุ่นใหม่คันนั้นไปอย่างไม่กะพริบตา พร้อมคิดถึงความอบอุ่นมั่นคงของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย เหมือนดวงไฟที่กำลังเรียนรู้ถึงภาวะแห่งการมอดดับ ได้ถูกกระตุ้นให้ตื่นฟื้นและคืนเปลวเริงร้อนขึ้นมาอีกวาระ

ถ้าจะนิยามให้ความประทับใจที่มีต่อส่วนสัมพันธ์ขององค์ประกอบ รูปร่าง และสีสันของวัตถุเคลื่อนที่สี่ล้อเป็น 'ความงาม' ยนตรกรรมชิ้นนั้นก็งดงามเสียจนต้องกลืนน้ำลาย มันเป็นความใฝ่ฝันอยู่ในส่วนลึกนานแล้วที่จะเป็นเจ้าของวัตถุเคลื่อนที่สี่ล้อสักคัน และด้วยความใฝ่ฝันนี้เองที่ขับเคลื่อนให้ข้าพเจ้าหันไปมองหาอาชีพเสริม งานสอนพิเศษที่โรงเรียนกวดวิชาในเมือง เป็นตัวแทนขายสินค้าจำพวกเครื่องใช้พลาสติกบางยี่ห้อ ขายบริการประกันภัยแบบต่างๆ ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ผงซักฟอก ยาสีฟัน ที่นอนสุขภาพ ยาดองเหล้าสำหรับคนชรา ฯลฯ เหล่านี้คือลู่ทางที่กำลังพิจารณาเพื่อการเริ่มต้น ท่ามกลางความเป็นไปของชีวิตสมัยใหม่ที่ต้องแบ่งซอยช่วงเวลาอย่างถี่ยิบ

ใช่สิ...ชีวิตสมัยใหม่ที่วัตถุเคลื่อนที่สี่ล้อชนิดนั้นกลายเป็นปัจจัยสำคัญไปแล้ว ไม่ว่าจะพิจารณาจากภายนอกหรือภายใน ดูเถิด ขนาดฝนตกทางเฉอะแฉะถึงปานนี้ มันก็ยังควบผ่านหลุมโคลนไปได้อย่างไม่อนาทรร้อนใจ แต่ด้วยความสะดวกสบาย อบอุ่น และทันสมัย โดยพลังของม้าศึกไม่น้อยกว่า ๙๐-๑๐๐ ตัว บนล้อยางทั้งสี่ซึ่งดูแข็งแกร่งมั่นคงและงดงามเป็นอย่างยิ่ง

ปิคอั้พคันนั้นเปิดไฟกะพริบบอกทิศทางเลี้ยวขวา และพาบั้นท้ายสีแดงเลือดนกของมันลับหายไปแล้วจากสามแยกหน้าสถานีอนามัย ข้าพเจ้าจึงไหวตัวและก้าวเท้าออกเดิน ม่านฝนยังคงโปรยปราย ผมเผ้าเปียกชุ่ม และเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเย็น

ลมภูเขาพัดแรงขึ้น เสียงลูกร้องของกังหันลมบนยอดเขาเริ่มส่งเสียงหวีดโหวย ชั่วขณะจิตนั้นข้าพเจ้าฟังเป็นเสียงโหยหวนของบ่างบาดเจ็บที่กรีดลึกเข้าไปในความรู้สึก...

บนยอดภูขนาดย่อมทางด้านทิศเหนือของหุบเขา คือที่มาของเสียงหวีดโหวยที่ได้ยินกันทั่วทั้งหมู่บ้านและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปแล้ว ข้าพเจ้าก็เคยรู้สึก วันใดไม่ได้ยินเสียงกรีดจาก 'ลูกร้อง' ของกังหันลม วันนั้นเหมือนหมู่บ้านกลางหุบเขาจะเงียบเหงาและเศร้าหมอง...

มองขึ้นไปจากสามแยกหน้าสถานีอนามัย ภาพของกังหันลมดอกนั้นจะปรากฏแก่สายตาก็เฉพาะแพนหาง ซึ่งคอยบังคับให้ใบกังหันโต้อยู่กับทิศทางลมตลอดเวลาเท่านั้น ขนาดของมันก็ดูจะไม่ใหญ่โตอะไรนัก แต่ลูกร้องที่ผูกติดอยู่กับปลายทั้งสองของใบกังหัน กลับส่งเสียงคลุมพื้นที่ได้กว้างไกลหลายสิบตารางกิโลเมตร ข้าพเจ้าคิดถึงขลุ่ย-ดนตรีพื้นบ้านที่ใช้หลักลมผ่านในกระบอกไม้ไผ่เช่นเดียวกับลูกร้องกังหัน เสียงของมันเบาแหบไม่แผดหูแต่ก้องกังวานไปไกลอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนซึ่ง 'น้ำพะ' เจิ่งนองเต็มท้องทุ่ง 'เสียงขลุ่ยก้องน้ำ' จะดังให้ได้ยินกันทั่วทั้งทุ่งกว้างทีเดียว

ท่ามกลางสีเขียวอมดำของยอดภูทางด้านทิศเหนือ ซึ่งรู้จักกันในนามของ 'เขาหน้าแดง' นอกจากแพนหางทรงหางไก่ตัวผู้นั้นแล้ว ก็ไม่สามารถมองเห็นส่วนประกอบอื่นใดของกังหันลมดอกนั้นได้อีก 'ก้านธง' หรือเสากังหันซึ่งมี 'เส้า' (แกนหมุน) ประกอบอยู่ใน 'บอกเวียน' (กระบอกหมุน) สำหรับหมุนปรับทิศทางให้ใบกังหันโต้ลมตามการบังคับของแพนหางนั้น กลับเป็นส่วนที่ซ่อนลึกอยู่ในพุ่มใบของไม้ใหญ่ ยิ่งเป็นใบกังหันและ 'ลูกร้อง' อันเป็นส่วนสำคัญของมันด้วยแล้วก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะมันต้องหมุนติ้วตามแรงตีของลมภูเขาอยู่เกือบตลอดเวลา

