เรื่องสั้น

นิทานบนฝาผนัง

by kodeya @November,24 2006 17.02 ( IP : 61...77 ) | Tags : เรื่องสั้น

รัตนชัย มานะบุตร


เสียงเด็ก ๆ กำลังไล่จับลูกไก่.

"ใครอยากฟังนิทานบ้าง.มาทางนี้"  ผมตะโกนออกไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีนิทานอะไรจะเล่า

"เฮย.ไอ้ลุงคนนั้นจะเล่านิทานให้เราฟัง เราไปฟังนิทานก่อนเดี๋ยวค่อยมาจับกันใหม่"

เสียงวิ่งอ้อมไปทางหน้าบ้าน แล้วผมก็เห็นหน้าพวกเขาเกือบทั้งหมดยืนสลอนอยู่ที่ปลายเตียง

พวกเขามีหลายคนเสียจนแยกแยะไม่ออกว่าเป็นลูกหลานใคร บางคนขาดคนสอนให้รู้จักใช้คำพูดคำจาที่เหมาะสม แต่ดูเหมือนการรับราชการมานานทำให้เราห่างเหินจากเด็ก ๆ ไป แต่ก็นั่นแหละพวกเขาเป็นเด็กรุ่นนี้ ใช่.นี่คือเด็กรุ่นนี้

"นี่พวกเธอมายืนอยู่ทำไมล่ะ"

"อย่ามาพูดเล่นลิ้นหลอกพวกเราน๊ะ  เราอยากฟังนิทาน"

ผมจำชายแหละเล่านิทานให้เด็ก ๆ ฟังแกนั่งอยู่บนครกตำข้าว พวกเรานั่งบ้างยืนบ้าง ชายแหละเป็นคนพูดเสียงดัง แกเล่าหน้าเฉยสมัยสงคราโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นขึ้นบก แกพูดหน้าตาเฉยว่าแกยิงเครื่องบินรบญี่ปุ่นตกเสียหนึ่งลำ

"กูขึ้นไปอยู่บนยอดมะม่วงคัน" แกชี้ให้ดูมะม่วงต้นหนึ่งที่อยู่กลางทุ่งนา ต้นมันสูงมาก "ใช้ธนูยิงเข้าปลายปีก ปีกหักบินไปตกบ้านคนไทยฝั่งโน้น"

แกเล่าหน้าตาย ซึ่งผมคิดถึงแกทีไรอดคิดถึงครกที่แกนั่งไม่ได้ เพราะครกลูกนั้นผมเคยนั่งเอาเคล็ด ตอนนั้นตาผมเป็นต้อเนื้อผมไม่รู้ว่าทำตาผมมันแสบร้อนระคายเคืองทั้งคืนจนนอนไม่หลับ มาส่องกระจกดูจึงรู้ว่าตาเป็นต้อ เมียของชายแหละเป็นคนตัดต้อให้เพราะแกเป็นลูกคนสุดท้อง แกใช้เวลาตอนหัวค่ำให้ผมนั่งบนครกตำข้าวที่ชายชอบนั่งเล่านิทานโกหก แกเอากะลามาครอบที่ตาเอาเนื้อตากแห้งวางทาบท้ายกะลาใช้มีดตัดเนื้อ ผมกลับบ้านอาการระคายเคืองได้หายเหมือนปลิดทิ้ง เนื้อที่งอกตรงขอบตาดำค่อยหายไปโดยสิ้นเชิง

"ไม่มีหรอก.มีแต่เรื่องจริง ๆ" ผมบอกพวกเด็ก ๆ

"ไม่เอาเรื่องจริง เราอยากฟังนิทาน"

"ถ้าพวกเธอต้องการเช่นนั้น"

ผมชี้ไปยังฝาผนัง.

