เรื่องสั้น

บางทีพวกเด็ก ๆ คงอยากรู้ว่าเพื่อน ๆ ที่หายไปตอนนี้พวกเขาเป็นเช่นไรบ้าง?

by kodeya @November,29 2006 11.32 ( IP : 61...40 ) | Tags : เรื่องสั้น

รัตนชัย  มานะบุตร


เด็ก ๆ ร้องห่มร้องไห้เมื่อเห็นสภาพโรงเรียนของเขา ซึ่งบัดนี้เหลือไว้เพียงเสาธงต้นเดียวเท่านั้น

อร่ามนั่งกอดกระเป๋าเรียนในชุดนักเรียน เขานั่งหลังพิงเสาธงมองอาคารซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นห้องเรียนของตัวเอง ฝาผนังห้องรวมทั้งโต๊ะเก้าอี้ โดนน้ำกวาดกองรวมกันเป็นเศษไม้กองพะเนิน อาคารเหลือเพียงหลังคาเอียงกระเท่เร่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว กำแพงอิฐรอบโรงเรียนเหมือนโดนยักษ์ปักลั่นเหยียบล้มพังพาบเรียบเป็นหน้ากลอง  สนามฟุตบอลที่เคยสวยงามด้วยหญ้าญี่ปุ่นกลายเป็นที่รวมเศษสิ่งปรักหักพังเกือบทุกอย่างนับตั้งแต่ ถ้วย ถังกะละมัง หม้อ ต้นไม้ โต๊ะเก้าอี้ รถยนต์หรือแม้กระทั่งเรือ  มีเสาธงต้นเดียวที่ยังคงสภาพเดิมบอกให้รู้ว่าที่นี่ บริเวณนี้คือโรงเรียนของพวกเขา .ให้ความหมายประมาณว่าคลื่นยักษ์ทำลายสิ่งใดก็ย่อมได้ ยกเว้นประเทศไทยเท่านั้น  อร่ามและเพื่อน ๆ ต่างสะอึกสะอื้นไม่หยุดหย่อนราวกับมาประชันร้องไห้กัน รอบ ๆ เสาธงจึงระงมไปด้วยเสียงร้องร่ำ.ตอนอร่ามร้องหากสังเกตก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้ติดอ่างเหมือนเวลาที่เขาพูด

เมื่อเห็นว่าครูปรีชามา อร่ามเงยหน้ามองเอามือเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า"โระ-โระ-โรง-เรียง-เรียง-เรียน-เลาะ-เลาะ-เรา-พะ-พะ-พัง-มด-มด-หมด-และ-และ-แล้ว"

ครูปรีชาจึงกล่าวขึ้นว่า "ไม่มีประโยชน์ที่มานั่งร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว เรามาช่วยกันเก็บกวาดกันเถอะ  ที่เสียหายก็ช่วยกันซ่อมแซมขึ้นมาใหม่.."

เมื่อตั้งสติได้ ทุกคน ต่างช่วยกันเก็บเศษไม้และเศษขยะเพื่อจะได้เห็นโรงเรียนหน้าชายหาดกลับมาสวยงามอีกครั้ง

ขณะเด็ก ๆ กำลังเก็บกวาดอยู่นั้น มีเด็กชายคนหนึ่งท่าทางร้อนรน เขามาหยุดยืนอยู่ห่าง ๆ เด็กทั้งหมดหันไปมองเขาคนเดียว เด็กชายผู้มีสีผิวคล้ำรูปร่างไม่หล่อแต่ท่าทางดูน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตรับกับดั้งจมูกแฟบปลายบานคล้ายผลชมพู่ ปากและใบหูหนา  เขานุ่งโสร่งตาหมากรุกโจงกระเบนเปลือยท่อนบน  มีคนเปรยขึ้นว่า 'หมอนั่นคือใคร?'