เกาะเล็กๆที่โผล่ขึ้นมากลางมหาสมุทรกว้างใหญ่แห่งใดก็ตาม มันต้องเริ่มรากฐานขึ้นที่ก้นของมหาสมุทร และต้องมีขนาดทั้งหมดสัมพันธ์กับความสูง ซึ่งย่อมสูงกว่าความลึกของระดับน้ำ มันจึงจะโผล่ส่วนเล็กๆขึ้นมาให้เรามองเห็นได้ กังหันลมบนยอดเขาทางด้านทิศเหนือของหุบเขาก็เช่นกัน ข้าพเจ้ารู้ว่าขนาดของมันไม่ได้เป็นไปตามที่สายตามองเห็น แพนหางบังคับทิศทางที่อาจจะทำด้วยทางพนหรือทางสาคูนั้น ความจริงแล้วขนาดของมันก็คือทางมะพร้าวดีๆนี่เอง ลูกร้องที่กรีดโหวยอยู่ตลอดเวลานั่นก็เถอะ ส่วนของ 'ลูกโหวย' หรือ 'ลูกฮุย' ซึ่งเป็นลูกร้องตัวใหญ่และให้เสียงทุ้มต่ำคือปล้องของลำไผ่ตงขนาดลำแข้ง ส่วนทางด้าน 'ลูกหวีด' หรือ 'ลูกเหวย' ที่เป็นลูกร้องตัวเล็กและให้เสียงแหลมสูงนั้น คือปล้องของไม้ไผ่ขนาดเล็กหลายปล้องที่รวบเข้าเป็นมัดขนาดข้อมือ ยิ่งเป็นส่วนใบของมันก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า "เผกหวา' ลงทุนล้มไม้หลอขาวแก่จัดลงทั้งต้น และต้องใช้เวลาอยู่กับมันไม่ต่ำกว่าสองเดือน กว่าจะจัดการให้ไม้ขนาดเต็มโอบนั้น กลายเป็นใบกังหันกว้างสองคืบยาวสามวาได้อย่างงดงามและเกลี้ยงเกลา

ข้าพเจ้ารู้ว่าเผกหวาเป็นเจ้าของสัมปทานกังหันลมบนยอดเขาหน้าแดง ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาอยู่กลางหุบเขา แต่เราก็ไม่ได้พบปะพูดคุยกันบ่อยนัก เขาเป็นคนพูดน้อยและชอบเก็บตัว จึงไม่ค่อยมีใครพบเห็นเขาบนทางเดินใดในหมู่บ้าน ยกเว้นในช่วงที่ขึ้นธงกังหันลมเสร็จใหม่ๆ ซึ่งเขาจะพาสังขารผอมสูงเหมือน 'ไม้เสียบผี' มาปรากฏอยู่บน 'ทางเดินลัดสนาม' หน้าโรงเรียนทุกเช้าเย็น

เขาใช้ทางเดินลัดสนามเป็นเส้นทางไปกลับระหว่างภูเขาหน้าแดงกับกระท่อมซอมซ่อในหย่อมป่าหลังโรงเรียน

จำได้ว่าเราพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อต้นมรสุมตะวันตกปีที่แล้ว (บนทางเดินลัดสนามหน้าโรงเรียน) เขาลงมาจากภูเขาหน้าแดง ข้าพเจ้ามาเดินออกกำลังกายซึ่งเป็นกิจวัตรเกือบทุกเย็นหลังเลิกงาน เจ้าของกิจการกังหันลมอยู่ในชุดแต่งกายชุดเดิมชุดเดียวนั้น เหมือนเช่นทุกครั้งที่พบเห็น คือผ้าถุงลายตาหมากรุกที่นุ่งแบบ 'เพ็ดจ้อน' ขึ้นมาจนชายล่างสูงเหนือเช่า เปลือยท่อนบน และคอนพร้าไว้ในวงแขนยาวเก้งก้าง เขารู้ว่าข้าพเจ้าเป็นครูอยู่ในโรงเรียนนี้ และข้าพเจ้าก็รู้ว่าเขาชมชอบที่จะปราศรัยกับคนที่เอ่ยชมกังหันลมของเขา

"เสียงของลูกลมดอกนี้ฟังนุ่มดีนะ" ข้าพเจ้าเอ่ยทัก (ถิ่นใต้เรียกกังหันลมว่า 'ลูกลม' 'ลิ้นลม' หรือ 'ดอก-ลม')

เจ้าของร่างผอมสูง (เหมือนไม้เสียบผี) หยุดดยืนตรงหน้า ยกมือขึ้นลูบเคราสีเทาที่ครึ้มยาวถึงราวนมอย่างเคยชิน หน้าผากผายกว้างเกิดรอยยับย่น ดวงตาในกรอบเล็กเรียวเหมือนตาเหยี่ยวจ้องนิ่งเหมือนเป็นคำถาม

