เรื่องสั้น
บางทีพวกเด็ก ๆ คงอยากรู้ว่าเพื่อน ๆ ที่หายไปตอนนี้พวกเขาเป็นเช่นไรบ้าง?
รัตนชัย มานะบุตร
อร่ามนั่งกอดกระเป๋าเรียนในชุดนักเรียน เขานั่งหลังพิงเสาธงมองอาคารซึ่งเมื่อก่อนเคยเป็นห้องเรียนของตัวเอง ฝาผนังห้องรวมทั้งโต๊ะเก้าอี้ โดนน้ำกวาดกองรวมกันเป็นเศษไม้กองพะเนิน อาคารเหลือเพียงหลังคาเอียงกระเท่เร่ไม่ปลอดภัยอีกแล้ว กำแพงอิฐรอบโรงเรียนเหมือนโดนยักษ์ปักลั่นเหยียบล้มพังพาบเรียบเป็นหน้ากลอง สนามฟุตบอลที่เคยสวยงามด้วยหญ้าญี่ปุ่นกลายเป็นที่รวมเศษสิ่งปรักหักพังเกือบทุกอย่างนับตั้งแต่ ถ้วย ถังกะละมัง หม้อ ต้นไม้ โต๊ะเก้าอี้ รถยนต์หรือแม้กระทั่งเรือ มีเสาธงต้นเดียวที่ยังคงสภาพเดิมบอกให้รู้ว่าที่นี่ บริเวณนี้คือโรงเรียนของพวกเขา .ให้ความหมายประมาณว่าคลื่นยักษ์ทำลายสิ่งใดก็ย่อมได้ ยกเว้นประเทศไทยเท่านั้น อร่ามและเพื่อน ๆ ต่างสะอึกสะอื้นไม่หยุดหย่อนราวกับมาประชันร้องไห้กัน รอบ ๆ เสาธงจึงระงมไปด้วยเสียงร้องร่ำ.ตอนอร่ามร้องหากสังเกตก็จะรู้ว่าเขาไม่ได้ติดอ่างเหมือนเวลาที่เขาพูด
เมื่อเห็นว่าครูปรีชามา อร่ามเงยหน้ามองเอามือเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า"โระ-โระ-โรง-เรียง-เรียง-เรียน-เลาะ-เลาะ-เรา-พะ-พะ-พัง-มด-มด-หมด-และ-และ-แล้ว"
ครูปรีชาจึงกล่าวขึ้นว่า "ไม่มีประโยชน์ที่มานั่งร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว เรามาช่วยกันเก็บกวาดกันเถอะ ที่เสียหายก็ช่วยกันซ่อมแซมขึ้นมาใหม่.."
เมื่อตั้งสติได้ ทุกคน ต่างช่วยกันเก็บเศษไม้และเศษขยะเพื่อจะได้เห็นโรงเรียนหน้าชายหาดกลับมาสวยงามอีกครั้ง
ขณะเด็ก ๆ กำลังเก็บกวาดอยู่นั้น มีเด็กชายคนหนึ่งท่าทางร้อนรน เขามาหยุดยืนอยู่ห่าง ๆ เด็กทั้งหมดหันไปมองเขาคนเดียว เด็กชายผู้มีสีผิวคล้ำรูปร่างไม่หล่อแต่ท่าทางดูน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตรับกับดั้งจมูกแฟบปลายบานคล้ายผลชมพู่ ปากและใบหูหนา เขานุ่งโสร่งตาหมากรุกโจงกระเบนเปลือยท่อนบน มีคนเปรยขึ้นว่า 'หมอนั่นคือใคร?'