ด้วยปลายนิ้วชี้ของคนธรรมดา หยากไย่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวคล้ายกลุ่มเมฆฝอยลอยอยู่เหนือฟ้า
บนฝาผนังประกอบด้วย พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว ทุกอย่างล้วนเป็นพลาสติกที่ลูกสาวติดไว้บนฝาผนังเมื่อตอนที่เธอเคยอยู่ในห้อง ๆ นี้  ซึ่งเนื้อในคล้ายบรรจุฟ้อสฟอรัส จะส่องแสงนวลเมื่อยามดับไฟยามฝนตกฝนหนัก น้ำจะรั่วลงมาจากขอบกระเบื้องบนหลังคา ผมเคยนำช่างมาซ่อมแต่ไม่หาย รั่วมานานจนเห็นคราบไคลและรอยเปื้อน ฉะนั้นพื้นฝาด้านนี้จึงมีอะไร ๆ มากมายเปรียบเสมือนแผนที่ย่อโลกทั้งโลกมาไว้ที่นี่

ภายในห้องนอนบัดนี้มีเพียงแสงจากดวงจันทร์และดวงดาวพลาสติกเท่านั้นที่ส่องแสงสุกสว่างให้เห็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งกำลังเดินเรียงแถวใต้กลุ่มเมฆหยากไย่ที่ว่า  ผมเพ่งดูอยู่นานยังมองเห็นไม่ชัดว่าสิ่งมีชีวิตจำนวนนั้นเป็นสัตว์ประเภทไหนกันแน่ ตัวเท่ามดแต่ท่าเดินช่างเหมือนคน หากเป็นคนแคระคงไม่ใช่แน่นอน เพราะตัวเล็กเท่ามดดำเอง ผมหยิบแว่นตามาสวมเพื่อมองให้เห็นชัดว่าเป็นตัวอะไรกันแน่  ทันทีที่สวมแว่นตา บนฝาผนังนั้นกว้างยาวเพียงสี่เมตรเท่านั้น แต่บัดนี้กลับกว้างใหญ่ไพศาลมองดูสุดลูกตา รอยคราบน้ำฝนกลางฝาผนังเป็นเส้นแบ่งคั่นระหว่างแผ่นดินกับแผ่นฟ้ากว้าง มีแสงจันทร์กำลังส่องสว่างเรืองรอง ผมเห็นคนจูงม้าซึ่งบนหลังมีหีบสำภาระ ม้าอีกตัวมีหญิงสาวนั่งอยู่บนอาน เธอสวมอาภรณ์ชุดฮิญาบปิดหน้ามิดชิด  ม้าตัวที่เธอนั่งมีคนจูง คณะกำลังเดินไปตามเส้นทางมุ่งหน้าสู่เมืองใดเมืองหนึ่ง ผมดูขบวนจนพวกเขาลับไปจากสายตา  คณะล่วงลับไปแล้ว ผมเพิ่งได้ยินเสียงขับร้องนาเชดแว่วดังมาตามสายลมชวนให้หลงไหลยิ่งนัก อย่างน้อยทำให้ใจผมรู้สึกโหยหาอยากเห็นหน้า อยากได้ยินเสียงใกล้ ๆ

ผมหวนคิดถึงหญิงคนรักเก่า เดี๋ยวนี้เธอผู้นั้นเป็นครูสอนนาเชดแก่เด็กปอเนาะไปแล้ว  ตอนเรียนปอเนาะด้วยกัน เราไม่มีโอกาสได้พบ เห็นเพียงเด็กผู้หญิงคนโน้นคนนี้แค่นุ่งห่มมิดชิดเท่านั้น ที่พวกเราเห็นได้ชัด ๆ ก็เห็นจะเป็นหญิงชราซึ่งไม่มีโต๊ะครูหวงห้ามแม้จะนั่งคุยชักนิทานสักกี่ชั่วโมงก็ตาม ปอเนาะเรามีความจำเป็นต้องหาเงินก้อน งานปอเนาะถูกจัดขึ้น ในงานมีกิจกรรมของเด็กปอเนาะ แล้วเชิญผู้มีชื่อเสียงมาบรรยายธรรม กิจกรรมของเด็กผู้ชายแสดงละครเชิงประวัติศาสตร์ ส่วนเด็กนักเรียนผู้หญิงขับร้องนาเชด  ผมจึงได้เห็นเด็กนักเรียนหญิงทุกคนแม้อยู่ในชุดมิดชิดแต่เสียงร้องของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน.ผมรักชอบผู้หญิงที่น้ำเสียงกว่ารูปร่างหน้าตาเสมอ คืนนั้นผมเล่นละครเป็นตัวเอกซึ่งถูกฆ่าโดยถูกปาก้อนหินจนตาย วันรุ่งขึ้นได้ทราบข่าวจากหญิงชรา นางชื่อโต๊ะยีสะว่าเธอร้องห่มร้องไห้แม้ละครเลิกราไปแล้ว  ตั้งแต่คืนที่เธอขับนาเชดคืนนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ผมไม่เคยลืมเธอเลย ยังจำเหมือนประทับตราด้วยเหล็กร้อนลงกลางดวงใจซึ่งรอยแผลเป็นแผลนั้นไม่อาจจางหายไปได้ง่าย ๆ เลย  ลีลาการขับร้องและน้ำเสียงที่ผมได้ยินตอนนี้นั้น กับขณะนี้ช่างละม้ายคล้ายเสียงเธอยิ่งนัก ผมเดาเข้าข้างตัวเองว่าเสียงนี้ต้องเป็นเธอ หญิงที่ผมฝันถึงทุกลมหายใจ