"ผมว่าลูกลมดอกนี้เสียงดังดี...น่าฟัง" ข้าพเจ้าย้ำความ

วงปากบางเฉียบในป่าเครารกครึ้มเปิดรอยยิ้มกว้าง ปล่อยพร้าลื่นหลุดจากวงแขนลงค้ำกับพื้นหญ้าปนทราย เสียงแหบนั้นตอบความเบาช้า "ปีหน้าจะทำให้ดอกใหญ่กว่านี้อีก ลูกร้องก็จะใหญ่กว่า ดอกนี้เสียงมันยังไม่ค่อยสิทธี ผมขึ้นไปนั่งฟังอยู่ใกล้ๆโคนต้นสองวันแล้ว พรุ่งนี้จะขึ้นไปเอาลงมาแต่งปากลูกฮุยเสียใหม่"

"วันก่อนเห็นขึ้นไปดูครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่รึ" ข้าพเจ้าถาม

"เอาลงมาแต่งสองหนแล้วแต่ยังไม่ได้แรงอก" เจ้าของสัมปทานตอบเสียงเบา ข้าพเจ้าเห็นประกายวาวผ่านแวบในแววตาและสัมผัสได้ถึงความสุขในหางเสียง

เห็นประกายตาของเจ้าของกรอบตาเรียวเล็กเมื่อเย็นวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกอิจฉาและอดไม่ได้ที่จะทบทวนถึงเรื่องราวของตัวเอง...ดูเหมือนความสุขของคนเราจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย-มากมายรูปแบบ-และหลากหลายที่ทาง แต่ทำไมวิถีของข้าพเจ้าจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสนไม่จบสิ้น เพื่อนร่วมงานทั้งนั้นก็ล้วนแล้วแต่ต้องแบกความทุกข์ร้อนเอาไว้จนเกินบ่า คนนี้ทุกข์เรื่องบ้าน คนนั้นทุกข์เรื่องรถ คนโน้นทุกข์เรื่องหาที่เรียนดีๆให้ลูกๆหลานๆบางคนทุกข์เรื่องรูปร่างหน้าตา บางคนเรื่องครอบครัว เรื่องหน้าที่การงาน ตำแหน่งแห่งชั้น ชื่อเสียงเกียรติยศ ฯลฯ หลายทุกข์-หลายโศก-และหลายเศร้าหมอง

สำหรับข้าพเจ้า เงินเดือนก้อนเท่ากำหมัดกับหนี้สินก้อนเท่าภูเขา มันทำให้ความต้องการพื้นฐานกลายเป็นเรื่องยากกว่าการกลิ้งภูเขาขึ้นครก ข้าพเจ้าอยากมีรถกลางใช้สักคัน เพื่อความมั่นคงและความอบอุ่น บนเส้นทางที่เราจะต้องสัญจรไปมาด้วยความจำเป็น นานวันเข้า 'ความอยาก' ที่ถูกควบแน่นจนตกค้างเป็นผลึก ได้ให้ข้อสรุปแก่ข้าพเจ้าว่า ความสุขและ/หรือความต้องการของคนเรา มันช่างไม่ต่างกันอย่างไรกับภาวะ 'ใกล้ตาไกลตีน' ที่ถูกสะท้อนไว้อย่างเจ็บปวดในบทเพลงอำลาป่าของคาราวาน เหมือนใกล้แต่ไกล เหมือนง่ายแต่ยาก เหมือนจะมีอยู่อย่างมากมายในทุกแห่งหน แต่ก็ไม่ใช่ เพราะในความเป็นจริงแล้วมันสัมพันธ์เกี่ยวข้องอยู่กับความลึกล้ำไพศาลของพื้นที่หัวใจ

ปราชญ์แห่งความรักเคยกล่าวว่า 'ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ' บนทางเดินลัดสนาม เมื่อต้นมรสุมปีก่อน หน้าต่างหัวใจของเผกหวาได้เปิดบานแห่งความสุขออกมาให้ประจักษ์ แต่ในวันที่ข้าพเจ้าไปพบเขาที่กระท่อมซอมซ่อเมื่อต้นมรสุมปีนี้ หลังคำถามที่ข้าพเจ้าตั้งใจ บานหัวใจของชายผู้มีกรอบตาเล็กเรียวเหมือนตาเหยี่ยว กลับฉายแววที่แปลกต่างออกไป ดูระคนปนเปกันระหว่างความขุ่นมัว-เจ็บช้ำ-เกลียดชัง-และเศร้าหมอง ซึ่งประทับเป็นเครื่องหมายคำถามรบกวนความรู้สึกของข้าพเจ้าอยู่แม้ในวาระนี้...


๒.

ปีนี้ฤดูฝนมาล่าแต่ตกน้อยกว่าปีก่อน เผกหวาเริ่มงานของเขาตั้งแต่กลางเดือนอ้าย-หลังจากฤดูฝนห่างหายไปเพียงสองสามวัน นักเรียนคนหนึ่งมาส่งข่าวว่าเผกหวาล้มหลอขาวขนาดเต็มโอบลงต้นหนึ่ง หลังเลิกงานอีกสองสามวันต่อมา ข้าพเจ้าจึงถือโอกาสลอดรั้วลวดหนามหลังโรงเรียนไปเยี่ยมกระท่อมซอมซ่อของเขาเป็นครั้งแรก

ไม้ขนาดเต็มโอบที่ว่าถูกแปรสภาพเป็นใบกังหันเรียบร้อยแล้ว มันถูกตรึงแน่นด้วยเส้นหวายกับเสาหลักใต้ร่มรำไรของจำปาหลังกระท่อม เจ้าของร่างผอมสูงกำลังง่วนอยู่กับการกวดสายเชือก ที่ดึงโยงระหว่างต้นไม้กับใบกังหันเพื่อดัดให้มันบิดตัวเข้ารูป เปลือกไม้ เศษไม้ และฝอยไม้กองเกลื่อนรอบตัว ข้าพเจ้าไปยืนมองอยู่หลายอึดใจ กว่าเขาจะพักงานเงยหน้าขึ้นเช็ดเหงื่อ