เด็กชายคนนั้นเอ่ยประโยคคำพูดออกมาคล้ายคำพูดของผีหลังกลวงที่พวกเด็ก ๆ นำมาพูดเล่นกัน เช่นว่า มึง-ซึ่ง-กู-ซู่-ไป-ไซ่-ไหน-ไส่-เลา-เซ่า..เอาเข้าจริง ๆ เกือบไม่มีคนที่เข้าใจ หากไม่มีฮาวาตี
ฮาวาตีคนเดียวที่เข้าใจภาษาชาวเลเพราะบรรพบุรุษของเธอเป็นชาวเลเหมือนกัน เด็กรุ่นใหม่พูดภาษาชาวเลไม่ได้อีกแล้วเพราะวัฒนธรรมชาวเลถูกกลืนไปแล้ว ยกตัวอย่างบรรพบุรุษเคยเชื่อผีทะเล แต่เดี๋ยวนี้ครอบครัวของเธอหันมาเชื่อพระเจ้า ละหมาดห้าเวลา ส่วนที่ยังคงรักษาไว้เห็นจะเป็นภาษาชาวเลเท่านั้น พ่อของเธอบังคับไม่ให้พูดภาษาไทยในครอบครัวตัวเอง
ฮาวาตีเอ่ยขึ้น "เอ้อ!.รู้แล้ว! เขาเป็นชาวเลนี่เอง มีอะไรเหรอ"
"ที่มานี่เพื่อมาตามพวกเธอให้ไปช่วยเด็กคนหนึ่งเขาถูกไม้ทับติดอยู่ใต้ทราย" เด็กชายชาวเลบอก
"มีเด็กถูกไม้ทับติดอยู่ใต้ทราย!"
เมื่อฮาวาตีแปลภาษาให้เพื่อน ๆ ฟังทุกคนต่างหยุดงานเก็บกวาดโรงเรียนไว้ชั่วคราวเพราะงานช่วยเพื่อนสำคัญเร่งด่วนกว่า
ดังนั้นพวกเด็ก ๆ ก็ยกทีมกันไป พบว่าเด็กคนที่ว่าถูกไม้ทับฝังใต้ทรายลึกประมาณเมตรเศษ ๆ พวกเขาช่วยกันขุดออกมาจากทราย เขาเป็นเด็กฝรั่งมีดวงตาสีฟ้า พวกเขาต่างสงสัยกันว่ามันคือสีไหนกันแน่ระหว่างฟ้ากับสีน้ำข้าว แล้วฝรั่งตาสีน้ำข้าวมันเป็นยังไง?
"เธอชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหนล่ะ" ศรีเมืองถาม เด็กฝรั่งผมทองส่ายหัว คนถามรู้แล้วว่าต้องสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งคนถามไม่ใส่ใจอยู่แล้วว่าที่พูดออกไปเด็กฝรั่งผมทองจะฟังรู้เรื่องหรือไม่
"ฉันตั้งชื่อให้เขาเองว่าเจ้าชายผมทองเพราะเขาหล่อมาก แต่คงพูดกับพวกเราหลาย ๆ คนไม่รู้เรื่องหรอก" ลีลาวดีกล่าว เธอชายตาทำเจ้าชู้นิด ๆ "เดี๋ยวฉันลองสัมภาษณ์ดูว่าเป็นคนชาติไหน"
"อีนางนี่" ศรีเมืองรู้สึกหมั่นไส้ "ฝรั่งที่ไหนดูผิวเผินก็หล่อทั้งนั้นแหละแต่อย่าอยู่ใกล้ก็แล้วกัน"
"เธอนี่ขี้อิจฉา..." ลีลาวดีค้อน
"ฉันไม่อิจฉาหรอก ฝรั่งหรือจะสู้คนไทยได้" ศรีเมืองไม่ยอม
"แน่ละสิ ก็เธอเป็นมวยไทยละสิ จะแตะก้านคอเขาใช่ไหมล่ะ...อยู่ใกล้แล้วทำไม"
"ก็เหม็นสาบนะสิ."
