เรื่องสั้น

ผีบ้า

by Pookun @November,16 2006 21.51 ( IP : 58...100 ) | Tags : เรื่องสั้น

ผีบ้า ชาคริต โภชะเรือง

ท้องฟ้าเหนือคันนาแผ่คลุมไปด้วยความมืด ผืนแผ่นดินคาบสมุทรมีแต่เงาตาลโตนดสีปีกค้างคาวแลดูกลมกลืนแยกกันไม่ออก ยืนตะคุ่มอยู่รอบด้าน ดาวดวงเดียวบนท้องฟ้าเปล่งแสงจ้า ไตรขนลุกเกรียวไปทั้งร่างเมื่อความรู้สึกบางอย่างแผ่คลุม เป็นเวลานานมาแล้วที่แกต่อสู้กับมัน  ไตรรู้สึกว่าวงจรแห่งเวลากำลังพาแกหวนคืนไปสู่วันคืนเก่าๆ ที่แกไม่เคยลืมเลือน  แกเห็นภาพตนเองกับลูกชายคนโตยืนถกโต้กันอย่างหน้าดำหน้าแดง แกยืนหน้าเครียดเคร่งในมือชูไม้เรียวเงื้อขึ้นเตรียมหวด..

"พ่อ! อย่านะ..."และในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นภาพพลันพลิกเปลี่ยน ไตรแลเห็นเด็กชายร่างสูงเพรียวคนนั้นกลายเป็นตัวแกในวัยเด็กกำลังยืนตัวแข็งทื่อตรงหน้าพ่อ...

และพลันที่แสงแรกของวันอาบฉายไปทั่ว แตะแต้มไม้ดอกในกระถาง คันไถ คอกวัว รถมอเตอร์ไซด์คันเก่า ไม่เว้นกองดินที่ได้มาจากการขุดลอกคลองเหมืองอาทิตย์ที่พูนสูงท่วมหัวเป็นเงาขาวหม่นมัวในเงามืด แกเรียกสติกลับมา ในชั่ววินาทีต่อมา ไตรเพ่งไปยังดาวดาวไกลโพ้นใต้โค้งฟ้าสีม่วงชมพู ในประกายระเรื่อของตะวันนั้นคล้ายดวงตาแข็งกร้าวของพ่อเขม็งจ้องลงมาอย่างตัดพ้อต่อว่า

แกยืนตัวแข็งปล่อยให้ใบหน้าสัมผัสอายน้ำค้างเย็นชื้นอยู่ชั่วครู่ และพลันหนาวเยือกด้วยลมหัวรุ่ง มีบางสิ่งที่ตกค้างมาตั้งแต่วันวาน เป็นความโดดเดี่ยวอ้างว้างที่แสนประหลาด

แล้วภาพต่างๆก็ย้อนกลับมาเป็นฉากๆ ตรงโค้งสะพานนั้นเอง แกมองเห็นภาพตัวแกเดินไปหานายช่างหน้าเหลี่ยมคนนั้นแล้วถามว่ารู้ไหมว่าบริษัทไหนเป็นเจ้าของโครงการ นายช่างมองหน้าแกอย่างงุนงง แต่ก็ไม่พูดอะไร หันไปตะโกนเอ็ดสั่งงานเด็กลูกจ้างเสียงดัง วันนั้นแกเดินกลับมา ไม่สนใจใคร  ถอยรถมอเตอร์ไซด์ลากรถรุนปราดเข้าไปจอดเทียบชายคลอง แกใช้จอบโกยดินใส่รถรุนอยู่พักใหญ่ แกจำได้ดีว่านายช่างกับลูกจ้างสี่ห้าคนที่ทำงานอยู่กรูกันมายื้อยึดมือแกไว้ แล้วตะคอก "ลุงทำอะไร รู้ไหมว่าดินนี้เป็นของหลวง !"
ดินของหลวง แกรำพึง แกไม่ใช่คนโง่ คนไม่รู้สาจึงไม่รู้ว่าดินนี้เป็นของใคร แกหัวเราะจนเด็กหนุ่มมองหน้า วันต่อมา แกก้าวไปไกลถึงขั้นร้องเรียนยังที่อำเภอ แกเขียนจดหมายป่าวประกาศถึงความไม่ชอบมาพากลของโครงการจนกระทั่งนายอำเภอไม่กล้ามองหน้า นายช่างหนุ่มคนนั้นเองก็ไม่กล้าสบตา