"กว้างยาวเท่าไหร่น่ะ" ข้าพเจ้าถาม

"ดอกนี้โตกว่าทุกดอกที่ผมเคยทำ..." เขาตอบเสียงเบา "กว้างเกือบศอก ยาวสามวา"

"ไม้อะไร"

"ไม้หลอ..." เขาว่าพร้อมกับจัดการส่วนโคนเต็มโอบให้ข้าพเจ้านั่ง "ปีนี้ได้หลอขาวตามขนาด"

"หลอขาว...แสดงว่ามีหลออื่นอีกสิ"

เขาถอนหายใจเบาๆ แต่ดวงตาในกรอบเล็กเรียวเหมือนตาเหยี่ยว กลับสาดวาวด้วยประกายเจิดจ้า...มันเป็นประกายซึ่งข้าพเจ้าได้สัมผัสทุกครั้งที่มีโอกาสได้สนทนากับเขา

"โดยทั่วๆไปแล้วไม้ในป่าจะมีอยู่สามชาติเป็นอย่างน้อย ไม้หลอนี่ก็มีหลอขาว-หลอดำ-และหลอใบใหญ่ อย่างไม้ตีนเป็ดก็จะมีตีนเป็ดขาว-ตีนเป็ดใหญ่-และตีนเป็ดป่า" เขาว่า

ข้าพเจ้าพยักหน้าถึงบางอ้อก่อนจะมีคำถามต่อไป และด้วยคำถามจากคนที่ไม่เคยรู้อะไรเลยเกี่ยวกับกิจการกังหันลม ทำให้เผกหวาต้องถอนหายใจอีกหลายครั้ง แต่แววตาของเขาสาดวาวไปด้วยประกายแห่งความสุข... เผกหวาอรรถาธิบายว่า นอกจากไม้หลอแล้วไม้อื่นๆที่นิยมใช้ทำกังหันลม ก็มีไม้ตีนเป็ดหรือพญาสัตบรรณ พวมพร้าวหรือกฤษณา จงเล็ดหรือปอจง หรือไม้อะไรก็ได้ที่เป็น 'ไม้เริ่มระบบป่า' เขาหมายถึงไม้ขนาดกลางที่สามารถเจริญเติบโตได้ทุกสภาพดิน หนีการยึดเหนี่ยวของเถาวัลย์ได้อย่างรวดเร็ว แผ่ร่มเงาออกควบคุมวัชพืช และสร้างความชุ่มชื้นให้หน้าดิน ทำให้เมล็ดพันธุ์และต้นกล้าของไม้ขนาดใหญ่ที่เติบโตช้า มีโอกาสได้เติบโตภายใต้ร่มเงาของมัน

"...ไม้เหล่านี้เป็นไม้เนื้ออ่อน เบา เหนียว ไม่มีเสี้ยน จะเหลาไปทางไหนก็ได้ไม่ทวนเกล็ด ดัดง่าย จะดัดอย่างไรก็ได้โดยเฉพาะเวลาบิดทำรูป ยกเว้นไม้ตีนเป็ดจะทำยากสักหน่อย เพราะดัดแล้วมันคืนรูป ต้องค่อยๆดัดและต้องตากแดดอ่อนๆ แดดแรงเกินไปมันอาจจะแตก แดดน้อยเกินไปมันอาจจะขึ้นรา ถ้าจะให้ทนก็ต้องไม้พวมพร้าว ถ้าจะให้ทำง่ายก็ต้องไม้จงเล็ด แต่ปีนี้ผมได้หลอขาว หลอขาวแก่จัดใหญ่เท่านี้ผมหามานานแล้ว..."

"ทำไมล่ะ"

"มันเป็นเคล็ด ลูกลมที่ธงบนควนนิยมใช้หลอขาว ธงในนานิยมใช้แคนา บางคนเรียกแคนาว่าแคแตรเพราะดอกของมันมีรูปร่างคล้ายแตร...ครูเป็นเด็กทุ่ง ครูเคยรู้เรื่องลูกลมที่ทำจากไม้แคนาบ้างมั้ย" เขาทั้งตอบและถาม

ข้าพเจ้าสั่นหน้า

"บ่าวๆสมัยผมเด็กๆจะใช้แคนาทำลูกลมไว้จีบสาว..." เขาว่าขณะถอยไปพิงหลักที่ใช้ตรึงใบกังหันในลักษณะกึ่งยืนกึ่งนั่ง "บ่าวสาวสมัยนั้นไม่มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันหรอก นอกจากวันที่มีงานสำคัญในรอบปี ฤดูเก็บข้าวสาวๆในหมู่บ้านต่างก็เต็มใจไปช่วยแรงเก็บข้าว บ่าวๆก็จะทำลูกลมกันคนละดอกไปธงไว้ตามปลายหว้าปลายแพหรือหัวครกริมนา แต่จะให้เข้าสูตรก็ต้องปลายรัก ช่วงที่สาวๆกำลังเก็บข้าว ก็จะได้ยินเสียงลูกร้องของลูกลมเป็นสิบๆดอกดังประสานเสียงกันลั่นทุ่ง เจ้าของลูกลมหวังเพียงว่า อาจมีสาวใดถามถึงลูกลมของเขาบ้าง 'ลูกลมบนปลายรักนั่นของใครนะดังดีจัง' เพียงเท่านั้นบ่าวเจ้าของลูกลมก็จะกลับไปนอนยิ้มกับจากมุงหลังคาขนำ และฝันดีไปตลอดคืน"