เด็กชายคนนั้นเอ่ยประโยคคำพูดออกมาคล้ายคำพูดของผีหลังกลวงที่พวกเด็ก ๆ นำมาพูดเล่นกัน เช่นว่า มึง-ซึ่ง-กู-ซู่-ไป-ไซ่-ไหน-ไส่-เลา-เซ่า..เอาเข้าจริง ๆ เกือบไม่มีคนที่เข้าใจ หากไม่มีฮาวาตี

ฮาวาตีคนเดียวที่เข้าใจภาษาชาวเลเพราะบรรพบุรุษของเธอเป็นชาวเลเหมือนกัน  เด็กรุ่นใหม่พูดภาษาชาวเลไม่ได้อีกแล้วเพราะวัฒนธรรมชาวเลถูกกลืนไปแล้ว ยกตัวอย่างบรรพบุรุษเคยเชื่อผีทะเล แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวของเธอหันมาเชื่อพระเจ้า ละหมาดห้าเวลา ส่วนที่ยังคงรักษาไว้เห็นจะเป็นภาษาชาวเลเท่านั้น พ่อของเธอบังคับไม่ให้พูดภาษาไทยในครอบครัวตัวเอง

ฮาวาตีเอ่ยขึ้น "เอ้อ!.รู้แล้ว!  เขาเป็นชาวเลนี่เอง มีอะไรเหรอ"

"ที่มานี่เพื่อมาตามพวกเธอให้ไปช่วยเด็กคนหนึ่งเขาถูกไม้ทับติดอยู่ใต้ทราย"  เด็กชายชาวเลบอก

"มีเด็กถูกไม้ทับติดอยู่ใต้ทราย!"

เมื่อฮาวาตีแปลภาษาให้เพื่อน ๆ ฟังทุกคนต่างหยุดงานเก็บกวาดโรงเรียนไว้ชั่วคราวเพราะงานช่วยเพื่อนสำคัญเร่งด่วนกว่า

ดังนั้นพวกเด็ก ๆ ก็ยกทีมกันไป พบว่าเด็กคนที่ว่าถูกไม้ทับฝังใต้ทรายลึกประมาณเมตรเศษ ๆ พวกเขาช่วยกันขุดออกมาจากทราย เขาเป็นเด็กฝรั่งมีดวงตาสีฟ้า พวกเขาต่างสงสัยกันว่ามันคือสีไหนกันแน่ระหว่างฟ้ากับสีน้ำข้าว แล้วฝรั่งตาสีน้ำข้าวมันเป็นยังไง?

"เธอชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหนล่ะ"    ศรีเมืองถาม เด็กฝรั่งผมทองส่ายหัว  คนถามรู้แล้วว่าต้องสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งคนถามไม่ใส่ใจอยู่แล้วว่าที่พูดออกไปเด็กฝรั่งผมทองจะฟังรู้เรื่องหรือไม่

"ฉันตั้งชื่อให้เขาเองว่าเจ้าชายผมทองเพราะเขาหล่อมาก แต่คงพูดกับพวกเราหลาย ๆ คนไม่รู้เรื่องหรอก" ลีลาวดีกล่าว เธอชายตาทำเจ้าชู้นิด ๆ  "เดี๋ยวฉันลองสัมภาษณ์ดูว่าเป็นคนชาติไหน"

"อีนางนี่" ศรีเมืองรู้สึกหมั่นไส้ "ฝรั่งที่ไหนดูผิวเผินก็หล่อทั้งนั้นแหละแต่อย่าอยู่ใกล้ก็แล้วกัน"

"เธอนี่ขี้อิจฉา..." ลีลาวดีค้อน

"ฉันไม่อิจฉาหรอก ฝรั่งหรือจะสู้คนไทยได้" ศรีเมืองไม่ยอม

"แน่ละสิ ก็เธอเป็นมวยไทยละสิ จะแตะก้านคอเขาใช่ไหมล่ะ...อยู่ใกล้แล้วทำไม"

"ก็เหม็นสาบนะสิ."