วันต่อมา แกรุนรถไปโกยดินอีก คราวนี้ไม่มีใครกล้าขวาง ทว่าอีกสองวันต่อมา บ้านของแกก็ต้อนรับชายฉกรรจ์แปลกหน้า มาจอดรถซุ่มดูที่หน้าบ้าน มองหน้าแกแล้วก็เหยียบคันเร่งจากไป ไตรบอกตัวเองอย่างทระนง กูไม่กลัวมึง ตายเป็นตายสิวะ แล้วแกก็มานั่งคิด

ห้าสิบสองปีผ่านไป ชีวิตว่าไปแล้วช่างสั้นนักและรวดเร็วเหมือนโกหก แต่ก็ทำให้แกรู้จักชีวิตมากพอ เออ เหมือนกับว่าเมื่อวานนี้เองที่แกหนีมาจากบ้าน-บ้านหลังเก่า มุ้งสีขาวซอมซ่อเต็มไปด้วยรอยปะ เสียงกระแอมกระไอของปู่ แสงตะเกียงกล้อง กลิ่นยาสมุนไพร เสียงขับบทโนรา เสียงโหม่งเสียงปี่หนังตะลุง กลิ่นผืนแผ่นดินที่เต็มไปด้วยรวงข้าวเหลืองอร่าม เสียงปี่ซังข้าว เสียงแอกว่าว...

ภาพเหล่านั้นหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย...

แกคิด ชาวนาอย่างแกไม่ใช่คนในวิถีแห่งทุนที่คิดเอาแต่ได้ แกไม่ชอบเอาเปรียบใคร เหมืองอาทิตย์-คลองสายนี้ก่อนขุดชาวบ้านก็สัญญากันว่าจะยกให้กับหลวง ขุดคลองใหม่เพื่อนำน้ำมาใช้ประโยชน์ในที่นาที่สวนของตน ดินที่ขุดขึ้นมาก็ควรจะคืนกลับชาวบ้าน เพราะหลวงเองไม่ต้องลงทุนเวนคืนเสียเงินค่าดินสักบาท แต่ไฉนทำไมทำมา เมื่อชลประทานให้ผู้รับเหมามาขุดคลอง กลับให้ผู้รับเหมานำดินไปขายต่อ....

แกเข้าร้องเรียนกับนายอำเภอ  แกรู้ว่ากำลังเดินชนกับตอใหญ่ แต่แกไม่กลัว
ไตรยืนกรานต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แกเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นถามชลประทาน จนพวกนั้นเรียกแกไปพบที่อำเภอแล้วยื่นข้อเสนอให้เป็นเงินก้อนโตแลกกับการปล่อยวาง ไตรบอกเขาว่าแกอยากเห็นความถูกต้อง แกไม่ได้ต้องการเงิน แต่ไตรก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าต้องการอะไร ไตรทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่เข้าใจว่าทำไมเช้าของวันนี้แกรู้สึกเหมือนเวลาหมุนย้อนกลับ

ไตรงุนงงอยู่ชั่วครู่ ปู่ของแกเป็นชาวนา บุกเบิกที่ดินริมฝั่งน้ำจนกระทั่งตั้งถิ่นฐาน ตั้งตัวได้ มาถึงพ่อของไตรก็เป็นชาวนา ตัวไตรเองอายุห้าขวบแกก็ทำนาเป็นแล้ว พอพายุสิบขวบไตรก็หนีออกจากบ้าน สิบแปดขวบก็มีเมีย พออายุยี่สิบแกก็จับผลัดจับผลูเข้าไปเป็นยามในมหาวิทยาลัย อายุสามสิบห้าไตรก็มีลูกแล้วสามคน แต่พออายุสี่สิบเจ็ดลูกชายคนโตกับเมียก็ทิ้งแกไป อาจเพราะทนความยากลำบากไม่ได้  อย่างไรก็ดี นั่นหาใช่สิ่งที่ทำให้ไตรต้องเสียใจ