ผมจะรอให้ถึงวันที่ผมซับน้ำตาให้เธอ.

ผมลุกจากที่นอนกรายเท้าไปตามเสียงขับขาน ตามองหารอยเท้าม้า ผมเริ่มคิดทบทวนเส้นทางสายนี้เป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองไหนบ้างผมยังนึกไม่ออก งานมัสยิดนั้นมักสั่งนาเชดจากที่อื่นไปขับร้องเสมอ และเธอคงขับนาเชดทวนความจำในระหว่างการเดินทาง ด้วยลีลา น้ำเสียงที่ไพเราะของเธอทำให้เสียงนั้นติดตามยอดไม้ใบหญ้าที่ขบวนเดินทางผ่าน

ผมเด็ดใบไม้ทุกใบที่มีเสียงของเธอติดอยู่ ระยะเวลาเพียงไม่นาน ในกระเป๋าของผมก็เต็มไปด้วยใบไม้ เสียงขับนาเชดประสานกันดั่งรี่  ๆ  คล้ายเสียงจักจั่น ทำให้ชายเสื้อที่ติดกับกระเป่าเต้นระริกให้รู้สึกจักจี้ ยิ่งเดินไปใจยิ่งกระสับกระส่ายยิ่งอยากเห็นหน้า.ฝันไกลไปถึงการหมั้นหมาย เป็นเนื้อคู่ตุนาหงันงานแต่งงานของเรา ผมคงมีความสุขมากหากได้พบเธอและวันนั้นมาถึง

ผมเดินมาถึงภูเขาที่โล้นเลี่ยน จะเพราะเหตุใดก็ตามแต่มันเป็นภูเขาที่ถูกตกแต่งมาแล้วด้วยการเรียงร้อยก้อนหินใหญ่น้อยวางเรียงรายไว้อย่างมีระเบียบ มีร่องทางเดินตัดภูเขาสำหรับคนผ่านทางได้รับความสะดวก  จู่ ๆ ปรากฏเสียงกระแทกของวัตถุบางอย่างดังขึ้น แล้วผมก็เห็นหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งกำกลิ้งขึ้นมาจากที่ลาดต่ำด้วยความเร็วไม่ต่างไปจากที่มันตกมาจากบนภูเขา ผมคิดว่าตอนนี้โลกกำลังวิบัติทำให้แรงดึงดูดเปลี่ยนทิศทางไป  มันกระแทกกับก้อนหินขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างแรงกระแทกทำให้มันกระเด้งกระดอนผ่านผมไปจนเกือบหลบไม่ทัน ไม่เช่นนั้นกระดูกกระเดี้ยนิ่มเหมือนงูเหลือมรัดทีเดียว  ภาพสุดท้ายที่เห็นมันกระแทกกับหินก้อนโตที่สุดที่ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาจนไอ้ก้อนโตสั่นสะเทือนแล้วกลิ้งตกลงมา  ผมแอบใต้ซอกหินก้อนหนึ่งที่คิดว่าปลอดภัย อึดใจรอ.ให้มันผ่านไป ช่างเป็นภาพที่สวยงามที่สุดคือภาพที่มันกระเด็นกระดอนไปตามแรงกระแทกจากก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนที่เรียงรายลดลั่นสู่เบื้องล่างท่ามกลางเสียงดังปานฟ้าถล่ม .มันเป็นก้อนมหึมาหากเทียบกับก้อนที่กลิ้งขึ้นไปแทน แทนที่มันจะหยุดอย่างเชื่องช้าสวยงามที่เชิงเขาแต่กลับกลิ้งหลุดหายไปจากสายตา หินก้อนเล็กไปแทนหินก้อนโตอย่างอหังการ.