ลีลาวดีไม่สนใจเธอรีบวิ่งเข้าไปใกล้ แล้วพูดภาษาฝรั่งซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "นี่พ่อรูปหล่อ เจ้าชายผมทองของฉัน โรงเรียนซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะชวนเธอเรียนที่นี่ด้วยกัน"

ทุกคนแปลกใจเพราะไม่เชื่อว่าลีลาวดีจะพูดฝรั่งได้ แท้จริงแล้วเธอมีพ่อเป็นฝรั่ง เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน แม่กลับเมืองไทยทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการนวดฝ่าเท้าฝรั่งตามชายหาด เธอเองเลือกอยู่กับแม่เพื่อเรียนหนังสือไทย

"ฉันอยู่ที่นี่ได้ไม่นานหรอกเพราะคิดถึงบ้าน"

เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าคิดถึงบ้าน สีหน้าของพวกเขาเศร้า

"เมืองไทยคงไม่สนุกสินะเธอถึงอยากกลับบ้าน"

"ไม่ใช่ ที่เมืองไทยนี่สวยงามมาก ผู้ชายก็หล่อผู้หญิงก็สวยทุกคนที่นี่มีน้ำใจ แต่อีกไม่กี่วันโรงเรียนที่โน่นก็จะเปิดเทอมแล้ว "

ลีลาวดียิ้มชื่นใจต่อคำชม " ฉันไม่อยากให้เธอกลับนะ เรียนหนังสือกับพวกเราที่นี่เถอะ"

"โรงเรียนเมืองไทยเขาไม่รับเด็กฝรั่งอย่างเราหรอก"

เด็กชายชาวเลฟังอยู่ได้ยินคำว่ากลับบ้าน เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านเกาะของเขายังมีน้องสาวรออยู่จึงเอ่ยลากับเด็ก ๆ "เราขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนเมื่อหมดธุระแล้วเราก็ถือโอกาสลากลับแล้วละ"

"อะไรกัน เธอเป็นชาวเลเมืองไทยไม่ใช่รึ  กลับไปไหนล่ะ"

เด็กชายชาวเลจะบอกว่าบ้านของเขาก็คือเกาะแต่สื่อคำว่าเกาะไม่ถูกเลยวาดรูปกลม ๆ เหมือนผลแตงกวาอธิบายกันตั้งนานจึงรู้ว่าบ้านของเขาก็คืออยู่บนเกาะที่ใดสักแห่งในทะเล

ศรีเมืองพยายามหาวิธีแก้ปัญหาไม่ให้สองคนกลับบ้าน "นี่นังลีลาวดี บอกเจ้าชายของเธอ ส่วนฮาวาตีบอกบอกเด็กชายชาวเลของเธอ"

"บอกว่าไงคะ"

"บอกว่า พวกเราจะไปขอคุณครูให้เขาทั้งสองคนได้เข้าเรียนที่นี่"

"ทำไมต้องเรียนหนังสือด้วยล่ะ" เด็กชายชาวเลถาม

เจอคำถามเช่นนี้ต้องอึ้งไปเหมือนกัน.ทำไมต้องเรียนหนังสือ.เธอหันไปหาเพื่อน ๆ

"เอ้า!เธอไม่เรียนหนังสือดอกหรือ" เธอย้อน

"เรียนหนังสือให้มีความรู้โตเป็นผู้ใหญ่จะได้มีงานทำ มีเงินเดือน เมื่อมีเงินแล้วเราอยากได้อะไรก็ซื้อได้ทั้งนั้น"

"อะไรกัน!" เด็กชายชาวเลอุทาน "เราไม่ค่อยเข้าใจคำพูดที่เธอพูด พวกเธอช่วยอธิบายหน่อยสิ"

"ก็แปลว่า  แปลว่าอะไรน่า..." นิ่งคิด แล้วก็คิดได้ " คือเด็ก ๆ อย่างพวกเราเริ่มต้นเรียนหนังสือตั้งแต่อาคารเรียนชั้นแรก ๆ ต้องอยู่ห้องมุมสุดตรงนู้น พอปีต่อไปเราแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็ย้ายไปเรียนอีกอาคารสองชั้น...จนกระทั่งชั้นที่สุงที่สุด และต้องเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดด้วย" เขาชี้ให้ดูยอดมะพร้าวไกลออกไป

เด็ก ๆ หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ศรีเมืองตัวโตกว่าเพื่อน มีความคิดอ่านมากกว่าเพื่อนพูดว่า"เขาต้องเรียกว่าเรียนชั้นประถม..."