แล้วอะไรเล่าที่จะทำให้ไตรเสียใจ แกถามตัวเอง เรื่องลูกรึ? ก็อาจจะใช่ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาโทษใคร แม้แต่ตัวแกเอง ไอ้ลูกไม่รักดี แกนึกโมโหขึ้นอีก อาจเป็นเพราะความเสียใจที่ซ่อนลึกอยู่ภายในเมื่อนึกถึงพ่อ...ใช่ นี้เป็นเรื่องเดียวที่แกยังเสียใจมาจนถึงวันนี้ แต่แกเชื่อว่าพ่อจะต้องภาคภูมิใจ ที่อย่างน้อยไตรก็เป็นคนดี ไม่เคยทำความเสื่อมเสียให้กับวงค์ตระกูล และแกเชื่อว่าลูกชายของแกก็เช่นเดียวกัน

คิดมาถึงตรงนี้ก็โมโหขึ้นมาอีก ถึงแม้กูจะเป็นคนสุดท้ายที่ทำนา กูก็จะทำ ไตรบอกตัวเอง ไตรภูมิใจในอาชีพทำนา ไตรมักบอกใครต่อใครอย่างภาคภูมิใจว่าแกนี่แหละมีอาชีพทำนา แกบอกทุกคนว่า ; คนที่เกิดมาเป็นคนไทยเคยทำนามาแล้วทุกคน หากไม่ให้เสียชาติเกิด ต้องรำลึกในใจอยู่เสมอว่า เราเกิดมาแล้วทั้งทีต้องทดแทนบุญคุณของแผ่นดิน แกรู้สึกพึงพอใจ ที่ในหัวใจยังมีเลือดเนื้อของชาวนาสิงสถิตย์อยู่ และแกวาดหวังว่ามันจะติดตัวแกไปจนวินาทีสุดท้ายฝังตรึงอยู่กับแผ่นดิน เป็นจิตวิญญาณที่ถูกเสกสร้างมาเพื่อผืนแผ่นดินผืนนี้ ผืนที่แกกำลังเหยียบย่างอยู่ โดยที่ไม่มีทางจะผันแปรเป็นอื่น เหนืออื่นใด แผ่นดินสอนให้ไตรรักความถูกต้อง ความซื่อตรง และซื่อสัตย์ต่อจิตวิญญาณของตัวเอง

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมแกจึงลาออกจากการเป็นยาม แกยังจำได้ดีว่าวันที่เดินไปหาหัวหน้า บอกว่าจะลาออกมาทำนา หัวหน้าไตรถึงกับมองหน้าอยู่พักใหญ่ แล้วหัวเราะเสียงดังลั่นหาว่าไตรโง่ "ไอ้ควาย !" หัวหน้ายามตะโกนใส่หน้าขณะขยับปากกาแกรกยอมเซ็นใบลาออก

หลังจากนั้นไตรก็ลาออกมาเป็นชาวนาโดยไม่ฟังเสียงใคร และในที่สุดไตรก็เป็นชาวนาสมใจได้สามสิบปีแล้ว เป็นผีบ้าคนเดียวของหมู่บ้านที่รักในอาชีพนี้ รักในความเหนื่อยยากลำบากที่จะต้องแลกให้ได้มาซึ่งดอกผลโดยไม่ต้องไปซื้อใครกิน