ผมคิดถึงสายน้ำเล็ก ๆ สายหนึ่งบนภูเขาทางทิศตะวันตก ในหน้าแล้งได้ยินเพียงเสียงน้ำแผ่วคล้ายเสียงเขย่าน้ำในขวดเท่านั้น แต่พอตกหน้าฝนแล้วแม้แต่ช้างตัวโต ๆ ก็ไม่สามารถยืนต้านกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดของมันได้.

เมื่อทุกสิ่งสงบลงผมมองหารอยเท้าม้าซึ่งได้หายไปจากร่องทางเดิน  หูเงี่ยฟังเสียงขับนาเชด มันช่างเงียบเชียบดั่งตกอยู่ในป่าช้า ขณะนี้ดวงเดือนและดวงดาวบนท้องฟ้าหายไป มีดวงพระอาทิตย์ทอแสงเจิดจรัสอยู่ซีกฟ้าอีกด้านซึ่งผมนึกไม่ออกว่ามันกำลังขึ้นหรือกำลังจะตกดินกันแน่ ไม่ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นหรือตกสำหรับผมตำแหน่งพระอาทิตย์มันต้องเป็นทิศเหนือหรือทิศใต้เท่านั้น ถ้าเช่นนั้นพอสรุปได้ว่าผมกำลังหลงทางแน่ ๆ แล้ว

โอ้ นี่ผมกำลังหลงทิศหลงทางไปแล้วหรือนี่ ช่างไม่ต่างไปจากไก่ตาบอดที่เดินไปอย่างไร้จุดหมาย

จนกระทั่งผมมาพบบ้านหลังหนึ่งปลูกอยู่กลางสวนผลไม้ เงาะสุกเต็มต้น ทุเรียนหล่นเกลื่อนส่งกลิ่นหอมชวนหิว ผมอยากกินทั้งทุเรียนและเงาะเสียแล้ว กวาดสายตาไปทั่วไม่เห็นมีใครในบริเวณนั้นเลย ใครเป็นเจ้าของ ความหิวทำให้ผมอยากถือวิสาสะกินเข้าไป หากผมทำเช่นนั้นก็ย่อมได้ เกิดเจ้าของมาพบเข้า ผมก็จะขอเขากิน หากเขาไม่ยอม ผมก็เจรจาจ่ายเงินชดใช้ การเจรจาจะลงเอยเช่นไรสุดแล้วแต่ หากเจ้าของไม่มาพบเราก็กลายเป็นขโมยของของเขากิน.ก็เท่านั้น  แต่กิเลสตรงนั้นผมไม่มี ขณะนี้ประตูบ้านปิดสนิท ลั่นกลอนตอกลิ่มไว้แน่นหนา มีหมาสีดำตัวหนึ่งนอนหลับอยู่ใต้ถุน เมื่อผมเดินเข้าใกล้เห็นได้ชัดว่ามันท้องแก่ใกล้คลอด เสียงกรนของแม่หมาบอกว่าไม่ยอมรับรู้เรื่องราวรอบข้างแม้แต่น้อย แต่เมื่อผมเดินผ่านเลยเพื่อจะออกไปจากสวน ทันทีที่คล้อยหลังเกิดได้ยินเสียงเห่าดังเล็ก ๆ  ซึ่งไม่ใช่เสียงแม่หมาที่หลับแน่นอน ผมหันกลับไปดูให้แน่ใจอีกครั้ง มองหารอบ ๆ จนทั่วใต้ถุนว่ามีหมากี่ตัวกันแน่ แต่ไม่เห็นมีลูกหมาภายในบริเวณนั้นแม้แต่ตัวเดียว เสียงเห่าดังอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าเสียงดังมาจากทิศไหน ความจริงเสียงหมาเห่าไม่น่าจนใจหรอก แต่เสียงเห่าที่หาตัวหมาไม่เจอนี่สิทำให้ผมต้องก้าวเท้าเดินกลับไปดูแม่หมาอีกครั้ง.หรือว่าแม่หมาเห่าขณะหลับ? เงี่ยหูฟังจนกระทั่งเสียงเห่าดังอยู่ที่ตัวแม่หมาโดยที่ปากของมันไม่ได้ขยับแม้แต่แน้อย ผมแน่ใจว่าเสียงเห่าดังมาจากลูกหมาที่อยู่ในท้องแม่ของมันนั่นเอง

