เรื่องสั้น

เมียของพ่อ

by จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ @November,15 2006 19.22 ( IP : 203...28 ) | Tags : เรื่องสั้น

จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์


ผมยิ้มให้นางเป็นการทักทาย ก่อนเดินเลี่ยงไปหาพ่อ ทว่านางยังพูดไล่หลังด้วยเสียงที่ดังราวกำลังตะโกน...

"อานั่น...ลูกยา มาคนเดียวเหอลูก น้องไม่มาเหอลูก..." นางยังเดินตามมาคุยอย่างเอาใจ ขณะที่ผมพยายามเดินเลี่ยงไปทักทายพ่อตรงชายคา เห็นพ่อกำลังง่วนอยู่กับขวดปลากัดที่เรียงรายอยู่บนชั้นวางข้างฝา

"พ่อ...หวัดดีครับ" ผมกล่าวทักทายพ่อ ขณะยกมือไหว้อย่างนอบน้อม

พ่อยิ้มรื่นแต่ก็เอียงหน้าฟังเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด

"พ่อมึงหูหนัก ไม่ใช่ได้ยินไหรแล้ว ต้องแหลงดังๆ ลูกเหอ" จู่ๆ นางก็เดินมาแทรกระหว่างกลาง แล้วพูดดังจนหูแทบแตก ผมส่ายหน้าเดินขึ้นเรือนเอากระเป๋าไปเก็บ นั่งถอนใจยาว มองนางจากบนเรือน เห็นนางเดินพาร่างอ้วนฉุ ห่มร่างด้วยผ้าถุงกระโจมอกหลวมๆ ไปคว้าเสื้อตัวเก่ามาสวมใส่อย่างรีบร้อน

ใครๆ ก็ว่านางเป็นคนบ้า ไม่เต็มเต็ง พูดจาเสียงดัง ไม่เลือกกาลเทศะ จนชาวบ้านชาวช่องพากันเดินหลีก ไม่อยากเฉียดกรายเข้าใกล้...

แม่จากไปเพียงปีเดียวพ่อก็นำนางเข้าบ้าน ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าพ่อได้นางมาอย่างไร เพราะนั่นไม่สำคัญเท่าที่พ่อเลือกนางมาเป็นเมีย ท่ามกลางเสียงคัดค้านของลูกๆ
แม้เวลาจะล่วงเลยมาสองปีเต็มๆ แล้วที่นางมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมชายคากับพ่อ แต่ผมและพี่น้องอีกแปดคนก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้...จะยอมรับได้อย่างไร ขนาดพ่อเองก็ยังบอกแก่พวกเราว่า อย่าถือสาอะไรกับนางให้มาก นางมาจากป่าเขา ดงดอย เป็นคนดิบเถื่อน ไม่ประสีประสาเหมือนเด็กๆ

แต่ก็เป็นเพราะนางไม่ใช่หรือที่ทำให้พี่น้องคนอื่นๆ ของผมไม่อยากกลับบ้าน พวกเขาบอกว่าเบื่อที่จะมานั่งฟังเสียงที่ดังเหมือนฆ้องแตกของนาง ทั้งกระอักกระอ่วนที่จะฟังคำว่า 'ลูก' จากปากของคนที่ไม่ได้เกิดเรามาจากท้องตัวเอง

ผมไม่รู้ว่านางมีดีอะไรนักหนา ที่ทำให้พ่ออยู่กับนางได้ถึงสองปี ทั้งที่นางเป็นเพียงหญิงพ้นวัยกลางคนอันมีรูปร่างอัปลักษณ์ อ้วนเตี้ย ตัวดำ คอสั้น ตัดผมทรงหน้าม้า ทาปากแดงด้วยลิปสติกราคาถูกตลอดเวลา แถมยังพูดจาฟังไม่เข้าหูเลยสักนิด ประจักษ์พยานยืนยันไม่เพียงแต่ลูกๆ เท่านั้นหรอก แต่ชาวบ้านชาวช่องก็เห็นเป็นเช่นนั้น