 และก็ด้วยปู่และพ่อ ทำให้ไตรมั่นใจ แกรู้ดีว่ากำลังทำอะไรเหมือนกับรู้วิธีการทำนาไม่ว่าวิธีใด อย่าง การไถหว่าน&nbsp; แห้ง&nbsp; ไตรรู้ดีว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรหลังตกแต่งที่นาโดยปราบวัชพืชที่รกเรื้อเสร็จแล้ว ไตรจะเฝ้ารอฝนตกดินดี&nbsp; จึงเริ่มไถดะ จากนั้นก็ตากดินไว้ประมาณ 10 -15&nbsp; วัน แล้วทำการไถแปรหรือหว่าน คนโบราณสมัยก่อนจะไถแปร หรือหว่านข้าวก่อนเรียกว่าหว่านไว้ใต้&nbsp; การหว่านแบบนี้ข้าวจะไม่ผุแดด&nbsp; แต่จะงอกช้าหน่อยแต่งอกแน่นอน อีกอย่างหว่านข้าวไว้บนดินต้นข้าวจะงอกเร็ว&nbsp; แต่ถ้าฝนทิ้งช่วงจะทำให้เมล็ดข้าวเสียหาย ดังนั้นเมื่อเปรียบกับการไถแบบครั้งเดียวแล้วหว่านเลยก็ได้แต่ไม่ดีเท่าที่ควร&nbsp; เป็นเพียงแค่การประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลา&nbsp; กับวิธีการทำนาดำที่เริ่มจากการทำต้นกล้า แล้วปรับที่โดยการไถนาเมื่อได้รับน้ำจากเดือนตุลาคม&nbsp; แล้วทำการถอนต้นกล้าเก็บรวมไว้เป็นกำแล้วจัดการปักดำ&nbsp; (เว้นระยะห่างกันต้นละ&nbsp;  20-30 ซม.)&nbsp; ทำแบบนี้เสียเวลาแต่ได้ผล&nbsp; เพราะไม่มีวัชพืชรบกวน&nbsp; ไตรรู้ดีว่านี่คือการทำนาตามแบบฉบับของบรรพบุรุษไทย&nbsp; แกได้สืบทอดการทำนามาจนถึงรุ่นลูก&nbsp; และไตรก็รู้ว่าคนไทยได้เริ่มทำนาเป็นล่ำเป็นสันมาตั้งแต่ในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี&nbsp; สมัยนั้นมีการพัฒนาในการทำนากันมากและรุ่งเรืองที่สุด&nbsp; จนมีคำพังเพยพูดกันจนติดปากว่า&nbsp; : <em>ในน้ำมีปลา&nbsp; ในนามีข้าว</em>&nbsp; นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าในสมัยสุโขทัยคงจะเจริญสุดขีด<br />

ไตรรู้อีกว่าแม้แต่ในหลวงของเราทุกวันนี้  ท่านก็ทำนาปลูกข้าวและกินข้าวเหมือนกับคนไทยทุกคน  และที่สำคัญ ประเทศเรายังจัดให้มีวันเพาะปลูกแห่งชาติคือวันพืชมงคล  ในเดือนพฤษภาคมของทุกปี  ให้ได้ระลึกถึงการทำนา มีการจัดพิธีการทำนาแรกนาขวัญเพื่อเป็นศิริมงคลกับชาวนา

ไตรยังรู้อีกว่าการให้ปุ๋ยส่วนมากจะให้ปุ๋ยคอก ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ส่วนมากจะเก็บขี้หมูขี้วัว ขี้ค้าวคาว ขี้นก ของจำพวกนี้จะได้จากถ้ำ บางครั้งไตรต้องไปเอาถึงเกาะสี่เกาะห้า หรือเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ไตรยังจำได้อีกว่าสมัยก่อนการทำนาก่อนจะทำการไถครั้งแรก ส่วนมากจะทำการบอกเจ้าที่เจ้าทาง ด้วยการทำบวงสรวงที่นา เพื่อช่วยรักษาข้าหรือพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ทำลงไปให้ปลอดภัยจากศัตรูเบียดเบียน โดยการตั้งเครื่องเซ่นสังเวย มีหัวหมูบายศรี หมูเป็ดไก่ และเครื่อง 12 อย่างก่อนที่จะลงไถนา บางแห่งจะตั้งพระภูมิโรงนา และก่อนจะไถจะต้องเลือกวันที่ไม่เป็นวันจม วันทรุด ดังนั้นชาวนาจะต้องไถให้ตรงกับวันลอย วันฟู หรือวันพญาวัน และส่วนมากผู้หญิงที่มีประจำเดือนเขาจะไม่ให้หว่านข้าวเพราะจะทำให้ข้าวเกิดพยาธิ<br />

ทว่าที่สำคัญ ก่อนจะเก็บเกี่ยวข้าวสมัยโบราณเขาจะทำขวัญข้าวเชิญแม่โพสพ ขึ้นบ้านและทำการขอโทษขอโพยที่ทำการเยียบย่ำแม่โพสพ มีการร้องเชิญ และเอาต้นกำชำเอามาผูกกับข้าวมีใบเงินใบทองอีกหลายอย่าง เมื่อทำขวัญแล้วก็ทำการเก็บเกี่ยวเมื่อเก็บเกี่ยวเสร็จแล้วแต่ละวันก็ทำการช่อหรือผูกต้นซังข้าวแล้วเอาดินตั้งที่บนช่อซังหมายความว่า&nbsp; ไม่ให้ต้นข้าวไปไหนให้อยู่กับดินที่นาแห่งนี้