"รู้เรื่องดีจัง สมัยบ่าวๆคงเคยใช้วิธีนี้จีบสาวละซีท่า" ข้าพเจ้าพยายามสร้างบรรยากาศในการสนทนา

เขาฉาบสายตาผ่านแต่ไม่มีคำตอบ

"ที่ว่าเป็นเคล็ดน่ะมันหมายความว่ายังไง" ข้าพเจ้าเปลี่ยนคำถาม

เขายังไม่ตอบแต่หยิบปล้องไม้ไผ่ขนาดใหญ่ยื่นมาจนเกือบทิ่มหน้าข้าพเจ้า "ไผ่ตง..." เขาบอก "ใช้ทำลูกร้องติดกับปลายใบลูกลม เวลาหมุนลมจะเข้ารูปากเล็กๆของมันเกิดเสียงหวีดน่าฟัง อันนี้จะเป็นเสียงทุ้มเรียกว่าลูกโหวยหรือลูกฮุย ด้านหนึ่งปาดเป็นปากเป็ด ใช้ขี้อุง (ชันโรง) พอกเป็นรูปาก แต่อันนี้ใหญ่เกินไปผมเลยใช้วิธีปาดตรงข้อปล้องแทนการพอกด้วยขี้อุง..." ยังไม่ทันจบความดีเขาก็หันไปหยิบไม้ไผ่ขนาดหัวแม่มือยื่นตามมาอีกอัน "-ส่วนอันนี้ไม้ไผ่กล้อง บางคนเรียกไม้ไผ่ปล้อง ชนิดเดียวกันกับที่พวกเงาะป่าใช้ทำกระบอกตุดยิงสัตว์ ครูเคยเห็นมั้ย..."

ข้าพเจ้าสั่นหน้าอีกครั้ง

"สี่ห้าปล้องมัดรวมกันเข้าแล้วติดที่ปลายอีกด้านของใบลูกลม อันนี้จะให้เสียงแหลมเรียกว่าลูกเหวยหรือลูกหวีด"

"ด้านหนึ่งติดลูกร้องเสียงทุ้ม อีกด้านติดเสียงแหลม" ข้าพเจ้าทวนความ

"ก็แล้วแต่...บางคนอาจติดลูกฮุยทั้งสองข้าง บางคนอาจติดลูกหวีดทั้งสองข้าง แต่ผมชอบเสียงทุ้มข้างแหลมข้าง เวลาลมจัดๆลูกฮุยจะให้เสียงทุ้มต่ำประสานกับเสียงกรีดโหยหวนของลูกหวีด"

"อันโน้นล่ะ" ข้าพเจ้าบุ้ยปากไปที่ไม้ไผ่อีกท่อนที่วางอยู่ใกล้ๆกัน

"อันนี้เป็นไผ่สีสุกใช้ทำแกนหมุนติดตรงสะดือของใบลูกลม เนื้อมันหนาทนแรงลมได้ดี ไผ่อื่นจะบางกว่า โดนเข้าไม่กี่ลมก็แตก ขนาดไผ่สีสุกแล้วถูกเข้าบางลมยังแตกกระจาย แกนหมุนที่สะดือนี่ต้องพิถีพิถันมาก เพราะมันต้านแรงลมโดยตรง บางทีแรงเสียดสีทำให้ลุกเป็นไฟ

"ถึงงั้นเชียว"

เขาหัวเราะในลำคอ "บางทีไฟลุกท่วมยอดไม้เลยครู"

"ตกลงผมยังไม่รู้เลยว่าที่เลือกใช้ไม้หลอขาวน่ะมันเป็นเคล็ดยังไง"

"ครูเคยได้ยินคำว่าลูกลมพรหมโหดมั้ย"

ข้าพเจ้าไม่อยากสั่นหน้าจึงต้องตอบเบาๆว่า "ไม่"

"เป็นครูยังไง ไม่รู้จักลูกลมพรหมโหด"

ข้าพเจ้าฉุนกึก "เป็นครูมันเกี่ยวอะไรกับลูกลมพรหมโหดพรหมเหวอะไรนั่นด้วยล่ะ"

"ก็ในเรื่องพระลอ พระเพื่อน กับพระแพงหลงรักพระลอ จึงให้สองสาวใช้คือนางรื่นกับนายโรยไปหาปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้าใช้คาถาเสกลูกลมธงขึ้นบนยอดไม้ ลูกลมอาคมของปู่เจ้านั่นแหละที่เรียกและนำทางพระลอมาพบรักกับสองศรีพี่น้อง และต้องมาตายด้วยกันทั้งสามคน ครูยังไม่ได้อ่านหรือแกล้งลืม"

ข้าพเจ้านั่งอ้าปากอยู่สองสามอึดใจ ยอมรับกับตัวเองว่าประมาทคู่ต่อสู้เกินไป (ปกติข้าพเจ้าเป็นคนอ่านน้อยอยู่แล้ว อย่าว่าแต่วรรณคดีคลาสสิคอย่างพระลอนั่นเลย แม้แต่เรื่องที่อ่านกันแพร่หลายอย่างพระอภัยมณีของสุนทรภู่ ก็ได้อ่านเฉพาะตอนที่ต้องใช้สอนนักเรียนเท่านั้น) แต่แกล้งพยักหน้าทำอมภูมิและถามกลับไปว่า "รู้ได้ยังไง"

"ผมอ่าน..." เขาตอบเสียงเบาตามบุคลิก "ครูอาจไม่รู้ว่าสมัยบ่าวๆผมเป็นนักสวดหนังสือตัวยง"