ลีลาวดีไม่สนใจเธอรีบวิ่งเข้าไปใกล้ แล้วพูดภาษาฝรั่งซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า "นี่พ่อรูปหล่อ เจ้าชายผมทองของฉัน โรงเรียนซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ฉันจะชวนเธอเรียนที่นี่ด้วยกัน"
ทุกคนแปลกใจเพราะไม่เชื่อว่าลีลาวดีจะพูดฝรั่งได้ แท้จริงแล้วเธอมีพ่อเป็นฝรั่ง เมื่อพ่อกับแม่แยกทางกัน แม่กลับเมืองไทยทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการนวดฝ่าเท้าฝรั่งตามชายหาด เธอเองเลือกอยู่กับแม่เพื่อเรียนหนังสือไทย
"ฉันอยู่ที่นี่ได้ไม่นานหรอกเพราะคิดถึงบ้าน"
เมื่อทุกคนได้ยินคำว่าคิดถึงบ้าน สีหน้าของพวกเขาเศร้า
"เมืองไทยคงไม่สนุกสินะเธอถึงอยากกลับบ้าน"
"ไม่ใช่ ที่เมืองไทยนี่สวยงามมาก ผู้ชายก็หล่อผู้หญิงก็สวยทุกคนที่นี่มีน้ำใจ แต่อีกไม่กี่วันโรงเรียนที่โน่นก็จะเปิดเทอมแล้ว "
ลีลาวดียิ้มชื่นใจต่อคำชม " ฉันไม่อยากให้เธอกลับนะ เรียนหนังสือกับพวกเราที่นี่เถอะ"
"โรงเรียนเมืองไทยเขาไม่รับเด็กฝรั่งอย่างเราหรอก"
เด็กชายชาวเลฟังอยู่ได้ยินคำว่ากลับบ้าน เขาจึงนึกขึ้นได้ว่าที่บ้านเกาะของเขายังมีน้องสาวรออยู่จึงเอ่ยลากับเด็ก ๆ "เราขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนเมื่อหมดธุระแล้วเราก็ถือโอกาสลากลับแล้วละ"
"อะไรกัน เธอเป็นชาวเลเมืองไทยไม่ใช่รึ กลับไปไหนล่ะ"
เด็กชายชาวเลจะบอกว่าบ้านของเขาก็คือเกาะแต่สื่อคำว่าเกาะไม่ถูกเลยวาดรูปกลม ๆ เหมือนผลแตงกวาอธิบายกันตั้งนานจึงรู้ว่าบ้านของเขาก็คืออยู่บนเกาะที่ใดสักแห่งในทะเล
ศรีเมืองพยายามหาวิธีแก้ปัญหาไม่ให้สองคนกลับบ้าน "นี่นังลีลาวดี บอกเจ้าชายของเธอ ส่วนฮาวาตีบอกบอกเด็กชายชาวเลของเธอ"
"บอกว่าไงคะ"
"บอกว่า พวกเราจะไปขอคุณครูให้เขาทั้งสองคนได้เข้าเรียนที่นี่"
"ทำไมต้องเรียนหนังสือด้วยล่ะ" เด็กชายชาวเลถาม
เจอคำถามเช่นนี้ต้องอึ้งไปเหมือนกัน.ทำไมต้องเรียนหนังสือ.เธอหันไปหาเพื่อน ๆ
"เอ้า!เธอไม่เรียนหนังสือดอกหรือ" เธอย้อน
"เรียนหนังสือให้มีความรู้โตเป็นผู้ใหญ่จะได้มีงานทำ มีเงินเดือน เมื่อมีเงินแล้วเราอยากได้อะไรก็ซื้อได้ทั้งนั้น"
"อะไรกัน!" เด็กชายชาวเลอุทาน "เราไม่ค่อยเข้าใจคำพูดที่เธอพูด พวกเธอช่วยอธิบายหน่อยสิ"
"ก็แปลว่า แปลว่าอะไรน่า..." นิ่งคิด แล้วก็คิดได้ " คือเด็ก ๆ อย่างพวกเราเริ่มต้นเรียนหนังสือตั้งแต่อาคารเรียนชั้นแรก ๆ ต้องอยู่ห้องมุมสุดตรงนู้น พอปีต่อไปเราแข็งแรงขึ้นมาหน่อยก็ย้ายไปเรียนอีกอาคารสองชั้น...จนกระทั่งชั้นที่สุงที่สุด และต้องเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดด้วย" เขาชี้ให้ดูยอดมะพร้าวไกลออกไป
เด็ก ๆ หัวเราะขึ้นพร้อมกัน ศรีเมืองตัวโตกว่าเพื่อน มีความคิดอ่านมากกว่าเพื่อนพูดว่า"เขาต้องเรียกว่าเรียนชั้นประถม..."