นอกจากนั้นแล้ว ไตรยังรู้อีกว่าเมื่อเอาข้าวขึ้นเรือนหรือลอมข้าว ชาวนาจะจัดข้าวเลียงข้าวตามลักษณะพื้นที่ของห้องข้าว เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าส่วนมากโดยจะจัดให้หัวของข้าวเข้าหากันจากด้านนอกเข้ามาตรงที่จุดกึ่งกลางห้องและจัดซ้อนเป็นชั้นที่สอง-สาม-สี่-ห้า&nbsp; เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดเพื่อมิให้ข้าวตกอยู่บนพื้น หมดแล้วเว้นข้าวไว้ 3-5&nbsp; เลียง&nbsp; เพื่อเอาตั้งบนกลางรอบเพื่อทำเป็นขวัญข้าวโดยมีข้าวเก่าที่รอบอยู่ในกะเชอด้วย บางแห่งจะมีหัวเขาวัวที่ไถนาจนแก่ตายเอาไว้รวมกับข้าวด้วย&nbsp; ดังที่มีคนเฒ่าพูดกันติดปากว่า ; <em>ไถนาดำนาเมื่อควายตายจะเอาหัวใส่ไว้ในลอมข้าว </em>หมายความว่าจะทำให้ข้าวติดเรือนทุกปี&nbsp; &nbsp; หรือกันเพื่อที่จะได้สะกดไม่ให้ข้าวหนีหาย&nbsp; เป็นอันเสร็จพิธีในการเอาข้าวขึ้นเรือน

ส่วนการเอาข้าวหรือซื้อข้าวไปนวด-สี&nbsp; การสีข้าวจะต้องขอต่อแม่โพสพว่าจะขอแม่ไปนวด-สี&nbsp; เพื่อเป็นอาหารให้ทานทำบุญและให้แม่โพสพรับเอาผลบุญในครั้งนี้ด้วย&nbsp; เพราะตามประวัติโบราณว่าพระแม่โพสพนี้เป็นเทพธิดาสวรรค์ได้อธิฐานขอให้ร่างกายเป็นข้าวเพื่อเลี้ยงชาวโลก&nbsp; (สมัยนั้นผู้มีบาปที่ไม่สามารถที่จะกินอาหารทิพย์เหมือนของสวรรค์ )&nbsp; เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้ว&nbsp; ก่อนจับเลียงข้าวจะพูดว่า&nbsp; ออ แม่โอ้คุ้ยไปข้างหน้าพูนมาข้างหลัง&nbsp; หมายความว่า เมื่อข้าวออกไปแล้วให้กลับมาเพิ่มไม่รู้จักหมดสิ้น&nbsp; แต่มีข้อแม้ว่าถ้าหากเป็นผู้หญิงที่มีประจำเดือนเขาจะไม่ให้ขึ้นไปบนลอมข้าวเพราะไม่ดี&nbsp; ไม่เป็นมงคล ดังนั้นก่อนจะเอาข้าวจะต้องล้างมือล้างเท้าให้สะอาดเสียก่อน

ไตรยังสืบทอดความรู้จากพ่ออีกในเรื่องการกำจัดศัตรูพืช แต่สมัยโบราณไม่ค่อยมีศัตรูพืชมากนัก อาจมีบ้างจำพวกเพลี้ยใบขาวตอนข้าวอ่อน แต่ก็น้อยเต็มทีเพราะสมัยก่อนนิยมทำนาพื้นเมือง&nbsp; เมื่อต้นแข็งแรงดีก็จะหายไปเอง&nbsp; และอีกอย่างหนึ่งปูนาระบาดมาก ชาวบ้านใช้ดักโดยเอารำข้าวกับปลายสารผสมกับดินเหนียวเอาไปใส่เนียงหรือใส่ใหฝังในท้องนาที่ปูกินข้าวปูจะลงไปกิน แล้วจับมาทำลาย-ขาย-หรือกินได้&nbsp; หรือไม่ก็ใช้ใบคุระเอาโรยแช่น้ำบริเวณที่ปูกินข้าว จะหนีหายไปหมดเพราะว่าใบคุระมีรสร้อน