"เออ...ใช่ ๆ"

ศรีเมืองพูดต่อ "ต้องบอกว่าจบประถมก็ต่อมัธยม จบมัธยมก็ต่อ.สูงขึ้น ๆ .จบออกมาแล้วหางานดี ๆ ทำ เหมือนครูของเราไงล่ะ การเรียนหนังสือเป็นทางที่พวกผู้ใหญ่ปูให้เด็กเดิน...เดินไปสู่จุดหมายปลายทาง"

"ใช่ ๆ อะไรกันเด็กชาวเล เธอไม่รู้เลย แล้วพ่อแม่เธอไม่ให้เธอเรียนหนังสือเลยหรือ"

"ไม่ พ่อแม่เราไม่พูดถึงเรื่องเรียนหนังสือหรอก วัน ๆ ดำน้ำหาปลาได้ปลามากินเหลือจากกินเรานำไปแลกข้าวสารมาหุงกิน สมบัติของเรามีมากมายก่ายกอง ทั้งชีวิตเราก็กินไม่หมด"

"อะไรล่ะที่เป็นสมบัติของเธอละ"

"ทะเลทั้งหมดไง  มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก"

ว่าแล้วเด็กชายชาวเลก็วิ่งไปยังชายหาด ก้าวเท้าลงทะเล น้ำทะเลลึกไม่น่ากลัวสำหรับเขาเลย เพียงชั่วขณะร่างเขาก็หายไปจากสายตาของทุกคน ครู่เดียวเท่านั้น ภาพอันน่าทึ่งก็ปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง เขาโผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมด้วยกุ้งมังกรกับปลากระเบนขนาดเขื่องในมือข้างละตัว
โรงเรียนซ่อมเสร็จ พวกเด็กยืนคอยครูอยู่หน้าประตูโรงเรียน รอให้ลีลาวดียื่นรายชื่อให้ครูใหญ่ ขณะรอเจ้าชายผมทองก็นำขบวนเด็กต่างชาติมาสมทบแล้วยื่นรายชื่อจำนวนเด็กฝรั่งทั้งหมดที่ประสงค์สมัครเรียนที่นี่ให้แก่ลีลาวดีฝากให้ครูใหญ่พิจารณา

ครูใหญ่ชื่อครูปรีชาส่วนครูน้อยเป็นครูผู้หญิงชื่อยุวดี  รับกระดาษรายชื่อจำนวนเด็กมา "พวกเราไม่น่ามากันมากแบบนี้นะ" ครูใหญ่กล่าว

ลีลาวดีพูดขึ้นว่า "เด็กฝรั่งมากไปใช่ไหมค่ะ จะได้บอกให้พวกเขากลับไปเรียนที่เมืองเขา"

สีหน้าพวกเด็ก ๆ ไม่ดีเลย ลีลาวดีตีสีหน้าวิงวอนดั่งว่าหากเจ้าชายผมทองของเธอไม่ได้เรียนเธอก็ต้องพลาดหวังในรักแรกพบทำนองนั้น

"ครูคะ" ลีลาวดีกล่าว แต่สีหน้าครูใหญ่ยังไม่ดีขึ้น "พวกเรานั่งเรียนเบียด ๆ กันก็ได้นี่ค่ะ"

"ผมอาสายืนเรียน ให้พวกฝรั่งได้นั่งก็ได้" จินเฮงพูดเสียงดังแสดงสปิริต

"ครูใหญ่คะ" ครูน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เรียกเบา ๆ "ฉันจะรับพวกเขาทั้งหมดเอง"

"ก็ผมต้องการพูดแบบนี้แล้วนี่นา  เธอมาแย่งพูดเสียก่อน"  ครูใหญ่แก้ตัว

ความประสงค์ของแกคงให้เด็ก ๆ รู้ว่าตอนนี้ตัวแกเลื่อนตำแหน่งเป็นครูใหญ่แล้วซึ่งผิดกับเมื่อก่อนตอนคลื่นยังไม่ถล่มเพราะตอนนั้นแกยังเป็นครูธรรมดา ๆ อยู่เท่านั้นเอง