"เออ...ใช่ ๆ"
ศรีเมืองพูดต่อ "ต้องบอกว่าจบประถมก็ต่อมัธยม จบมัธยมก็ต่อ.สูงขึ้น ๆ .จบออกมาแล้วหางานดี ๆ ทำ เหมือนครูของเราไงล่ะ การเรียนหนังสือเป็นทางที่พวกผู้ใหญ่ปูให้เด็กเดิน...เดินไปสู่จุดหมายปลายทาง"
"ใช่ ๆ อะไรกันเด็กชาวเล เธอไม่รู้เลย แล้วพ่อแม่เธอไม่ให้เธอเรียนหนังสือเลยหรือ"
"ไม่ พ่อแม่เราไม่พูดถึงเรื่องเรียนหนังสือหรอก วัน ๆ ดำน้ำหาปลาได้ปลามากินเหลือจากกินเรานำไปแลกข้าวสารมาหุงกิน สมบัติของเรามีมากมายก่ายกอง ทั้งชีวิตเราก็กินไม่หมด"
"อะไรล่ะที่เป็นสมบัติของเธอละ"
"ทะเลทั้งหมดไง มันกว้างใหญ่ไพศาลมาก"
ว่าแล้วเด็กชายชาวเลก็วิ่งไปยังชายหาด ก้าวเท้าลงทะเล น้ำทะเลลึกไม่น่ากลัวสำหรับเขาเลย เพียงชั่วขณะร่างเขาก็หายไปจากสายตาของทุกคน ครู่เดียวเท่านั้น ภาพอันน่าทึ่งก็ปรากฏแก่สายตาอีกครั้ง เขาโผล่ขึ้นจากน้ำพร้อมด้วยกุ้งมังกรกับปลากระเบนขนาดเขื่องในมือข้างละตัว
โรงเรียนซ่อมเสร็จ พวกเด็กยืนคอยครูอยู่หน้าประตูโรงเรียน รอให้ลีลาวดียื่นรายชื่อให้ครูใหญ่ ขณะรอเจ้าชายผมทองก็นำขบวนเด็กต่างชาติมาสมทบแล้วยื่นรายชื่อจำนวนเด็กฝรั่งทั้งหมดที่ประสงค์สมัครเรียนที่นี่ให้แก่ลีลาวดีฝากให้ครูใหญ่พิจารณา
ครูใหญ่ชื่อครูปรีชาส่วนครูน้อยเป็นครูผู้หญิงชื่อยุวดี รับกระดาษรายชื่อจำนวนเด็กมา "พวกเราไม่น่ามากันมากแบบนี้นะ" ครูใหญ่กล่าว
ลีลาวดีพูดขึ้นว่า "เด็กฝรั่งมากไปใช่ไหมค่ะ จะได้บอกให้พวกเขากลับไปเรียนที่เมืองเขา"
สีหน้าพวกเด็ก ๆ ไม่ดีเลย ลีลาวดีตีสีหน้าวิงวอนดั่งว่าหากเจ้าชายผมทองของเธอไม่ได้เรียนเธอก็ต้องพลาดหวังในรักแรกพบทำนองนั้น
"ครูคะ" ลีลาวดีกล่าว แต่สีหน้าครูใหญ่ยังไม่ดีขึ้น "พวกเรานั่งเรียนเบียด ๆ กันก็ได้นี่ค่ะ"
"ผมอาสายืนเรียน ให้พวกฝรั่งได้นั่งก็ได้" จินเฮงพูดเสียงดังแสดงสปิริต
"ครูใหญ่คะ" ครูน้อยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เรียกเบา ๆ "ฉันจะรับพวกเขาทั้งหมดเอง"
"ก็ผมต้องการพูดแบบนี้แล้วนี่นา เธอมาแย่งพูดเสียก่อน" ครูใหญ่แก้ตัว
ความประสงค์ของแกคงให้เด็ก ๆ รู้ว่าตอนนี้ตัวแกเลื่อนตำแหน่งเป็นครูใหญ่แล้วซึ่งผิดกับเมื่อก่อนตอนคลื่นยังไม่ถล่มเพราะตอนนั้นแกยังเป็นครูธรรมดา ๆ อยู่เท่านั้นเอง
"พวก-พวก-เรา-เรา-จะ-จะ-เป็น-เป็น-นัก-นัก-เรียน-เรียน-ที่-ที่-ดี-ดี-ครับ-ครับ-ครู-ครู" อร่ามติดอ่างทีละคำพูดประกาศรับรองเสียงดังเช่นกัน