สามสิบปีที่ผ่านมาไตรเริ่มต้นจากศูนย์ เก็บเงินซื้อที่ ซื้อควาย ก้มหน้าก้มตาเรียนรู้กับสิ่งที่บรรพบุรุษสั่งสมไว้ ไม่ต่างจากไอ้ควายตัวหนึ่ง แต่ไตรก็แสนภาคภูมิใจ เรียนรู้กับธรรมชาติ โดยที่ไม่รอให้ใครมาสอน หน้าฝนหน้าน้ำหลาก นาปี นาปรัง แต่ละฤดูกาลมอบบทเรียนล้ำค่าให้ไตรอย่างชนิดที่ไม่มีมหาวิทยาลัยใดมอบให้ได้ และไตรทำไปด้วยความอยากรู้อย่างแท้จริง ต่างจากคนอื่นพากันหัวเราะเยาะที่แกรั้นหัวชนฝา แม้ว่าบางปีผลผลิตที่ได้จะไม่พอเก็บเกี่ยวใส่ยุ้งฉาง แต่ไตรก็ไม่เคยท้อ ที่สำคัญ แกยืนยันที่จะทำนาเหมือนกับที่พ่อหรือปู่ทำ ไตรไม่เคยใช้ปุ๋ยเคมีเหมือนกับเกษตรกรคนอื่นๆในหมู่บ้าน ไม่เคยแม้แต่จะเฉียดเข้าไปใกล้ แม้ในช่วงที่ต้องปรับเปลี่ยนหน้าดินให้ได้ความอุดมสมบูรณ์ เรื่องนี้แม้แต่เกษตรตำบลก็ส่ายหน้าที่ไตรดื้อด้าน ขวางกระแส หาว่าไตรขวางโลก

แน่นอนละว่าไตรไม่เชื่อความรู้สมัยใหม่ทั้งหมดโดยเฉพาะการวางยาพิษให้กับผืนดิน เพราะนั่นเป็นการทำร้ายพระแม่โพสพผู้มีพระคุณ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มนุษย์ไม่ควรกระทำ และแล้วไตรก็นึกถึงเมียแกขึ้นมาอีก แกไม่ก่นโทษใครที่เมียจะผละหนีแกไป แม้หัวใจแกจะแตกสลายลงเป็นเสี่ยงๆ และเสียใจแทบเป็นบ้า ไตรสติแตกไปพักใหญ่กว่าที่จะทำใจได้ ไตรกลับมาทำงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังในเวลาต่อมา ปีต่อมา แกซื้อรถแทรกเตอร์คันใหม่ ทำสวนสมรม แล้วก็ขยายที่นาออกไปนับสิบไร่ ทุ่มเทแรงกายให้กับลูกและแผ่นดินอันเป็นที่รัก

บ่อยครั้งที่ไตรบอกตัวเองว่าแกรักในความยากลำบากที่สอนให้ชีวิตกร้าวแกร่ง

อย่างไรก็ดี ไตรไม่เข้าใจ การยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเองเป็นสิ่งยากเย็นแสนเข็ญสำหรับคนสมัยนี้หรืออย่างไรไม่รู้ได้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ไตรกลายเป็นคนขวางโลกหนักขึ้นไปอีก เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ไตรเชื่อล้วนปลูกฝังผ่านลูก ไตรไม่อยากให้ลูกกลายเป็นคนอ่อนแอปวกเปียกเหมือนเด็กทั่วไปที่แกเคยเห็น แกรักลูกเกินกว่าที่จะให้ความสะดวกสบายเพียงชั่วครู่ชั่วยามทำร้าย ไตรบ่มเพาะนิสัยลูกจนกระทั่งเติบโตมาเป็นเด็กขยันเอาการเอางาน...ยกเว้นเจ้าดอนลูกชายคนโต  แกคิดอย่างเจ็บใจ ด้วยเหตุที่แกฟันฝ่าทุกอย่างมาได้ก็ด้วยหัวใจของความเป็นชาวนา ดังนั้น แกบอกลูกทุกคนว่าเราคือชาวนา ลูกๆของแกทุกคนเกิดมาจะต้องทำนา