เขาหมายถึงการอ่านออกเสียงแบบทำนองเสนาะของถิ่นใต้ มีลีลาคล้ายกลอนหนังตะลุง

ข้าพเจ้าอ้าปากกว้างกว่าเดิมและนิ่งเงียบไปราวสี่ห้าอึดใจ

"เล่ากันว่าบ่าวไหนหลงรักสาวไหนแล้วไม่มีโอกาสสมหวัง ก็จะไปหาหมอลูกลม..." เขาว่าต่อ "พ่อหมอผู้แก่กล้าอาคมก็จะทำลูกลมเสกคาถาที่ปากลูกร้อง เอาไปธงไว้บนยอดเขา แต่ต้องเป็นยอดเขาที่ทำพิธีขอแล้วและเจ้าที่เจ้าทางไม่ขัดขวาง ใกล้ไกลพอประมาณกะว่าพอให้สาวได้แว่วเสียง คนอื่นที่อาจได้ยินด้วยก็จะได้ยินเสียงลูกร้องของลูกลมเหมือนที่เราได้ยิน แต่สาวที่ถูกเจาะจงจะกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ได้ยินเสียงลูกร้องลงอาคมเรียกวอนอ้อนรักอยู่ตลอดเวลา เสียงเรียกนั้นจะดัง 'สาวเหอ...สาวเหอ...สาวเหอ...' ผ่านคืนไปจนสว่าง ยิ่งดึกดื่นยิ่งหนาวเย็นยิ่งโหยหวน หนุ่มไปยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ที่ธงลูกลม ไม่เกินสามคืนสาวก็จะหนีจากบ้านมาถึงโคนลูกลมตามเสียงเรียก แล้วรักก็จะสมหวัง..." เขายิ้มเต็มวงหน้าขณะจบประโยคสุดท้าย

"รู้ได้ยังไง" เหมือนว่าข้าพเจ้าจะถามเป็นอยู่คำถามเดียว

"ก็...ทวดเล่าให้ปู่ฟัง ปูเล่าให้พ่อฟัง และพ่อเล่าให้ผมฟัง"

"เดี๋ยวนี้ยังพอหาได้อีกมั้ย"

เขาสบตาข้าพเจ้าแทนคำถาม

"ผมจะเอาไปธงที่ใกล้บ้านนายก ได้ข่าวว่าลูกสาวคนสุดท้องทั้งสวยทั้งรวย"

เขาหัวเราะและจำขี้ปากของนักปรัชญาขี้เท่อมาผลิตซ้ำว่า "อารมณ์ขันเป็นความสุขที่ไม่ต้องซื้อหา"

"ตกลงยังหาได้อีกมั้ย...ไอ้ลูกลมพรหมโหดพรหมเหวที่ว่าน่ะ"

"ที่ไหน...ผมก็ฟังเขามา..." เขาหัวเราะอีก "-แต่ตอนเด็กๆผมเห็นคนในหุบเขานี่ธงลูกลมแก้บนกันเป็นประจำ บนให้มีโชค ให้หายป่วยหายไข้ มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ เรื่องของหาย เรื่องฝนเรื่องฟ้า ก็บนทวดยาโฮ้ง ทวดกรุงจีน ทวดแซ่แกน..." เขาหมายถึงภูเขาสามลูกทางด้านทิศเหนือซึ่งเป็นที่มาของตำนานแห่งหุบเขา "บนแล้วก็ต้องแก้บน เดือนสามเดือนสี่ก็จะทำลูกลมไปธงถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันทุกปี" ข้าพเจ้าลุกขึ้นบิดสะเอวเป็นเชิงบอกเขาว่าหมดเวลาสนทนา แต่ก่อนกลับข้าพเจ้ายังมีคำถามและเป็นคำถามที่ตั้งใจ...บางทีเขาก็ควรจะรู้จักตัวเองบ้างว่าคนอย่างเขานี่แหละคือต้นแบบของคนที่ 'รู้มาก-ยากนาน'

"เอาละผมจะถามคำถามสุดท้าย..." ข้าพเจ้ากลืนน้ำลายก่อนเริ่มคำถาม เผกหวา ประสานสายตาและนิ่งฟังอย่างตั้งใจ (เขาเป็นคู่สนทนาที่น่าชื่นชม คือจะพูดเสียงเบาสั้นกระชับ และตั้งใจฟังเวลาคนอื่นพูด) "วันนี้ผมได้รู้เรื่องราวของลูกลมมากมาย เป็นเรื่องที่ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ถึงยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์หรือมีราคาค่างวดอะไรอีกแล้วในปัจจุบัน มันกลายเป็นของเล่นที่ต้องลงทุนแรงกันข้ามเดือนข้ามปี ต้องใช้เวลาประดิดประดอย และต้องแบกหามมันขึ้นไปผูกไว้กับยอดไม้บนภูเขาด้วยความเหนื่อยยาก ผมอยากถามจริงๆว่าทำมันไปทำไมทุกปี และมันเกิดประโยชน์โภชน์ผลอะไรกับตัวเอง-กับคนอื่น-และกับสังคมบ้าง"

หลังคำถามยืดยาว ข้าพเจ้าเห็นเผกหวานั่งก้มหน้านิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจและค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาข้าพเจ้า วงหน้าสามเหลี่ยมที่มีหน้าผากผายกว้างนั้นดูแข็งกระด้างและทระนง แต่แววตาในกรอบตาเรียวเล็กกลับแปลกต่างออกไป วาบแรกที่เขาเงยหน้าขึ้นคล้ายจะคละระคนกันระหว่างความผิดหวังเจ็บปวดและเกลียดชัง วาบหลังก่อนที่เขาจะหลบตาลงมันกลับลึกล้ำว้าเหว่อยู่ในความหม่นเศร้าและโดดเดี่ยว

เขาไม่ตอบคำแต่ผละจากวงสนทนาและเร้นหายไปในแนวป่าหลังกระท่อมอย่างเงียบๆ...