เป็นเพราะนางอีกนั่นแหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะกลับบ้าน-บ้านที่ผมเคยวิ่งเล่นได้ทั่วทุกซอกมุม แต่กลับต้องคอยหลบคอยหลีกนาง ครั้นเมื่อออกไปบ้านญาติบ้านใกล้เรือนเคียง ก็จำต้องทนฟังเรื่องบ้าๆ ของนางที่ญาติพ่อเก็บเอามาเล่าไม่รู้เบื่อ

ถึงกระนั้นผมก็ยังคงกลับมาบ้าน เพราะแม้จะสิ้นแม่ไปแล้ว แต่บ้านเกิดก็ยังมีพ่ออีกคน อีกทั้งบ้านเกิดก็ยังคงเป็นสถานที่แห่งเดียว ที่ผมจะรู้สึกได้ถึงคำว่า 'บ้าน' อย่างแท้จริง ทว่ากับพี่น้องคนอื่นๆ แล้ว เขาอาจคิดต่างจากผม พวกเขาสร้างหลักปักฐานอยู่ไกลบ้าน มีภาระให้ขบคิด รับผิดชอบไม่เว้นวัน เรื่องของแม่เลี้ยงบ้าๆ บอๆ คนหนึ่งคงไม่สำคัญให้พวกเขาเอามาคิดกันสักเท่าไหร่หรอก กลับมาเยี่ยมบ้านปีละครั้งสองครั้งก็พร่ำบ่นกันทีๆ หนึ่งแล้วก็จบๆ กันไป ซึ่งระยะหลังพวกเขากลับบ้านกันน้อยลง โดยเอาเรื่องไม่ชอบขี้หน้าแม่เลี้ยงมาเป็นข้ออ้าง

ทว่าสำหรับผมแล้วจะเบื่อแค่ไหน บ้านเกิดก็ยังเป็นบ้านที่ผมต้องกลับทุกครั้งเมื่อมีโอกาส หรือตราบใดที่พ่อยังเลือกที่จะทิ้งลมหายใจสุดท้ายไปกับมันนั่นแหละ
พ่อเลือก...ทั้งๆ ที่ บ้านของพ่อไม่มีวันจะเหมือนเดิมได้อีกต่อไป แม่จากไปแล้ว สมบัติพัสถานที่นาที่ไร่ก็ไม่มีเหมือนคนอื่น อีกทั้งญาติพี่น้องของพ่อก็ไม่มีใครเคยมาดูดำดูดี ทั้งลูกๆ ก็ไม่มีใครยอมมาอยู่กับพ่อ เพื่อทุกข์ทนกับความแร้นแค้น ไร้งาน ไร้โอกาสในชนบทอันห่างไกลอีกต่อไปแล้ว พ่อเลือก...ทั้งๆ ที่พี่ชายเสนอให้พ่อขายทุกอย่างของที่นี่ทิ้งเสีย แล้วย้ายไปอยู่กับเขา ไปอยู่ในที่ที่พ่อจะได้นั่งกินนอนกินได้สบายกว่าการต้องทนลำบากกับชีวิตในบ้านนอกที่ขาดคนดูแล...

๐ ๐ ๐

ช่วงปีแรกหลังแม่ตายจากไป พี่ชายกลับบ้านถี่กว่าใคร เขาพยายามขอร้องให้พ่อขายบ้านแล้วไปอยู่กับเขาอีกครั้ง ทว่าพ่อยังยืนกรานคำเดิม โดยให้เหตุผลว่า ชีวิตพ่อไม่เหมาะกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยรถราและตึกรามบ้านช่องแบบนั้น ไปอยู่ก็อาจตายเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ นั่นหมายถึงพ่อเลือกแล้วที่จะอยู่กับวิถีชีวิต และสภาพแวดล้อมที่พ่อคุ้นเคย

ทว่าพ่ออยู่เพียงลำพังไม่นานก็นำแม่เลี้ยงอยู่ด้วย ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกลูกๆ นั่นทำให้พี่ชายโกรธพ่อหนักเข้าไปอีก เพราะคนที่พ่อเลือกนอกจากไม่สามารถมาแทนแม่ได้แล้ว ยังต่างกับแม่ของเราราวฟ้าดิน