แกมักจะกล่าวว่า เด็กแต่ละคนก็เหมือนดินแต่ละก้อน ที่มีธาตุอาหารไม่เหมือนกัน คุณสมบัติพิเศษที่แผ่นดินมอบให้ชาวนาชาวสวนมิใช่ว่าทุกคนจะได้รับเหมือนกันทุกคน การให้ของแผ่นดินจึงต้องแลกเปลี่ยนด้วยการลงมือลงแรง จึงเกิดผลผลิตให้ได้เก็บเกี่ยวที่มิได้หมายแต่ข้าวขาวในจาน ที่จะมาแปรเปลี่ยนเป็นพละกำลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง ให้ได้ดูดกลืนไปเพื่อสร้างสิ่งดีๆตอบแทนโลก หากแต่เป็นภูมิความรู้ เป็นสิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยการลงมือทำ แกบอกใครต่อใครว่าเพราะชาวนาทำนาโดยไม่มีใครมาสอน เป็นเช่นนี้จึงทำให้ไม่มีใครอยากทำ ไม่มีคนอยากเรียนรู้อีกแล้ว

พวกเขากลัว คนสมัยนี้จิตวิญญาณมืดบอดต่อการใฝ่รู้ ดังนั้น ไตรยิ่งทุ่มเทเวลาให้กับลูก และแกเชื่อในการอบรมสั่งสอนเป็นอย่างยิ่งเวลาไตรพูด ลูกๆทุกคนจะต้องฟัง แล้วก็เชื่อ หากไม่เชื่อไตรเป็นตียับ แกไม่กลัวใครครหาว่าเลี้ยงลูกแบบเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย ไตรรักลูกเกินกว่าที่จะปล่อยให้ลูกเป็นเทวดาแตะไม่ได้

เช้าวันนี้ ไตรเริ่มรับรู้ได้ถึงอายอุ่นแห่งสัมผัสผ่านปลายเท้าเปลือยแตกด้านที่กำลังย่ำไปบนเนื้อดินเปียกน้ำค้างยามเช้า ในห้วงเวลาที่แสงแรกของดวงตะวันแทรกตัวขึ้นโค้งฟ้าและอาบผืนแผ่นดินที่ดูดซับรองรับธาตุทั้งปวงไว้ในอ้อมกอด รอจนฟ้าสางสว่างเต็มตา ไตรเดินลงมาที่หัวสวน มองดูทุ่งนานับสิบไร่ที่กล้าข้าวกำลังตั้งท้องเขียวไปทั่ว ด้านหนึ่งของฟากแผ่นดินเป็นผืนทะเลสาบ ปีที่ผ่านมาน้ำท่วมหนัก น้ำเหนือหนุนเข้ามารวมกับน้ำจากในตัวเมืองเอ่อล้นท่วมขังผืนแผ่นดินคาบสมุทรนานร่วมเดือน แล้วข้าวในนาจะไปเหลืออะไร โชคดีที่แกกับลูกเห็นท่าไม่ดีตั้งหลักได้ก็รีบลงไปเกี่ยวมาเก็บเอาไว้ได้บ้าง

ไตรมองเห็นภาพทุกอย่างหวนกลับมาอีก ลูกสาวคนเล็กยังคงหลับสนิท แกได้ยินเสียงกรนเบาๆดังลอดมุ้งออกมา ปีนี้หล่อนอายุเท่าไรแล้วนะ แกลองนิ่งนับ จะเก้าปีแล้วสินะ หล่อนเกิดตอนที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ ตอนนั้นแกเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ปีนี้หล่อนโตขึ้นมาก เป็นความหวังเดียวที่แกหลงเหลืออยู่ และหล่อนก็สู้งานดีเหลือเกิน อายุ 7 ขวบก็ทำนาเป็นแล้ว

ลูกเอ๋ย ชีวิตมันไม่ได้มีอะไรหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เราจะแบกรับมันไว้ คนเราแค่ตื่นลืมตา มีข้าวให้กิน มีที่นอนอุ่นๆให้ได้นอนหลับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว สิ่งจำเป็นที่ต้องกอบโกยมายาอื่นใดมาให้รกหัวใจ และเหนือจากนั้นก็คือทำความดี ฝากรอยเท้าทิ้งไว้ ให้คนรุ่นหลังได้เห็นร่องรอยของการเดินทางผ่านมา

"แกมันบ้า อยากให้ลูกลำบาก แกมันเห็นแก่ตัว" ไตรเมินทำเป็นหูทวนลมทุกครั้งที่มีคนมาแค่นว่าให้ระคายหู ทว่าไตรก็นอนร้องให้ทุกครั้งที่คิดถึงลูกที่หนีจากไป แกรู้ ลูกแกจะต้องเอาตัวรอดได้ แม้ไม่รู้ข่าวมันเลยว่าหนีหายไปไหน