"เอาละ ๆ ถ้างั้นตามครูมา"ครูใหญ่บอก "แต่ครูว่าห้องเรียนของเราไม่พอนะ"
เด็กชายเหมร้องขึ้นด้านหลัง "เด็กชาวเลล่ะ...โน้นไง เขาอยู่ทางโน้น"
ทุกคนหันไปมองเด็กชาวเลซึ่งตอนนี้เขายืนอยู่หน้าซุ้มประตูโรงเรียน เมื่อเห็นว่าทุกคนหันมาสนใจตัวเองดังนั้นเขาจึงโบกมือลา-บ๊าย-บ๊าย-แล้วแขวนปลากระเบนกับกุ้งมังกรไว้กับรั้ว "เอาปลานี่ไว้เป็นอาหารเที่ยงของพวกเธอ"
"อะไรกันไม่ได้มาสมัครเรียนหนังสือหรือ...เธอไปแล้วหรือ"
"อื่อ ๆ ไง ที่มานี่ไม่ได้มาสมัครเรียนหนังสือดอกแค่เอาปลามาฝากพวกเธอเท่านั้นเอง "
"เดี๋ยวก่อน ขอร้องเถอะ มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ.เธอน่าจะเรียนหนังสือ ทำไมไม่มาคุยกับคุณครูของเราก่อนล่ะ"
"ไม่ล่ะ"
ครูน้อยตามออกไปที่ซุ้มประตูบอกกับเด็กชายชาวเลว่า "โรงเรียนของเรารับเด็ก ๆ ทุกคนไม่ว่าชาติไหน รวมทั้งชาวเลด้วย เธอจะได้มีความรู้ไงล่ะ"
"ใช่จ๊ะ" ฮาวาตีเสริม
"คนเราอยู่ในวัยเรียนไม่นานหรอก อดทนเล่าเรียนแค่ไม่กี่ปีโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่จะได้มีงานทำ"
"ผมไม่อยากทำงานแล้วก็ไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่ด้วย"
"เอ้า เธอไม่โตเป็นผู้ใหญ่เหรอ" ฮาวาตีไม่เข้าใจความหมาย
"ใช่.เพราะโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ช้าจะแก่ตายเหมือนพ่อแม่เราไง"
"เรียนหนังสือหรือไม่เรียนเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แก่ตายเหมือนกันนั่นแหละ"
"ไม่ ฉันไม่เคยโตเป็นผู้ใหญ่ ยืนยันตรงนี้ว่าฉันไม่ต้องการเรียนหนังสือด้วย"
ขืนพูดไปยิ่งพูดไม่รู้เรื่อง ฮาวาตีเลยตัดบท "ไม่เรียนแล้วเธอจะไปอยู่ไหนล่ะ"
"เราจะไปอยู่ที่เกาะนะสิ หิวเราก็ดำน้ำลงไปจับปลามากินไม่เห็นจะต้องทำงานดี ๆ เลย"
"เด็กชาวเลเอ๋ย ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง เลิกเรียนเราจะไปอยู่บนเกาะเล่นด้วยกัน"
ครูน้อยใช้ให้ฮาวาตีถามเรื่องราวของครอบครัวของเขาเผื่อมีปัญหาจะได้ช่วยเหลือเจือจาน
"ฉันอยู่เกาะเล็ก ๆ ลำพังเพียงสองคน" เด็กชายชาวเลบอก
ว่าเขาสองคนกำลังคอยพ่อกับแม่มานานแล้ว
"เธอว่าอะไรนะ อยู่บนเกาะกันแค่สองคนเองหรือ.แล้วพ่อกับแม่ของเธออยู่ที่ไหนล่ะ" ฮาวาตีสงสัย
"เราสองคนคอยเรือปาจั๊กที่มีพ่อกับแม่มาด้วย วันแล้ววันเล่าคอยนานจนบัดนี้ยังไม่เห็นเรือผ่านมาทางนี้เลย."