หลังพ่อนำแม่เลี้ยงมาอยู่ พี่ชายกลับบ้านน้อยลง แต่ก็ยังส่งเงินมาให้พ่อใช้ทุกเดือน พี่น้องคนอื่นๆ ก็พากันคล้อยตามพี่ชายกันหมด พวกเขาหวังว่าจะให้พ่อคิดกลับใจ แต่นี่ก็ล่วงเลยมาสองปีแล้วที่พ่อมีชีวิตในวัยชราอยู่กับนาง และมีเพียงผมคนเดียวที่กลับบ้านบ่อยกว่าใคร

แม้ลูกๆ จะส่งเงินมาให้พ่อไม่ขาดมือ แต่พ่อก็ยังทำนั่นทำนี่ไม่เลิก ตั้งแต่ไปหาลูกปลากัดมาเพาะขายพวกนักเลงปลากัดในหมู่บ้าน หลังกรีดยางเสร็จ  พ่อก็มักจะวุ่นอยู่กับขวดปลากัดเป็นวันๆ โดยให้แม่เลี้ยงไปเก็บน้ำยาง ได้ยางมาทำขี้ยางก้อน สะสมไว้ทีละมากๆ แล้วจึงนำใส่รถเข็นไปขายยังตลาดนัด ได้เงินมาครั้งละสี่ห้าร้อยบาท

ผมไม่รู้ว่าพ่อจะทนลำบากอยู่กับชีวิตแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ หากวันไหนล้มป่วย นางหรือจะดูแลพ่อได้...ลูกๆ ก็ล้วนอยู่ไกลบ้าน ฉุกเฉินขึ้นมาโทรศัพท์ก็ไม่มีใช้ยิ่งลำบากกันไปใหญ่ คิดแล้วผมนึกชิงชังนางขึ้นมาเป็นเท่าทวี ไม่มีนางเสียคนเดียวพวกเราพี่น้องคงหมดห่วงเรื่องพ่อ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อพ่อเลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบนี้

ปีที่ผ่านมา พี่สาวคนรองมาปรึกษาผมเรื่องจะกลับมาอยู่บ้าน หล่อนพูดถึงภาระที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากลูกเริ่มเข้าโรงเรียน รายได้จากการทำขนมขายส่งตามร้านค้าเริ่มไม่พอจ่าย ไหนจะค่าโรงเรียน ค่าเช่าบ้าน อื่นๆ จิปาถะ หล่อนบอกว่าถ้ากลับมาอยู่บ้านก็ได้ดูแลพ่อไปด้วย ดังนั้นหล่อนจึงหยิบยืมเงินจากผมก้อนหนึ่งสำหรับค่าต่อเติมรถมอเตอร์ไซค์เป็นพ่วงข้าง ซึ่งผมก็ยินยอมโดยดี ทว่าเงื่อนไขที่สำคัญที่หล่อนหยิบยื่น คือต้องให้พ่อไล่แม่เลี้ยงออกจากบ้านทันที และเป็นผมอีกนั่นแหละที่เข้าพูดเรื่องนี้กับพ่อ

อะไรๆ ก็ง่ายกว่าที่คิด พ่อคงเห็นใจพวกเรา จึงบอกเรื่องนี้แก่นาง ซึ่งนางก็ยินยอมจะออกจากบ้านเราไปแต่โดยดี

