เรื่องสั้น
กอกล้วย
กอกล้วย จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์
1. ผมกำมีดพร้าแน่นในมือ แล้วเหวี่ยงฟันลงไปอย่างเต็มแรง เพียงเท่านั้นกล้วยต้นนั้นก็ล้มครืน.ผมไม่รีรอ ยกต้นกล้วยต้นขนาดโคนขาแบกขึ้นบ่า เดินตรงดิ่งออกไปยังหน้าบ้าน
2.
มันเป็นบ่ายวันอาทิตย์ ที่ผมคิดว่าเป็นแค่วันหยุดธรรมดาวันหนึ่ง ที่ผมจะได้ใช้เวลาส่วนตัว ไปกับการนอน อ่านหนังสือ และขัดเกลาต้นฉบับงานเขียนที่เขียนไว้ตั้งแต่คืนวันเสาร์ ผมเขียนมันไปถึงเช้า ก่อนตื่นมาในตอนสายๆ เดินสำรวจสวนผักหลากชนิดที่ปลูกแทรกไว้ระหว่างต้นจำปี และพุ่มสายหยุด แล้วเดินไปเก็บผักตำลึงจากริมรั้ว เพื่อจัดการกับอาหารมื้อแรกของวันด้วยเมนูส่วนตัว เป็นผักตำลึงผัดไข่ เติมรสด้วยน้ำมันหอย ผมคิดว่าจะไม่ออกไปไหนในวันนี้ หุงข้าวไว้หม้อหนึ่ง ผักตำลึงยังมีเหลือ หากไม่พอก็อาจสอยมะละกอลงมาสักลูก ผัดกับไข่ ด้วยเมนูส่วนตัว
ครั้นเมื่ออาหารมื้อแรกตกลงท้อง ก็ลงมืออ่านเรื่องสั้นขนาดยาว ผลงานใหม่ของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ อ่านจบผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนทุบหัว มึนตื้อ คิดสับสนกับเรื่องราวในเรื่องสั้น มันเป็นเรื่องสั้นชั้นดี แต่เหมาะสำหรับคนคอแข็ง
ผมอยากนอนขึ้นมาอีก หนนี้ผมหลับยาว และตื่นขึ้นมาในช่วงบ่ายแก่ๆ เดินไปเปิดประตูหลังบ้าน หวังสัมผัสกลิ่นดอกจำปีที่บานดอกพราวพร่าง ส่งกลิ่นหอมโชยให้ประสาทตื่น แต่ก็ยังรู้สึกสะลึมสะลือ ตาปรือ เงยมองแดดยามบ่ายส่องลงเฉียงๆ ตามร่มเงาไม้ พลางสะบัดศีรษะไล่ความมึนตื้อ
พลันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงโห่ฮา เป็นเสียงของเด็กผู้ชาย คงมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งคน แปลก...นานทีปีหนถึงจะได้ยินเสียงเด็กๆ ตรงสวนหลังบ้าน ซึ่งอยู่ติดสวนยางแก่ร่มครึ้ม
เสียงเฮฮาของเด็กๆ ยังดังมาต่อเนื่อง แล้วตามมาด้วยเสียงของต้นไม้กระทบกันดังแสกสากๆ ผมชะเง้อมองข้ามพุ่มสายหยุดออกไป เห็นร่างคนไหวๆ อยู่ตรงนั้น ใบไม้ไหวพะเยิบพะยาบ สังเกตอีกที เสียงนั้นดังมาจากกอกล้วยไข่พันธุ์ดีต้นขนาดโคนขา ที่เพิ่งยืนต้นโตสูงได้แค่ราวสองเมตร และเห็นชัดว่าต้นกล้วยต้นหนึ่งกำลังสั่นสะเทือน เป็นจังหวะเดียวกับเสียงฉึก ๆ ๆ ที่แทรกขึ้นระหว่างเสียงโห่ฮานั้น
ผมยังไม่คิดอะไร คิดเพียงว่าเด็กๆ คงนึกขยัน เล่นสนุก ไม่ก็โดนพ่อแม่สั่งให้มาถางหญ้ารกริมรั้ว แน่นอนว่า ที่มันรกเรื้อได้ขนาดนั้นก็เป็นเพราะช่วงหลังผมไม่ค่อยมีเวลาไปตัดแต่งมันเลย
เสียงจากริมรั้วยังดังมาไม่ขาดระยะ คราวนี้ผมเดินใกล้เข้าไปอีก กอกล้วยยังไหวยวบยาบ เสียงฉึก ๆ ๆ ดังต่อเนื่อง และเริ่มถี่แรง ผสานเสียงร้องโห่ฮาดังลั่น
ผมหยุดลอบมองจากพุ่มสายหยุด พวกเขามีด้วยกันสามคน คนหนึ่งก้มงุดๆ อยู่ใกล้โคนต้นกล้วย พวกที่เหลือยืนส่งเสียงเชียร์อย่างสนุก หนนี้ผมมั่นใจ เด็กพวกนั้นกำลังโค่นต้นกล้วย!