"ทำไมต้องพูดคำว่าคอยนานด้วยล่ะ"
"เรื่องราวมันยาวนะ ถ้าฉันจะเล่าให้ฟังเธอจะฟังไหม?"
"เด็กชายชาวเลเธอจงเล่ามาเถอะ เผื่อพวกเรามีหนทางช่วยเธอได้" ครูใหญ่กล่าว
"บรรพบุรุษของเราเคยอาศัยอยู่เชิงเขา 'ฆูนุงฌึรัย' วันหนึ่งท่านนะบีนุฮ์ลงมาบอกผู้คนให้นับถือพระเจ้าแต่ถูกปฏิเสธ ท่านจึงสาปแช่งและไล่พวกที่ปฏิเสธทั้งหมด บางพวกหนีเข้าป่ากลายเป็นลิงค่าง บางพวกหนีลงทะเลกลายเป็น 'อูรังลาโว๊ด'อาศัยเรือจูโก๊ะล่องลอยเหมือนคนพลัดถิ่นหากินกับทะเลพักค้างแรมตามชายฝั่ง ตามเกาะต่าง ๆ นั่นแหละคือบรรพบุรุษของฉันล่ะ ทุกปีในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ชาวอูรังลาโว๊ดของฉันช่วยกันต่อเรือปาจั๊ก เพื่อส่งวิญญาณคนที่ตื่นไปแล้วให้ได้กลับไปยังฆูนุงฌึรัยดินแดนศักดิ์สทธิ์ของเรา"
"อะไรกัน คนที่ตื่นไปแล้วของเธอ" ฮาวาตีไม่เข้าใจ
"ก็ฉันนี่แหละตื่นแล้ว เหมือนเธอนั่นแหละ"
"แล้วคนที่หลับล่ะคือใคร?" ฮาวาตียังข้องใจ
"พ่อแม่ของพวกฉันไง พวกท่านกำลังหลับอยู่ในความฝัน ทุกวันท่านตกอยู่ในฝันอันเศร้าสร้อยที่ฉันกับน้องสาวก้าวออกจากฝัน.ตื่นไปจากท่าน"
"นี่คือการตายจากกันใช่ไหมล่ะ" ลีลาวดีสีหน้าจะร้อง
"อีนางนี่!.ก็ตายนะซี่" ศรีเมืองนึกรำคาญจึงแซว
"ไม่.ไม่ตาย แต่เราตื่น.ตื่นมาอยู่ที่นี่ไงล่ะ" เด็กชายชาวเลยังยืนยันคำเดิม
"ตอนนี้พ่อแม่ของเธอล่ะ นอกจากตกอยู่ในความฝันเศร้าสร้อยแล้ว ท่านฝันอย่างอื่นบ้างไหมล่ะ" ครูน้อยสนใจเรื่องราวอย่างใจจดใจจ่อเอ่ยถาม
"ท่านคงตกอยู่ในความฝันบนโลกใบเดิม.อาศัยแผ่นดินเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้หลักฐานที่ดินเป็นของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่มานมนาน แล้วคนที่ไม่รู้เป็นใครมาจากไหน ไม่เคยอยู่บนแผ่นดินบนเกาะมาก่อนนี่สิ พวกเขากลับได้สิทธิ์ครอบครองแผ่นดิน แย่งชิงมรดกของพ่อแม่พี่น้องเรา เขากำลังจะไล่ที่เพื่อสร้างรีสอร์ท ท่านกำลังตกอยู่ในห้วงฝันผวาว่าสักวันจะไม่มีที่ซุกหัวนอน โลกใบเดิมของท่านช่างเศร้าสร้อยจริง ๆ"
"ท่านไม่เศร้าที่เธอตื่นมาดอกหรือ" ครูน้อยถาม