๓.

'ฝนแช่ซัง' ซึ่งโปรยปรายลงสู่หุบเขาตั้งแต่ฝูงนกเพิ่งตื่นนอน เริ่มขาดเม็ดไปแล้วเมื่อข้าพเจ้าไปถึงเพิงขายขนมครก ควันไฟจับกลุ่มโขมงจนมองไม่เห็นแม่ค้า เด็กผู้หญิงสองคนซึ่งยืนรออยู่ก่อนแล้วเขย่าเพิงร้องเร่งไม่หยุดปาก

"เร็วหน่อยๆ...ครบหรือยัง...กระทงนี้ของเรา...เรามาก่อน...ให้เราก่อนเรารีบ...เราก็รีบ...เรารีบกว่า..."

"รีบๆกันทั้งนั้นแหละ แม่ค้ายิ่งรีบกว่าใคร...รีบจะเอากะตังค์..." แม่ค้าว่ากลั้วเสียงหัวเราะ สองมือของนางร่ายมนตร์เป็นจักรผัน ทั้งพัดไฟ ทำความสะอาดหลุมขนม หยอดแป้ง หยอดน้ำกะทิ แคะขนมที่สุกแล้ว ประกบคู่และจัดใส่กระทงใบตอง ขณะที่ปากก็บรรเลงแข่งกับลูกค้าตัวน้อยๆแบบไม่หายใจหายคอ "อีกแป๊บเดียวก็ได้แล้ว...ฝนเจ้ากรรมนี่ก็ดันลงมาผิดเวล่ำเวลา...ไม้ไฟไม้ฟืนเปียกหมด...สองฝานี่สุกพอดี...อีกสองคู่ก็ครบแล้ว...เอ้าฝานี้เกรียมไปหน่อย...ไฟก็ติดๆดับๆ...ร้อนไม่เสมอ...ขนมสุกไม่พร้อมกันอย่างนี้แคะยาก...ฝาโน้นยังไม่สุก...ฝานี้เกรียมแล้ว...ที่เกรียมๆอย่างนี้กรอบน่ากิน...กรอบก็อร่อย...นิ่มก็อร่อย..."

"แต่ที่ดิบๆไม่อร่อย...พุงขึ้น" ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ แม่ค้าเงยหน้ายิ้มหลังม่านควันสีเทาหม่น "ครูจะเอาเท่าไหร่คะ"

"สองกระทง...ขอที่เกรียมๆหน่อย...ดิบๆไม่เอา" ข้าพเจ้าบอก

"ไม่ดิบหรอก...ไอ้พวกนี้ก็ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง...รอเดี๋ยวนะคะ"

ขณะที่ยืนรอขนมครกอยู่นั้น ข้าพเจ้าเห็นมือของแม่ค้าเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับการงานอย่างได้จังหวะจะโคน มันทำให้ความยุ่งเหยิงมากมายที่สุมอยู่ข้างหน้าของนาง กลายเป็นสิ่งละอันพันละน้อย ที่เรียงลำดับลงตัวกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาที่ต้องยืนรอทำให้ข้าพเจ้าเริ่มสังเกตรายละเอียดด้วยความตั้งใจ

รางขนมครกขนาดกลางซึ่งทำจากเหล็กหล่อแบบโบราณนั้น มีหลุมขนมเรียงอยู่เต็มพื้นที่วงกลม ข้าพเจ้าลองนับแล้วนับอีกถึงสามครั้งจึงมั่นใจว่ามันมีอยู่ทั้งหมด ๑๔ หลุม เรียงเป็นวงกลมตามแนวขอบราง ๑๐ หลุม อยู่ตรงกลางวงอีก ๔ หลุม ถ้าดูในแนวตั้งหรือแนวนอน จำนวนหลุมในแถวสี่แถวจากซ้ายไปขวา หรือสี่แถวจากบนลงล่าง ก็จะเรียงด้วยจำนวน ๓-๔-๔-๓ เหมือนกัน แต่ถ้าจะดูให้เป็นสองซีก ซีกบนสองแถวจะมี ๗ หลุม (๓ กับ ๔) และซีกล่างสองแถวอีก ๗ หลุม (๔ กับ ๓) ประการสำคัญคือฝาปิดหลุมซึ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนที่อยู่ตลอดเวลานั้น มันมีเพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนหลุมเท่านั้น

แม่ค้าใช้เปลือกมะพร้าวที่ตัดแต่งเป็นชิ้นเล็กๆขนาดหัวแม่มือ แตะน้ำมันมะพร้าวซึ่งผสมด้วยไข่แดงต้มสุก แล้วเช็ดหลุมขนมในรางซีกล่างอย่างรวดเร็ว ๑-๒-๓-๔ และ ๑-๒-๓ ใช้จวักอะลูมิเนียมคนแป้งข้าวเจ้าผสมน้ำในหม้อเคลือบสองสามรอบ แล้วตักหยอดลงในหลุม หลุมละครึ่ง ก่อนจะตักน้ำกะทิจากหม้ออีกใบหยอดตามลงไป เมื่อหยิบฝาครอบจากรางซีกบนลงมาปิดนั่นหมายถึงการเปิดฝาหลุมทั้งแปด ของรางซีกบน ซึ่งขนมในหลุมใต้ฝาครอบจะสุกพอดี นางใช้ซ้อนสังกะสีแคะขนมจากหลุมลงวางหงายเรียงแถวไว้ในถาด...หยิบเปลือกมะพร้าวที่วางอยู่ในถ้วยน้ำมันเช็ดหลุมในรางซีกบน ๑-๒-๓ และ ๑-๒-๓-๔ ตักแป้งหยอดลงไป ตักน้ำกะทิหยอดตาม เปิดขวาครอบจากรางซีกล่างขึ้นไปปิด ขนมในรางซีกล่างทั้งเจ็ดหลุมจะสุกพอดีอีกเช่นกัน หยิบช้อนแคะและประกบลงไปบนซีกที่วางหงายรออยู่ในถาดก่อนแล้ว ครบกระบวนนางก็จะได้ขนมครกสำหรับลูกค้าตัวน้อยของนาง ๗ คู่ ๑ กระทง

ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าฝาครอบหลุมจะมีครบตามจำนวนของหลุมบนรางขนมครกหรือไม่ แต่การเคลื่อนไหวอย่างมีทักษะของมือแม่ค้าบอกข้าพเจ้าว่า ฝาครอบหลุมเพียงครึ่งเดียวของจำนวนหลุมคือความพอดี มันเป็นความพอดีที่ดูเหมือนจะขาดหายไป (จากสายตาที่มองอย่างผิวเผิน) ทั้งที่ในความจริงของการทำขนมครกแล้ว หากฝาครอบหลุมมีครบตามจำนวนหลุม อีกครึ่งหนึ่งก็จะกลายเป็นส่วนเหลือที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้เลย

ก้อนหินหรือ 'ก้อนเส้า' ที่วางอยู่บน 'แม่ไฟ' เบื้องหน้าของนางก็เช่นกัน ความจริงแล้วมันคือเตาไฟง่ายๆที่เคยใช้อยู่ตามครัวไฟของชาวบ้าน ในยุคที่ไม้ฟืนยังไม่มีมูลค่า ก้อนหินขนาดเดียวกันวางแยกมุมเป็นสามเส้า ระหว่างหินสามก้อนเป็นทั้งช่องใส่ฟืนและช่องระบายลม ไม้ฟืนสามสี่ท่อนจะเข้าไปเกยหัวกันกลางเตา ที่ว่างระหว่างดุ้นฟืนทำให้ไฟติดสม่ำเสมอ ช่องระบายลมช่วยไม่ให้ไฟแรงเกินไป รางขนมเหล็กหล่อเก็บความร้อนไว้ได้นาน ขนมครกในหลุมเล็กๆที่ได้ไฟอ่อนๆสม่ำเสมอ จึงกรอบนอกนุ่มในและหอมกลิ่นควันไฟ

นอกจากมันจะเป็นเตาไฟสำหรับขนมครกที่เหมาะเจาะลงตัวที่สุดแล้ว รางเหล็กหล่อที่วางอย่างง่ายๆแต่มั่นคงอยู่บนก้อนหินสามก้อนนั้น ยังบอกเล่าถึงความลงตัวพอดีในอีกมุมหนึ่งด้วย...ท่ามกลางความต้องการความมั่นคงและความสะดวกจากรถยนต์สักคัน ข้าพเจ้าเพิ่งได้คิด ความมั่นคงไม่จำเป็นจะต้องวางอยู่บนฐานสี่ตำแหน่งหรือสี่ล้อของรถยนต์เสมอไป...

คิดถึงวงหน้าสามเหลี่ยมซึ่งมีหน้าผากผายกว้างของเจ้าของกังหันลมบนยอดเขาหน้าแดง และคิดถึงสีแดงเลือดนกที่บาดความรู้สึกของยนตรกรรมคันที่เพิ่งผ่านไป เช้าวันนี้การงานอันลงตัวและเรียบง่ายของแม่ค้าขนมครก ช่วยชี้ลู่ทางให้คำถามที่เคยขึ้งเคียดและหนักอึ้งดั่งหินผาได้คลี่คลายไปพบคำตอบของมัน...เป็นคำตอบที่เรียบง่ายและบางเบาดั่งลักษณาการของขนนกปลิวลม

แดดอ่อนอุ่นสาดผ่านยอดไม้ลงอาบไล้ยอดหญ้าชุ่มฝน ข้าพเจ้าหิ้วขนมครกสองกระทงย่ำกลับไปบนทางดินแดงเขรอะโคลน ลมภูเขาล่องหุบผ่านใบไม้หมาดน้ำ เสียงลูกร้องของกังหันลมบนยอดเขาหน้าแดงอ่อนแรงลงครวญคราง เหมือนเสียงโอมอ่านคาถาศักดิ์สิทธิ์จากวงปากกลางดงหนวดของปู่เจ้าสมิงพรายกำลังเริ่มขึ้น...จากสามแยกหน้าสถานีอนามัย ผู้คนในหุบเขาอาจแหงนขึ้นดูทิศทางลมได้จากแพนหางขนาดทางมะพร้าว อาจฟังความแรงของลมได้จากเสียงกรีดของลูกร้อง และการคาดคำนวณก็ย่อมนำไปสู่เรื่องราวของฝนฟ้า ซึ่งสัมพันธ์อยู่กับวิถีชีวิตและการทำมาหากินของพวกเขา ไม่มีอะไรเปล่าดายในวิถีอันเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยศิลปะอันสูงส่งของชีวิตหมู่บ้าน เพียงว่าความหยาบกระด้างของวิถีบริโภคจะทำความเข้าใจได้หรือไม่เท่านั้น

ข้าพเจ้าสูดเอาความสดชื่นกลางลำแดดอ่อนอุ่นจนเต็มปอด ชั่วขณะจิตนั้นเหมือนร่างผอมสูงดั่งไม้เสียบผีของเผกหวาจะปลิวลมผ่านทางไปอย่างรวดเร็ว...

แสดงความคิดเห็น

« 6292
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