แต่เหตุใดก็ไม่มีใครรู้ เมื่อต่อรถพ่วงข้างเสร็จ ไม่ทันที่แม่เลี้ยงจะขนเสื้อผ้าออกจากบ้านด้วยซ้ำ พี่สาวกลับเงียบเฉยโดยไม่บอกกล่าว ทราบทีหลังว่าจากพี่เขยเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ด้วยเหตุผลร้อยแปดประการ แผนการทุกอย่างจึงล้มเลิก พ่อโกรธพี่สาวหัวฟัดหัวเหวี่ยง พาลว่าพี่สาวใช้พ่อเป็นเครื่องมือที่จะหลอกเอาเงินจากผมไปต่อรถพ่วงข้าง นั่นทำให้พ่อยื่นคำขาดห้ามไม่ให้ใครมาบงการชีวิตพ่ออีก และจากวันนั้นถึงวันนี้พี่สาวก็ไม่กลับมาสู้หน้าพ่ออีกเลย

นับแต่นั้นเรื่องที่คิดจะทำให้แม่เลี้ยงออกไปจากชีวิตพ่อ ก็ไม่เคยหลุดจากปากพวกเราอีกเลย

๐ ๐ ๐

พ่อละมือจากการหยอดลูกน้ำให้ปลากัด เดินขึ้นเรือนมาหาผม ขณะแม่เลี้ยงเดินไปหยิบถังใบเล็กหายไปยังสวนหลังบ้าน ยางสี่สิบกว่าต้นเรียงรายไม่เป็นระเบียบ แดดยามเช้าส่องลอดเฉเฉียงลงมาเป็นลำตามร่มเงาไม้

"มึงอยู่แถวนั้นหาลูกหม้อมาเลย์ให้มั่ง พวกนั้นมาซื้อแล้วถามหาทุกที" พ่อเอ่ยถึงพันธุ์ปลากัด ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ไม่มีในละแวกบ้านเรา

"กลับไปเดี๋ยวผมลองหาให้" ผมรับปาก "ขายตัวเท่าไหร่พ่อ ปลาเนี่ย..." ผมถามพ่อ

"สามสิบ...ขายไปเล่นๆ พรรค์งั้นแหละ" พ่อพูดพลางหยิบซองยาเส้นมามวนสูบ อย่างช้าๆ สายตาจับจ้องไปร่างอ้วนเตี้ยที่กำลังปีนบันไดขึ้นเรือนอย่างอืดอาด
ทันทีที่เหยียบพื้นเรือน นางพูดขึ้นด้วยสีหน้ามีแววกังวลว่า

"วันก่อนพ่อมึงเป็นลม แม่ตกใจหมด รุ่งเช้าแม่พาไปโรงบาลนอนให้น้ำเกลือถุงหนึ่งแล้วกลับ แม่บอกให้โทรบอกลูกพ่อมึงก็ไม่ยอม"

ผมหันมองไปทางพ่อ ครั้นแล้วพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า "ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไหรหน้ามืดบ่อยๆ ตัดยางได้แต่เก็บไม่ไหว"

"พ่อไม่ต้องทำแล้วก็ได้ เดี๋ยวผมส่งเงินเพิ่มให้อีก" ผมว่า

"หยุดตายแหละ พ่อมึงวันๆ คิดแต่อีทำนั่นทำนี่.แม่ว่าจะให้ไอ้รักกลับมาช่วย ช่วงนี้เห็นมันไม่ทำไหร"

สิ้นคำของนางอารมณ์ผมก็เริ่มเดือดพล่านขึ้นมา นี่นางจะเอาลูกของนางมาอยู่อีกหรือ คราวที่แล้วมันก่อเรื่องทีหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นมันทำให้พ่อต้องเดือดร้อนเกือบเข้าตาราง นางกับลูกช่างไม่ผิดแผกกันเลยสักนิด