ผมคิดถึงเด็ก ๆ ที่บางทีพวกเขากำลังลอบมองผมอยู่ตามเหลือบมุมใดมุมหนึ่งในห้องนอนของผมก็ได้ อาจมีใครคนใดคนหนึ่งบอกหลานของผมว่า "ลุงของเธอคงเป็นคนบ้าไปแล้ว"

ผมผ่านสวนผลไม้มาครู่หนึ่งถึงที่ราบเตียน ขณะนี้ดวงอาทิตย์แผ่เปลวแดดจ้ามีเมฆหนา ๆ กระจัดกระจายอีกด้านทำให้อากาศร้อนระอุจนผมรู้สึกหิวน้ำขึ้นมาเป็นกำลัง กวาดสายตาไปรอบ ๆ  แล้วผมมองเห็นกาบหมากซึ่งเย็บเป็นภาชนะเล็ก ๆ มีสายเชือกสำหรับหย่อนลงบ่อ มันครอบอยู่บนหัวไม้หลัก ผมคิดถึงบ่อน้ำสมัยโบราณ คิดถึง 'ตีหมาสะเตาะ' ในนิทานชวนหัวเราะขึ้นมาทันที  จริงดังว่ามันเป็นบ่อดินมีไม้กั้นล้อมรอบปากบ่อ ไม่รอช้าที่จะตักน้ำมาดื่มแก้กระหาย แต่สายเชือกผมกาบหมากที่ผมหย่อนลงบ่อจนสุดสายไม่กระทบสิ่งใดเลยนอกจากความว่างเปล่า บ่อนั้นลึกมากแม้แต่แสงสว่างจากข้างบนไม่สามารถส่องลงไปถึงได้ ผมมองมองไม่เห็นแม้เงาของน้ำในบ่อ ขณะที่อารมณ์เสียนั้นเหลือบไปเห็นบ่อน้ำอีกสองลูกอยู่ห่างประมาณสี่ก้าว ผมชะโงกดูไม่ได้หวังว่ามันจะมีน้ำดื่ม แต่อนิจจาบ่อลูกแรกกลับมีน้ำเต็มปริ่มอย่างน่าประหลาด ส่วนบ่อลูกที่สองจะมีน้ำหรือไม่นั้นไม่เป็นเรื่องสำคัญอีกแล้ว แต่เมื่อผมเดินไปดูเพื่ออยากรู้ก็ปรากฏว่ามีน้ำเต็มปริ่มเช่นเดียวกัน

ผมคิดถึงการซึมซับของดินที่ไม่มีในพื้นที่แคบ ๆ ตรงนี้ แล้วคิดถึงการแบ่งสันปันส่วน  แล้วก็หวนคิดถึงคนที่รวยกับคนที่จน

ผมกำลังกลายเป็นคนหลงทางที่ตัวเองอาจหลงเข้าไปอยู่ในเรื่องเล่าที่คนคนหนึ่งหลงเข้าไปอยู่ในเมือง "ญิน" สิ่งมีชีวิตที่มนุษย์ไม่สามรถมองเห็นพวกเขาได้ ผมยังคิดไปถึงการได้แต่งงานกับพวกญินโดยลืมลูกลืมเมียบนโลกมนุษย์เสียด้วยซ้ำ.อะไรเป็นต้นเหตุทำให้ผมพาตัวตนมาหลงทางในครั้งนี้ แน่ล่ะ เพราะผมต้องมนต์เสน่ห์ นางนาเชดจนหลงงมงาย มันคือตัวกิเลส ทำให้ผมต้องหลงอยู่ในดินแดนที่ไม่ใช้บ้านเกิดเมืองนอนขณะนี้