"เฮ้ย...ทำอะไรกัน?!" ผมตะโกนออกไปเมื่อเห็นท่าไม่ดี
เพียงเท่านั้น พวกเด็กทั้งสามก็พากันวิ่งจ้ำอ้าว หนีเตลิดไปคนละทิศละทาง
หยุดยืนอยู่ตรงกอกล้วย มองผลงานของเด็กพวกนั้น ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมพวกเด็กถึงมาโค่นต้นกล้วยต้นนี้ แม้มันจะแตกหน่อยืนต้นออกไปรุกล้ำเขตสวนยาง แต่มันก็หาได้เกะกะถึงขนาดต้องโค่นทิ้ง...แต่ลองคิดอีกทีเด็กๆ จะรู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องพวกนี้ ทั้งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเห็นเด็กๆ มาวิ่งเล่นแถวนั้นเลยสักครั้ง หรือพวกเขาถูกส่งมาโดยผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่งในหมู่บ้าน?
3. ถัดจากรั้วหลังบ้านผมไปเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แทรกตัวอยู่ใต้ร่มเงาของสวนยาง ผมไม่รู้จักมักคุ้นกับคนในละแวกนั้นเลยสักคน และแม้ผมจะเป็นเพียงผู้มาอาศัย แต่เมื่อผมมาอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ควรเคารพสิทธิในฐานะลูกบ้านคนหนึ่ง กล้วยต้นหนึ่งผมไม่เสียดายหากพวกเขามาพูดกันดีๆ ทั้งผมก็ยินดียกผลผลิตของกล้วยต้นนั้นให้ หากเห็นว่ามันรุกล้ำพื้นที่ของพวกเขา แต่นี่พวกเขากลับใช้เด็กๆ ปลูกฝังความคิดผิดๆ ให้เด็กๆ มิน่า...เด็กวัยรุ่นส่วนหนึ่งในหมู่บ้านถึงกลายเป็นพวกติดเหล้า
อารมณ์โกรธผมพลุ่งพล่าน เมื่อเห็นรอยแผลเหวอะหวะตรงโคนต้นกล้วย มันคงขาดลงเป็นแน่ หากผมมาช้าเพียงก้าว แต่มันจะมีประโยชน์อะไรอีก เพียงเมื่อลมพัดแรงกล้วยต้นนี้ก็คงล้มลง และตายในที่สุด
ใช่, เมื่อต้นปีก็หนหนึ่งแล้ว ที่กล้วยกอนี้ล้มครืนลงนอนพังพาบ ทั้งที่เพิ่งออกปลี ครั้งนั้นฝนห่าใหญ่มาพร้อมลมกระโชกแรง ดินตรงนั้นร่วน และนุ่ม ไม่อาจยึดกล้วยไว้ได้แม้สักต้น ผมยังนึกเสียดายไม่หาย ก่อนนั้นมันติดลูกแล้วหนหนึ่ง กินไม่หมดผมยังเอาแจกจ่ายป้าชินกับลุงชูคนบ้านติดกัน ซึ่งเป็นคนที่ผมเคารพนับถือ
ลุงชูเป็นครูในวัยเกษียน บ่อยครั้งที่ผมมักนำเรื่องสั้นที่ผมเขียนไปให้แกอ่าน ซึ่งแกก็ชอบ อีกทั้งยังให้คำแนะนำ และกำลังใจแก่ผมเสมอ สองตายายเป็นคนมีน้ำใจ มีอะไรดีๆ ก็คอยหยิบยื่นให้ผมไม่ขาด ทั้งกับข้าว ขนม ฯลฯ