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อนางชักนำลูกชายของนางให้มาอยู่ด้วย อ้างว่าให้มาช่วยพ่อกรีดยาง เด็กหนุ่มในวัยยี่สิบต้นๆ มีรอยสักไปทั้งตัว ผิวดำ พูดจาขวานผ่าซาก อ่านหนังสือไม่ออกเหมือนแม่มัน อีกทั้งยังติดยา และกินเหล้าเหมือนกินน้ำ มันก่อเรื่องทะเลาะต่อยตีกับลูกของป้าที่อยู่รั้วติดกัน ป้าซึ่งไม่กินเส้นกับพ่ออยู่แล้วก็พาลโกรธเอากับพ่อ ถึงขั้นจะเอาตำรวจมาลากพ่อเข้าตารางเสียให้ได้ เดือดร้อนพวกเราต้องลาหยุดงานมาขอร้องป้าไม่ให้เอาเรื่องป้าถึงได้ยอม ครั้งนั้นพี่ชายโกรธหนักถึงขั้นไล่นางกับลูกให้หอบผ้าออกจากบ้าน เป็นพ่ออีกนั่นแหละที่ขอร้องพวกเรา ให้นางได้อยู่ต่อ สุดท้ายพวกเราถึงได้ใจอ่อน และสั่งเด็ดขาดไม่ให้นางเอาไอ้รักมาอยู่ที่นี่อีก

"ผมห้ามแล้วใช่มั้ยว่าไม่ให้ไอ้รักมาอยู่ที่นี่!" คราวนี้ผมพูดเสียงดัง จนนางต้องสะดุ้ง

"แล้วพูดทำไหรหลาว พวกนี้มันห้ามแล้ว หาเรื่องจริงๆ มึงนี่" พ่อด่านางให้บ้าง คราวนี้นางนิ่งเงียบ มือไม้ยังง่วนกับงานในครัวครัวที่ผมเริ่มเห็นบางสิ่งผิดแปลกไปจากเดิม เตาอั้งโล่ตั้งอยู่บนแผ่นสังกะสีเก่าๆ คราบเขม่าควันไฟจับเป็นสีดำมืดอยู่ตามฝาผนัง หม้อใบเก่าที่แม่เคยใช้สมัยบ้านเรายังไม่มีไฟฟ้าถูกนางรื้อเอามาใช้ กระทะที่เคยแวววาวขาวสะอาดก็ดำเขลอะไปด้วยเขม่าควันไฟ

"ทำไม้ฟืนดีหวาลูกเหอ ไม่เปลือง...แก๊สก็แพง ไฟก็แพง เงินที่ลูกส่งมาให้ไว้ให้พ่อมึงเวลาไปหาหมอ" นางพูดขณะเริ่มก่อไฟ พร้อมกันนั้นควันก็เริ่มลอยอบอวล แสบตา และชวนสำลัก

แวบหนึ่งผมเกิดระลึกถึงแม่ขึ้นมา ในวัยเด็กผมเคยนั่งอยู่ใกล้แม่ และช่วยแม่ก่อไฟฟืนเป็นประจำ คราวแรกผมนึกจะตำหนินางถึงเรื่องนี้ แต่ก็เกิดไม่อยากพูดขึ้นมาดื้อๆ ได้แต่เฝ้ามองอากัปกิริยาอันเงอะงะของนาง ราวกำลังดูการแสดงละครฉากหนึ่ง ตัวละครอาจไม่ชวนประทับใจนัก แต่ฉากและเรื่องราวมันชวนให้ผมระลึกถึงแม่ และแอบมีความสุขอยู่ไม่น้อย

แม้นางจะทำให้ผมเกิดความรู้สึกเช่นนั้น แต่ก็ไม่อาจทำให้ผมเลิกชิงชังในตัวนางได้เลย นางยังเป็นเพียงคนนอก และส่วนเกิดในสายตาของผมวันยังค่ำ ทว่าสำหรับพ่อแล้วผมไม่อาจคาดเดา เพราะสองปีที่พ่อใช้ชีวิตอยู่กับนาง พ่อก็ดูมีความสุขดีตามอัตภาพ จะดุด่าว่ากล่าวนางบ้างก็ตอนที่นางมักหลุดคำพูดที่แสดงถึงความงี่เง่าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ อันเป็นบุคลิกของนางที่ชาวบ้านชาวช่องโจษขานกันว่า นางเป็นบ้า ไม่เต็มเต็ง อันเป็นเหตุให้ความเหินห่างระหว่างญาติพี่น้องของพ่อที่เคยมีเพิ่มเป็นเท่าทวี เพราะไม่มีใครอยากย่ำกรายเข้ามาตราบเท่าที่ยังมีนางอยู่ในบ้านหลังนี้