"ตอนที่เราสองคนตื่น ท่านส่งเรามากับเรือปาจั๊กในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยความเชื่อที่ว่าส่งวิญญาณเรากลับไปยังฆูนุงฌึรัยดินแดนแห่งบรรพบุรุษไง ท่านทั้งสองรอคอยเพื่อตื่นไปพบกันที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเราจะได้พบกันอีกหรือไม่ก็ไม่รู้" เด็กชายชาวเลตาแดงจะร้องไห้
"เอ้า.เธอร้องทำไมหรือ" ครูน้อยกล่าว
"ตอนนี้เราสองคนยังไปไม่ถึงฆูนุงฌึรัยดังที่ท่านประสงค์"
"เอ้า ทำไมเธอไม่ไปล่ะ บางทีพ่อแม่ของเธอตื่นแล้วและกำลังคอยอยู่ที่นั่นก็ได้น๊ะ"
"ที่เราอยู่ที่นี่เพื่อรอพ่อแม่ตื่น แต่โลกใบเดิมของท่านกำลังถูกคุกคาม ถึงขนาดต้องสูญสิ้นชาติพันธุ์เลยทีเดียวนับตั้งแต่ความเจริญเข้ามาพร้อมกับนายทุนบุกรุกที่ บางทีท่านอาจไปเป็นคนงานหรือเป็นยามเฝ้ารีสอร์ทแล้วก็ได้หรืออาจไปเป็นชาวสวนหักร้างถางพงในนิคมใดนิคมหนึ่งที่รัฐจัดสรรสักแห่ง ตอนนั้นท่านทั้งสองอาจกำลังฝันว่าท่านได้กลายเป็นลิงค่างตามคำสาปแช่งของท่านนะบีนุฮ์ไปแล้วก็ได้ เราสองคนคอยท่านอยู่ที่เกาะเล็ก ๆ ที่นี่นานแล้ว วันแล้ววันเล่าที่เรารอคอย คอยว่าสักวันจะมีเรือปาจั๊กที่พาพ่อกับแม่มา คอยด้วยความหวังว่าชาติพันธ์ของเราคนสุดท้ายส่งท่านมากับเรือปาจั๊ก แล้วเราทั้งสี่ก็จะกลับไปยังฆูนุงฌึรัยพร้อมกัน"
การพูดคุยระหว่างเด็กไทยกับเด็กชาวเล ลีลาวดีแปลเป็นภาษาฝรั่งทำให้เด็กชายผมทองงง ๆ ต่อคำว่าตื่นไม่ตื่น.โลกใบเดิม เขาทำไม้ทำมือบอกใบ้ว่าฟังความหมายแล้วไม่เข้าใจ
"ฉันเอาใจช่วยขอให้ชาติพันธุ์คนสุดท้ายของเธอคงเหลืออยู่เพื่อเธอจะได้พบพ่อแม่เธอสมดังหวัง.แต่ตอนนี้เธอต้องเหงามากนะ" ฮาวาตีว่า
"เหงานะสิ งั้นเธอไม่ต้องเรียนหนังสือมาอยู่ด้วยกันกับเราดีกว่า" เด็กชายชาวเลชวน
"ครูคะ หนูจะไปอยู่เป็นเพื่อนเด็กชาวเล ไม่ต้องเรียนหนังสือได้ไหมคะครู" ฮาวาตีหันไปขอความเห็นจากครูใหญ่
"ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด หากครูยอมให้เธอสักคน แล้วพวกเธอที่เหลือมาขออีกจนหมดแล้วเราซ่อมโรงเรียนทำไม โรงเรียนก็ต้องปิดทำโรงเพาะชำเห็ดละสิ.... โรงเรียนเราเพิ่งจะเปิดวันแรกด้วย"
"งั้นเอางี้ก็แล้วกัน ทุก ๆ ตอนเย็นหลังเลิกเรียนพวกเราจะไปเล่นที่เกาะของเธอ" ฮาวาตีตะโกนบอก
บางค่ำคืนอาจ ได้ยินเสียงพูดผ่านลำโพงโรงเรียน เรียกเด็กเข้าแถวหน้าเสาธง เสียงร้องเพลงชาติไทย
.ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.