ด้วยความสนิทสนม และอยู่บ้านติดกัน ทั้งยังไว้วางใจซึ่งกันและกัน ป้าชินจึงเป็นคนเดียวที่ผมอนุญาตให้เข้ามาเก็บเกี่ยวพืชผักจากสวนหลังบ้าน ที่ผมลงแรงปลูกไว้ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าว ซึ่งมีทั้งพริกชี้ฟ้า ข่า มะนาว ใบชะมวง และชะอม ก่อนนี้ป้าชินกับลุงชูก็ลงแรงปลูกเองบ้างที่สวนหลังบ้านแกเอง แต่เมื่อต้องเลี้ยงหลาน และด้วยวัยชราที่มีโรคประจำตัว สวนหลังบ้านแกจึงค่อยรกร้างไป ต่อมาผมจึงขอย้ายพืชผักสวนครัวที่กำลังจะตายนั้นมาปลูกไว้ในสวนของผม หวังใช้มันเป็นที่ผ่อนคลายยามเหน็ดเหนื่อยจากงาน
ป้าชินกับลุงชูอยู่กับน้องน้ำฟ้า เป็นหลานสาววัยแปดขวบ พ่อกับแม่ของเธอทำงานอยู่กรุงเทพฯ นานๆ ถึงลงมาเยี่ยมสักครั้ง
น้องน้ำฟ้าเป็นเด็กร่าเริง นิสัยดี ทุกครั้งที่ผมซื้อขนมมาฝาก เธอจะยกมื้อไหว้นอบน้อม และเธอก็ชอบเล่นกับผม น้องน้ำฟ้าเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่สอง ซึ่งเป็นโรงเรียนในหมู่บ้าน บ่อยครั้งที่ลุงชูขอช่วยผมสอนการบ้านให้เธอ ซึ่งผมก็ยินดีช่วยอย่างเต็มใจ
ความรู้สึกผูกพันต่อครอบครัวของป้าชินกับลุงชูนี่เอง ที่ทำให้ผมยังอยากจะอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะความหวังก่อนหน้าที่ผมจะย้ายมาอยู่กับหมู่บ้านแห่งนี้นั้น ได้หายไปกับสายลมและแสงแดดตั้งแต่ปีแรกนั่นแล้ว
4. ก่อนมาอยู่บ้านเช่าแห่งนี้ ความคาดหวังของผมอย่างหนึ่งคือความเป็นหมู่บ้าน ที่ผมสามารถเก็บเกี่ยวเรื่องราวมาใช้ในงานเขียนได้ แต่นี่ล่วงมาแล้วสองปีเต็มๆ ที่ผมแทบไม่ได้อะไรเลย คนที่นี่ไม่สังคมกับคนที่ไม่กินเหล้า กลางคืนตรงปากซอยพวกวัยรุ่นในหมู่บ้านมักตั้งวงเหล้า ยี่สิบสามสิบบาท คือเงินที่ผมต้องจ่ายเป็นบางครั้งหากวัยรุ่นคนใดคนหนึ่งในวงเหล้าโบกมือให้จอด นั่นคือสิ่งที่ผมได้จากหมู่บ้าน มันหาได้นำความประทับใจใดๆ แก่ผมเลย
ไม่เพียงแต่วัยรุ่น ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ทำผมเลิกศรัทธาต่อความเป็นหมู่บ้านเล็กๆ, หนนั้นเขามาในอาการเมาได้ที่ เดินตรงมายังผม ขณะผมกวาดขยะอยู่ตรงหน้าบ้าน ขอเงินไปห้าสิบบาท บอกจะเอาไปใช้เป็นค่าแรงถางหญ้าริมทางเข้าหมู่บ้านที่รกเรื้อ ผมไม่เสียดายเงินห้าสิบบาทนั่นหรอก หากเรื่องค่าแรงที่ยกมาอ้างนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เมื่อมารู้ภายหลังว่าชายวัยกลางคนเป็นเพียงขี้เมาคนหนึ่งที่หลอกขอเงินไปเติมเหล้าลงท้อง ผมถึงกับต้องถามตัวเองว่า แท้จริงแล้วภาพที่สวยงามอันเกี่ยวแก่หมู่บ้านมีอยู่จริงหรือ?