"พวก-พวก-เรา-เรา-จะ-จะ-เป็น-เป็น-นัก-นัก-เรียน-เรียน-ที่-ที่-ดี-ดี-ครับ-ครับ-ครู-ครู" อร่ามติดอ่างทีละคำพูดประกาศรับรองเสียงดังเช่นกัน

"เอาละ ๆ  ถ้างั้นตามครูมา"ครูใหญ่บอก  "แต่ครูว่าห้องเรียนของเราไม่พอนะ"

เด็กชายเหมร้องขึ้นด้านหลัง "เด็กชาวเลล่ะ...โน้นไง เขาอยู่ทางโน้น"

ทุกคนหันไปมองเด็กชาวเลซึ่งตอนนี้เขายืนอยู่หน้าซุ้มประตูโรงเรียน เมื่อเห็นว่าทุกคนหันมาสนใจตัวเองดังนั้นเขาจึงโบกมือลา-บ๊าย-บ๊าย-แล้วแขวนปลากระเบนกับกุ้งมังกรไว้กับรั้ว "เอาปลานี่ไว้เป็นอาหารเที่ยงของพวกเธอ"

"อะไรกันไม่ได้มาสมัครเรียนหนังสือหรือ...เธอไปแล้วหรือ"

"อื่อ ๆ ไง ที่มานี่ไม่ได้มาสมัครเรียนหนังสือดอกแค่เอาปลามาฝากพวกเธอเท่านั้นเอง "

"เดี๋ยวก่อน ขอร้องเถอะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ.เธอน่าจะเรียนหนังสือ ทำไมไม่มาคุยกับคุณครูของเราก่อนล่ะ"

"ไม่ล่ะ"

ครูน้อยตามออกไปที่ซุ้มประตูบอกกับเด็กชายชาวเลว่า "โรงเรียนของเรารับเด็ก ๆ ทุกคนไม่ว่าชาติไหน รวมทั้งชาวเลด้วย เธอจะได้มีความรู้ไงล่ะ"

"ใช่จ๊ะ" ฮาวาตีเสริม

"คนเราอยู่ในวัยเรียนไม่นานหรอก อดทนเล่าเรียนแค่ไม่กี่ปีโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะได้มีงานทำ"

"ผมไม่อยากทำงานแล้วก็ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย"

"เอ้า เธอไม่โตเป็นผู้ใหญ่เหรอ" ฮาวาตีไม่เข้าใจความหมาย

"ใช่.เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ช้าจะแก่ตายเหมือนพ่อแม่เราไง"

"เรียนหนังสือหรือไม่เรียนเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แก่ตายเหมือนกันนั่นแหละ"

"ไม่ ฉันไม่เคยโตเป็นผู้ใหญ่ ยืนยันตรงนี้ว่าฉันไม่ต้องการเรียนหนังสือด้วย"

ขืนพูดไปยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง ฮาวาตีเลยตัดบท "ไม่เรียนแล้วเธอจะไปอยู่ไหนล่ะ"

"เราจะไปอยู่ที่เกาะนะสิ หิวเราก็ดำน้ำลงไปจับปลามากินไม่เห็นจะต้องทำงานดี ๆ เลย"

"เด็กชาวเลเอ๋ย ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง เลิกเรียนเราจะไปอยู่บนเกาะเล่นด้วยกัน"

ครูน้อยใช้ให้ฮาวาตีถามเรื่องราวของครอบครัวของเขาเผื่อมีปัญหาจะได้ช่วยเหลือเจือจาน

"ฉันอยู่เกาะเล็ก ๆ ลำพังเพียงสองคน" เด็กชายชาวเลบอก

ว่าเขาสองคนกำลังคอยพ่อกับแม่มานานแล้ว

"เธอว่าอะไรนะ อยู่บนเกาะกันแค่สองคนเองหรือ.แล้วพ่อกับแม่ของเธออยู่ที่ไหนล่ะ" ฮาวาตีสงสัย

"เราสองคนคอยเรือปาจั๊กที่มีพ่อกับแม่มาด้วย วันแล้ววันเล่าคอยนานจนบัดนี้ยังไม่เห็นเรือผ่านมาทางนี้เลย."