หกเดือนเต็มๆหลังลูกชายหนีไปที่ไตรรอคอยอย่างสิ้นหวัง และหมดหวัง  ขณะที่ในสายตาของคนอื่นไตรเป็นพ่อที่แสนเลวร้าย ทั้งหมู่บ้านโจษขานถึงแกอย่างเสียๆหายๆ  แกไม่เหมือนพ่อแม่คนอื่นที่หวังดีอยากให้ลูกได้ดิบได้ดี ส่งลูกไปเรียนในเมืองจะได้มีความรู้สูงๆ ไม่ต้องกลับมาทำนาหรือปีนต้นโตนดเหมือนพ่อแม่ เฮอะ ช่างแม่งปะไร แกรำพึง มาถึงวันนี้แล้วไตรไม่อยากใส่ใจขี้ปากใคร แกก็ยังเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง

กูไม่ได้ขอใครกินสักหน่อย แกคิด แล้วก็นึกหัวเราะเยาะคนอื่น ว่าก็เพราะมัวแต่คิดสั้นอย่างนี้นี่เองเล่าถึงได้วิปริตกันทั้งหมู่บ้าน คิดแต่จะขายสวนขายนาทำนากุ้ง ทำสวนยาง มีแต่กูนี่แหละที่ทั้งหมู่บ้านนี้ที่เป็นผีบ้าตัวจริง แต่ผีบ้าคนนี้ทำนาทำสวนไม่เคยขาด แถมงานบุญงานวัดงานบริจาค หรือฝนตกน้ำท่วมทีไร มิใช่มีแต่ผีบ้าคนนี้หรอกหรือที่เอาข้าวเอาปลาไปแจกจ่ายคนอื่นได้อาศัยประทังความหิวโหย ไตรรำพึง นี่เป็นความภาคภูมิใจสิ่งเดียวที่ตกค้างติดตัว อาจเป็นเพราะผลบุญที่ทำไว้จึงตกตามมา ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมาไตรไม่เคยอด ไปไหนก็มีกิน โดยไม่ต้องไปขอใครเขา

เช้าวันนี้กำลังจะผ่านไป ไตรเตรียมตัวออกจากบ้าน วันนี้เป็นวันนักขัตฤกษ์ ทุกวันหยุดนักขัตฤกษ์ ไตรจะไม่ทำอะไร แกจะลุกตื่นแต่เช้ามืด ล้างหน้าล้างตา คว้าหินลับมีดมาแล้วเดินไปฉวยมีดพร้ามาลับจนขาววับคมกริบ หลังจากนั้นก็ปลุกลูกให้ตื่นหุงข้าว กินน้ำชารองท้อง แล้วแกกับลูกก็ออกมาสมทบกับชาวบ้านช่วยกันพัฒนาหมู่บ้าน
"วันอื่นๆลูกจะหยุดไม่ทำอะไรนอนเล่นอยู่กับบ้านก็ได้ แต่ว่าหากเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ลูกๆจะต้องออกไปช่วยงานหมู่บ้าน ทำงานสาธารณะ ให้สมกับเกิดมาเป็นข้าของพระเจ้าแผ่นดิน" คำสอนนี้ไตรกำชับลูกจนเป็นนิสัย และไตรไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าหรือทำเอาใจใคร
ปีนี้ไตรตั้งใจจะปีนไปตัดแต่งยอดไม้ตรงหัวถนนที่กำลังชนสายไฟ ไตรบอกนายอำเภอไว้นานแล้วว่าไม่ควรจะมาปลูกที่หัวโค้งถนน เพราะรังแต่จะรบกวนสายตาแล้วมิหนำซ้ำการดูแลรักษาก็ทำได้ยาก แต่แกก็ขวางทางการไม่ได้ เพราะว่างบประมาณลงมาเรียบร้อยแล้ว คอยดูเหอะ คืนนี้ไตรจะปีนขึ้นไปแล้วตัดยอดให้เตียนเลี่ยน ลงมาแล้วแกจะเซาะรากให้เฉาตายไปทีละน้อย แกนึกอย่างสบายใจ
คนหัวใจเถื่อนอย่างกูนี่แหละ ที่จะทำงานบุญถวายเป็นพระราชกุศลให้ในหลวงท่าน ไตรร้องบอกตัวเอง หัวใจอิ่มพองด้วยความสุข.

แสดงความคิดเห็น

« 1601
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