ผมยืนมองต้นกล้วย นึกแค้นใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ ทั้งไม่รู้จะเรียกร้องเอากับใคร แค่กล้วยต้นหนึ่งผมคงไม่กล้าเสี่ยงไปต่อว่า แค่จ่ายค่าเหล้ากับวัยรุ่นในหมู่บ้านคราวละสามสิบสี่สิบบาทก็หนักพอแล้ว
เดินกลับเข้าบ้านอาบน้ำให้ร่างกายชุ่มเย็น ผ่อนคลายความขุ่นข้องหมองใจเรื่องต้นกล้วย ผมไม่อยากคิดอะไรอีก ปล่อยให้น้ำไหลผ่านร่าง ไม่นานกล้วยก็แตกหน่อใหม่ได้เอง เสียไปต้นหนึ่ง ช่างมันเถอะ!
เปิดประตูเดินออกไปหลังบ้าน แดดบ่ายร้อนแรงจนต้องหรี่ตาหลบ พลันผมก็ได้ยินเสียงเรียก
"น้ายา...ช่วยน้องน้ำฟ้าทำกระทงหน่อยสิคะ"
หันไปมองเจ้าของเสียงใสๆ น้องน้ำฟ้ากำลังนั่งจัดเรียงดอกไม้ ธูป เทียนอยู่ตรงม้าหินอ่อนหน้าบ้าน ผมพลันนึกขึ้นมาได้
"อ้าว...วันนี้วันลอยกระทง!" ผมพูดออกมาลอยๆ ขณะเดินไปหาน้องน้ำฟ้า
"น้ำฟ้าจะทำกระทงด้วยละ" เสียงเธอยังฟังดูสดใส ขณะเงยมองผมด้วยใบหน้ายิ้มรื่น ดวงตากลมใสเป็นประกาย
"เด็กๆ มากันแล้วหรือน้ำฟ้า?" นั่นเสียงป้าชิน พูดดังออกมาจากในบ้าน
ไม่ทันผมจะเอ่ยพูดอะไรต่อ ป้าชินก็มายืนอยู่ตรงหน้าบ้าน ก่อนเอ่ยทักผมทันที
"อ้าว...ยาตื่นแล้วหรือ? วันนี้เด็กๆ ที่โรงเรียนนัดกันมาทำกระทงที่บ้านน้ำฟ้าน่ะ" ผมยกมือเกาหัวแก้ขวย นึกอายที่ผมลืมไปแล้วว่า วันนี้เป็นวันลอยกระทง
"คงเขียนหนังสือดึกอีกละสิ ป้าว่าจะเรียก...เห็นว่ายังนอนอยู่ เลยให้เด็กๆ ออกไปตัดต้นกล้วยหลังบ้านเธอมาสักต้น เห็นต้นมันไม่ใหญ่เกินแรง แต่นี่เห็นหายกันไปนานผิดปกติ" ป้าชินพูดด้วยน้ำเสียงมีกังวล
ผมรู้สึกใจหายวาบ ถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
"นั่นสิยาย...น้ำฟ้าคงอดไปลอยกระทงแน่เลย" น้องน้ำฟ้าพูด พลางเงยมองหน้าผมด้วยแววตาละห้อยเศร้า
"น้องน้ำฟ้าไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวน้าไปจัดการให้เอง!" ผมพูดเสียงดัง หันไปมองป้าชินแวบหนึ่ง เห็นแกยืนทำหน้าเหลอมองจ้องมาทางผม
ผมไม่พูดอะไรต่อ รีบสาวเท้าเดินกลับเข้าบ้าน ฉวยมีดพร้าตรงดิ่งไปยังกอกล้วย ยืนจ้องโคนต้นกล้วยที่เต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ กำมีดพร้าแน่นมือ แล้วเหวี่ยงฟันลงไปอย่างเต็มแรง
...................จบ.................