"ทำไมต้องพูดคำว่าคอยนานด้วยล่ะ"

"เรื่องราวมันยาวนะ ถ้าฉันจะเล่าให้ฟังเธอจะฟังไหม?"

"เด็กชายชาวเลเธอจงเล่ามาเถอะ เผื่อพวกเรามีหนทางช่วยเธอได้" ครูใหญ่กล่าว

"บรรพบุรุษของเราเคยอาศัยอยู่เชิงเขา 'ฆูนุงฌึรัย' วันหนึ่งท่านนะบีนุฮ์ลงมาบอกผู้คนให้นับถือพระเจ้าแต่ถูกปฏิเสธ ท่านจึงสาปแช่งและไล่พวกที่ปฏิเสธทั้งหมด บางพวกหนีเข้าป่ากลายเป็นลิงค่าง บางพวกหนีลงทะเลกลายเป็น 'อูรังลาโว๊ด'อาศัยเรือจูโก๊ะล่องลอยเหมือนคนพลัดถิ่นหากินกับทะเลพักค้างแรมตามชายฝั่ง ตามเกาะต่าง ๆ นั่นแหละคือบรรพบุรุษของฉันล่ะ ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ชาวอูรังลาโว๊ดของฉันช่วยกันต่อเรือปาจั๊ก เพื่อส่งวิญญาณคนที่ตื่นไปแล้วให้ได้กลับไปยังฆูนุงฌึรัยดินแดนศักดิ์สทธิ์ของเรา"

"อะไรกัน คนที่ตื่นไปแล้วของเธอ" ฮาวาตีไม่เข้าใจ

"ก็ฉันนี่แหละตื่นแล้ว  เหมือนเธอนั่นแหละ"

"แล้วคนที่หลับล่ะคือใคร?" ฮาวาตียังข้องใจ

"พ่อแม่ของพวกฉันไง พวกท่านกำลังหลับอยู่ในความฝัน ทุกวันท่านตกอยู่ในฝันอันเศร้าสร้อยที่ฉันกับน้องสาวก้าวออกจากฝัน.ตื่นไปจากท่าน"

"นี่คือการตายจากกันใช่ไหมล่ะ" ลีลาวดีสีหน้าจะร้อง

"อีนางนี่!.ก็ตายนะซี่" ศรีเมืองนึกรำคาญจึงแซว

"ไม่.ไม่ตาย  แต่เราตื่น.ตื่นมาอยู่ที่นี่ไงล่ะ" เด็กชายชาวเลยังยืนยันคำเดิม

"ตอนนี้พ่อแม่ของเธอล่ะ นอกจากตกอยู่ในความฝันเศร้าสร้อยแล้ว ท่านฝันอย่างอื่นบ้างไหมล่ะ" ครูน้อยสนใจเรื่องราวอย่างใจจดใจจ่อเอ่ยถาม

"ท่านคงตกอยู่ในความฝันบนโลกใบเดิม.อาศัยแผ่นดินเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้หลักฐานที่ดินเป็นของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่มานมนาน แล้วคนที่ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ไม่เคยอยู่บนแผ่นดินบนเกาะมาก่อนนี่สิ พวกเขากลับได้สิทธิ์ครอบครองแผ่นดิน แย่งชิงมรดกของพ่อแม่พี่น้องเรา เขากำลังจะไล่ที่เพื่อสร้างรีสอร์ท  ท่านกำลังตกอยู่ในห้วงฝันผวาว่าสักวันจะไม่มีที่ซุกหัวนอน โลกใบเดิมของท่านช่างเศร้าสร้อยจริง ๆ"