"วันนี้แม่ว่าจะแกงเคยปลา อยู่โน่นน่าว่าไม่ค่อยได้กินเเกงบ้านเรา" นางเอ่ยขึ้นอีก จริงของนาง นานทีเดียวที่ผมไม่ได้กินแกงเคยปลาอันเป็นสูตรเฉพาะของคนเมืองคอนที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งปรุงขึ้นจาก "กะปิเคย" ซึ่งหมักขึ้นจากลูกปลาน้ำจืดตัวเล็กๆ โขลกพอให้ละเอียด ก่อนเอามาตากแดดพอที่จะปั้นเป็นก้อนได้ แม้ถิ่นอื่นจะมีกะปิเคยชนิดเดียวกันขายอยู่ทั่วไป แต่ก็ไม่มีใครปรุงรสชาติได้เหมือนคนเมืองคอนได้อย่างแท้จริง กลับมาบ้านคราวที่แล้วนางก็ทำให้ผมกินมาครั้งหนึ่งแล้ว

ผมกลืนน้ำลายลงคอ ขณะเดินลงจากเรือน กลิ่นแกงเคยปลาฝีมือนางกำลังหอมโชยไปทั้งบ้าน

เดินสำรวจรอบบ้าน ติดกับบ่อซีเมนต์ที่พ่อใช้เพาะลูกปลากัดมีถังน้ำยางวางอยู่ ใกล้ๆ กันขี้ยางก้อนเรียงรายอยู่ตรงลานดินกลางแดดจ้า ติดริมรั้วพริกชี้ฟ้าหลายต้นขึ้นเขียวพรืด ชูดอกเขียวบ้างแดงบ้างละลานตา อีกทั้งต้นพริกไทยที่เถาทอดเลื้อยขึ้นต้นหมาก และยังมีผักสวนครัวอีกสารพัดชนิดที่งอกงามขึ้นภายในรั้วบ้าน ที่มีพ่อในวัยชรากับหญิงบ้าๆ บ๊องๆ คนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน

ภาพและเรื่องราวเหล่านี้ ชี้ชวนให้ผมฉุกคิดว่า แท้จริงแล้วผมกับพี่น้องคิดถูก หรือผิดกันแน่? ที่พยายามดึงพ่อออกจากบ้าน ให้พ่อต้องไปจมจ่อมอยู่กับวิถีชีวิตที่พ่อไม่คุ้นเคย

และคงจะจริงอย่างที่สุดหากไม่มีนาง พ่อก็คงไม่อาจดำรงชีวิตแบบนี้อยู่ได้เพียงลำพังได้ เรื่องที่จะหวังให้ลูกๆ กลับมาอยู่บ้านนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ไม่มีลูกคนไหน แม้กระทั่งผมเองที่คิดจะมาใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้ว พวกเรากับพ่อต่างมีวิถีชีวิตที่ต่างกันคนละขั้ว ผมเริ่มคิดสับสน

ผมกลับขึ้นเรือน กลิ่นแกงเคยปลายังหอมโชย นางได้เตรียมกับข้าวกับปลาไว้ในถาดเรียบร้อยแล้ว

"ลูกกินกับพ่อก่อนนะ แม่ยังไม่อยากกิน" นางบอก ขณะเดินลงจากเรือน

ผมเปิดดูกับข้าวที่นางเตรียมไว้ให้ แกงเคยปลาในถ้วยหอมแรง ไข่เจียวจานโต และผักอีกหลายชนิดวางเรียงอยู่ในถาด ผมกลืนน้ำลายลงคอ ปล่อยวางความเกลียดชังที่มีต่อนางไว้ชั่วขณะ ก่อนลงมือกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา  พลางชะเง้อมองไปตรงลานดินเห็นนางกำลังคว่ำถังเอาน้ำยางที่แข็งได้ที่ออกมาตากแดด เห็นได้ชัดว่า เนื้อตัวนางเยิ้มไปด้วยเหงื่อที่ไหลอาบ