ทุก ๆ ย่างเท้าที่ก้าวไป  หาได้เป็นสิ่งที่ผมกำหนดทิศทางได้เลย มันเป็นไปโดยมีอำนาจสูงสุดอยู่เบื้องหลัง  ผมมีตัวตนก็เหมือนรูปตัวหนังตะลุง มีเพียงความพยายามเท่านั้นที่เป็นของผม ขณะนี้ผมพยายามที่จะหลุดออกไปจากการตามหานางนาเชด ผมจะไม่คิดถึงมันโดยฉับพลันได้อย่างไร? เท้าพาผมไปใจพยายามหาเส้นทางเดินกลับ ผ่านที่ไหน?  เขตแผ่นดินเมืองใด?  ไม่รู้จะถามใคร? เพราะไม่พบใครสักคน

แต่แล้วผมก็พบคนเข้าจนได้ เป็นคนแรกในโลกปริศนาเพียงคนเดียว นางคือโต๊ะแก่ หญิงชราที่ผมเคยรู้จัก นางได้จากหมู่บ้านอยู่ในหลุมฝังศพมานานแล้ว แกมีอายุยืนยาวมากกว่าร้อยปี และเป็นคนสุดท้ายที่ก่อนเข้ารับอิสลามต้องทำพิธีบวชเป็นชีพราหมณ์ นุ่งขาวห่มขาว แม้กระนั้น ผมยังจำเค้าหน้าของแกได้ นางกำลังนั่งเหลาไม้ไผ่จักสาน ผมออกท่าทางดีใจรีบวิ่งเข้าไปถาม  "โต๊ะแก่ครับ บ้านสะเดา เมืองหวัดสงขลาไปทางไหนครับ"

"ที่นี่แหละ และแกกำลังอยู่ในห้องของตัวเอง"

ผมหันไปดูรอบผมยืนยันหนักแน่น "ไม่ใช่ ที่นี่ไม่รู้ที่ไหน?"

"ก็แกกำลังหลงทางไง  แกจึงจำมันไม่ได้"

"ใช่ ผมกำลังหลงทาง โต๊ะแก่ช่วยบอกทางให้ผมทีเถอะ"

"ข้าบอกแล้วไงล่ะว่าที่นี่เป็นบ้านของแก ที่แกหาไม่เจอก็เพราะแกหลงอยู่กับเรื่องราวในอดีต  แกมันหลงอยู่กับของเล่นของรำจนสติสตางค์ของแกไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว.หากแกเลิกคิดถึงนางนาเชดเท่านั้น แกก็จะรู้เองว่าแกอยู่ที่ใด ไม่เช่นนั้นแกก็จะไม่มีทางกลับไปได้หรอก ที่ข้าพูดแกคงเข้าใจ."

ผมพยายามหาข้อแก้ต่างแต่ก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าการขับเพลงนั้นไม่ดีตรงไหน  แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปหาตัวเอง ผมเป็นคนมีครอบครัวแล้วต้องรับผิดชอบลูกเมียอยู่  จึงอ้างไม่ได้เลยที่จะทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้นางนาเชดมาเป็นคู่ครอง ผมจึงได้แต่อ้ำอึ้ง

"ข้ารู้ว่าแกจนมุมข้าแล้ว  แต่ในใจแกยังมีข้องสงสัยอื่นค้างคาอยู่อีก แกมีเรื่องในใจอยากถามข้าเปิดโอกาสให้ จะถามอะไรก็จงถามมาเถอะ บอกได้ก็จะบอก"

"ครับ" ผมคิดว่าผมเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง "ข้อข้องใจมีอยู่ว่า ที่ผมเดินทางมาพบสิ่งประหลาดเป็นปริศนา โต๊ะแก่มีอายุมานานพอจะบอกได้ไหมล่ะว่ามันหมายถึงอะไร?"

โต๊ะแก่หัวเราะร่วนแล้วก็ตอบว่า  "นั่นแหละ  เป็นเรื่องราวของคนรุ่นหลังแล้วล่ะ"

โต๊ะแก่ชี้ให้ดูข้ามผมไปข้างหลัง  ใช่..พวกเด็ก ๆ ยังคงอยู่ พวกเขาบางคนกำลังหัวเราะ บางคนอ้าปากค้าง และบางคนนั่งหลับจนน้ำลายไหล

เรื่องราวของคนรุ่นหลัง !

แสดงความคิดเห็น

« 6644
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