"ท่านไม่เศร้าที่เธอตื่นมาดอกหรือ" ครูน้อยถาม

"ตอนที่เราสองคนตื่น ท่านส่งเรามากับเรือปาจั๊กในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยความเชื่อที่ว่าส่งวิญญาณเรากลับไปยังฆูนุงฌึรัยดินแดนแห่งบรรพบุรุษไง ท่านทั้งสองรอคอยเพื่อตื่นไปพบกันที่นั่น  แต่ไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือไม่ก็ไม่รู้" เด็กชายชาวเลตาแดงจะร้องไห้

"เอ้า.เธอร้องทำไมหรือ" ครูน้อยกล่าว

"ตอนนี้เราสองคนยังไปไม่ถึงฆูนุงฌึรัยดังที่ท่านประสงค์"

"เอ้า ทำไมเธอไม่ไปล่ะ บางทีพ่อแม่ของเธอตื่นแล้วและกำลังคอยอยู่ที่นั่นก็ได้น๊ะ"

"ที่เราอยู่ที่นี่เพื่อรอพ่อแม่ตื่น แต่โลกใบเดิมของท่านกำลังถูกคุกคาม  ถึงขนาดต้องสูญสิ้นชาติพันธุ์เลยทีเดียวนับตั้งแต่ความเจริญเข้ามาพร้อมกับนายทุนบุกรุกที่ บางทีท่านอาจไปเป็นคนงานหรือเป็นยามเฝ้ารีสอร์ทแล้วก็ได้หรืออาจไปเป็นชาวสวนหักร้างถางพงในนิคมใดนิคมหนึ่งที่รัฐจัดสรรสักแห่ง  ตอนนั้นท่านทั้งสองอาจกำลังฝันว่าท่านได้กลายเป็นลิงค่างตามคำสาปแช่งของท่านนะบีนุฮ์ไปแล้วก็ได้  เราสองคนคอยท่านอยู่ที่เกาะเล็ก  ๆ ที่นี่นานแล้ว วันแล้ววันเล่าที่เรารอคอย คอยว่าสักวันจะมีเรือปาจั๊กที่พาพ่อกับแม่มา  คอยด้วยความหวังว่าชาติพันธ์ของเราคนสุดท้ายส่งท่านมากับเรือปาจั๊ก แล้วเราทั้งสี่ก็จะกลับไปยังฆูนุงฌึรัยพร้อมกัน"

การพูดคุยระหว่างเด็กไทยกับเด็กชาวเล ลีลาวดีแปลเป็นภาษาฝรั่งทำให้เด็กชายผมทองงง ๆ ต่อคำว่าตื่นไม่ตื่น.โลกใบเดิม เขาทำไม้ทำมือบอกใบ้ว่าฟังความหมายแล้วไม่เข้าใจ

"ฉันเอาใจช่วยขอให้ชาติพันธุ์คนสุดท้ายของเธอคงเหลืออยู่เพื่อเธอจะได้พบพ่อแม่เธอสมดังหวัง.แต่ตอนนี้เธอต้องเหงามากนะ" ฮาวาตีว่า

"เหงานะสิ งั้นเธอไม่ต้องเรียนหนังสือมาอยู่ด้วยกันกับเราดีกว่า" เด็กชายชาวเลชวน

"ครูคะ หนูจะไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กชาวเล ไม่ต้องเรียนหนังสือได้ไหมคะครู" ฮาวาตีหันไปขอความเห็นจากครูใหญ่

"ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด หากครูยอมให้เธอสักคน แล้วพวกเธอที่เหลือมาขออีกจนหมดแล้วเราซ่อมโรงเรียนทำไม โรงเรียนก็ต้องปิดทำโรงเพาะชำเห็ดละสิ.... โรงเรียนเราเพิ่งจะเปิดวันแรกด้วย"

"งั้นเอางี้ก็แล้วกัน ทุก ๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนพวกเราจะไปเล่นที่เกาะของเธอ" ฮาวาตีตะโกนบอก

บางค่ำคืนอาจ ได้ยินเสียงพูดผ่านลำโพงโรงเรียน เรียกเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง เสียงร้องเพลงชาติไทย

.ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.

แสดงความคิดเห็น

« 4329
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