"พรุ่งนี้เช้าผมกลับนะพ่อ" ผมหันมาพูดกับพ่อ "ว่าจะกลับรถไฟเที่ยวหกโมง"

"บอกพวกนั้นกันว่าพ่อคิดถึง ให้มันกลับมาบ้านมั่ง..." พ่อสั่ง พลางมวนยาเส้นจุดสูบควันโขมง "ออ แล้วอย่าลืมแลลูกหม้อมาเลย์ให้พ่อด้วยนะ"

"ครับ..." ผมรับคำ

ผมอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนแต่ค่ำ เพราะต้องตื่นแต่หัวรุ่ง คราวแรกพ่อบอกจะขับรถไปส่ง แต่ผมทัดทานเพราะรู้ว่าพ่อหูตาไม่ค่อยดี ขับรถไปตอนที่ฟ้ายังมืดอาจไม่ปลอดภัย จึงบอกพ่อว่าจะเดินไปขึ้นรถไฟเอง เพราะเช้าๆ ยังไม่มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างวิ่งผ่าน ระยะทางหนึ่งกิโลคงไม่หนักหนาอะไร ดีอย่างจะได้สัมผัสอากาศยามเช้าของชนบทเสียบ้าง

"นอนให้บายนะลูกยา เดี๋ยวแม่ให้พ่อปลุกเอง" นางร้องบอก ขณะกำลังนวดหลังให้พ่ออยู่หน้าทีวี

ผมเดินเข้าห้อง โดยไม่กล่าวตอบนางแม้สักคำ

๐ ๐ ๐

อากาศยามใกล้รุ่งชี้ชวนให้ผมไม่อยากตื่น เป็นนางนั่นเองที่มาตะโกนปลุกอยู่หน้าห้อง คราวแรกผมนึกหงุดหงิดที่นางเข้ามาล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว ต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ผมต้องไปรถไฟเที่ยวเช้าก็พลันดีดตัวหลุดออกจากที่นอนทันที

อากาศยามรุ่งสาง เย็นชื่น หมอกยังคงคลุมผืนอากาศ ผมดีใจที่พ่อเดินมาส่ง และบอกว่าจะไปจ่ายตลาดเสียทีเดียวเลย

มันคงดีทีเดียวถ้าพ่อกับผมจะเดินกันไปเพียงสองต่อสอง ทว่าระยะทางหนึ่งกิโลกับวัยชราที่ร่วงโรยของพ่อ หากไม่มีนางเดินตามมาด้วยพ่อก็คงมาไม่ได้

รถไฟเข้าเทียบชานชาลา ผมหันไปทางพ่อ นางยืนชิดร่างพ่อ มือข้างหนึ่งของนางเกาะแขนพ่อแน่น อีกข้างถือกระเป๋าสานใบเขื่อง ผมยกมือไหว้ล่ำลากับพ่อ ราวมีอะไรสักอย่างทำให้ผมไม่ลดมือลงในทันที แต่กลับหันไปไหว้นางบ้าง ริมฝีปากแสดแดงของนางฉีกยิ้มกว้างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นผมไหว้นางเป็นครั้งแรก

ผมผละจากที่ตรงนั้นด้วยรู้สึกเคอะเขิน วิ่งขึ้นโบกี้ผู้โดยสาร เลือกที่นั่งชิดหน้าต่าง รถไฟยังไม่ออก พ่อกับนางยังยืนรอส่งผมอยู่

ครั้นแล้วจู่ๆ นางก็ผละมือจากแขนพ่อ กิ่งวิ่งกึ่งเดินพาร่างอ้วนอุ้ยอ้ายตรงมายังผม ขณะมือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋าใบเขื่อง ก่อนเดินมาชิดหน้าต่าง พร้อมกับยื่นของในมือมาตรงหน้าผม แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

"ฮาย...ลูกยา แม่เกือบลืม...เอาแกงเคยปลาไปฝากน้องมั่งนะลูกนะ" ..................จบ.................

แสดงความคิดเห็น

« 5948
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