บทความ
ลวกเส้นเป็นกวี ๐๒.
ความรู้สึกผิด
งานการแต่ละวันแต่ละวันทำไมมันเหน็ดเหนื่อยได้ขนาดนี้หนอ ให้นึกอิจฉาเพื่อนๆหลายต่อหลายคนที่ชีวิตสุขสบาย ไม่ต้องทำงานทำการอะไรก็มีกินมีใช้ไม่รู้หมด แอบฝันเล็กๆว่าหากผมอยู่ในตระกูลร่ำรวยไม่รู้เบื่ออย่างนี้ ผมจะมีพฤติกรรมอย่างไรบ้าง ถ้าไม่หัวหกก้นขวิดก็คงดำเนินธุรกิจใหญ่โตอะไรสักอย่างแหงๆ แต่การไม่ต้องทำงานทำการอะไรเลยนี่มันไม่น่าจะดีสักเท่าไหร่ อย่างน้อยคุณค่าของชีวิตก็ลดทอนลงไปอย่างน่าเสียดายในวันเวลา อยากมีก็ต้องหาเองต้องลงมือทำ เหน็ดเหนื่อยบ้างก็ธรรมดาละน่า เพียงชีวิตมีความสุขดีก็พอ จิตใจดีเราก็มีแรงทำงาน
วันก่อนอ่านข่าวต่างประเทศในกรอบเล็กๆของเดลินิวส์ เป็นเรื่องราวของซานต้าปริศนาที่หอบหิ้วถุงเงินแจกจ่ายผู้ขัดสนยากไร้ทั่วอเมริกา เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ครั้งหนึ่งเคยอดอยากขัดสนไร้แม้ที่อยู่ที่กิน วันนั้นเขาสั่งอาหารที่ร้านแห่งหนึ่ง ทั้งที่รู้ตัวดีว่าไม่มีเงินอยู่เลย เมื่อเช็คบิลเขาก็บอกกับเจ้าของร้านว่าได้ทำเงินหล่นหาย เจ้าของร้านยืนนิ่งก่อนเดินไปที่เคาท์เตอร์ เปิดลิ้นชักแล้วก้มเก็บอะไรสักอย่างที่พื้น เดินกลับมาหาเขาพร้อมยื่นเงิน ๒๐ ดอลลาร์ให้
"คุณคงทำมันหล่นที่ตรงนั้น" เจ้าของร้านพูด
ยิ่งกว่าเทพนิยาย เหมือนละครช่อง ๗ ราวกับนิทานก่อนนอนที่แม่เล่าให้ลูกน้อยฟัง เหมือนเรื่องเล่าปากต่อปากของนักอุดมคติ ผมอ่านข่าวนี้ด้วยความตื้นตันน้ำตาแทบไหลร่วง เป็นข่าวในกรอบเล็กๆไม่กี่บรรทัด ที่ผมต้องใช้เวลาอ่านนานยิ่ง อย่างต้องการให้มันแน่ชัดว่าไม่ได้อ่านผิดไป และใช้เวลาอีกนานในการขบคิดแล้วพบว่าเราช่างโชคร้าย ที่อยู่ในยุคสมัยแห่งความหวาดระแวงกันและกัน ข่าวบอกต่อว่าต่อมาเขาประกอบธุรกิจโทรคมนาคมจนร่ำรวยมหาศาล และได้ปฏิญาณตนในปี ๒๕๑๔ ว่าจะช่วยเหลือผู้ยากไร้ ซานต้าปริศนาจึงได้ปรากฏตัวทั่วอเมริกาตามสถานที่ยากจนข้นแค้น ไม่มีใครรู้ว่าซานต้าผู้นี้เป็นใคร แต่มันเป็นเสมือนหยดน้ำเล็กๆที่หยาดดวงร่วงมากลางผืนทะเลทรายแห้งแล้ง ซานต้าเป็นความหวังสุดท้ายที่ชาวอเมริกันปรารถนาจักได้พบเห็น เขากลายเป็นตำนานที่ยังมีชีวิต จากเด็กชายยากจนในมลรัฐมิสซิสซิปปี้ ดิ้นรนหางานพยุงชีวิตจนโต วันที่ท้องกิ่วแห้งที่สุด วันนั้นเขาได้รับเมตตาเอื้อเฟื้อจากเพื่อนมนุษย์ และอาหารหนึ่งมื้อพร้อมเงิน ๒๐ ดอลลาร์นั้น เขาคิดถึงซานต้าผู้ใจดีขึ้นมา
อะไรกันนี่ ? มันยังมีอีกหรือ ? นั่นที่อเมริกาหรือ ? ผมเริ่มแปลกใจตัวเองที่แปลกใจในสิ่งที่ไม่ควรแปลกใจเช่นนี้ ทั้งที่การเมตตาต่อกันและกันเราได้รับอบรมมาอย่างยาวนานทั้งจากศาสนาและวิถีชีวิต และจริงๆแล้วมันควรเป็นเรื่องที่ไม่ต้องอบรมสั่งสอนเสียด้วยซ้ำ
ผมนั่งกินข้าวมื้อค่ำที่ร้านข้าวต้มแห่งหนึ่ง ผมชอบกินข้าวไปด้วยและอ่านหนังสือไปด้วย มันเป็นช่วงเวลาส่วนตัวที่มีความสุขที่สุดของวัน อยู่ๆก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาแล้วยกมือไหว้ โดยอัตโนมัติผมรีบโบกมือปฏิเสธทันที โต๊ะที่ผมนั่งมันอยู่ริมฟุตบาธ มักจะมีคนเร่ร่อนขอทานวณิพกกระทั่งคนเลี้ยงช้างเข้ามารบกวนเวลาอาหารเสมอ ผมเหลือบดูชายคนนั้น เขาแต่งกายสุภาพแต่เก่า รอยยิ้มแห้งๆเกรงใจๆทำให้เขาดูขัดเขินแปลกหน้ากับเมือง ผัดเผ็ดกบกำลังจะเข้าปากผมอยู่แล้วเชียว เขาก็ถามขึ้นมาว่า
"เซี่ยงตึ๊งไปทางไหนครับ ?"
ผมชี้นิ้วไปเบื้องหน้าตามทิศเซี่ยงตึ๊ง แล้วเคี้ยวผัดเผ็ดกบอย่างตั้งใจ รสชาติวันนั้นมันกำลังดี ไม่เผ็ดมากจนซี้ดปาก และข่าวที่อ่านก็ทำให้รสชาติข้าวมื้อนั้นอร่อยยิ่งขึ้น เขาชี้นิ้วไปอีกทางแล้วถามว่า
"ทางนั้นหรือครับ ?" ผมพยักหน้ารับไปส่งเดช
ผมไม่ชอบให้เวลามื้อค่ำของผมถูกรบกวนไม่ว่าด้วยสาเหตุใดใดทั้งสิ้น งานการแต่ละวันมันหนักมันเหนื่อยพออยู่แล้ว ผมขอเวลาสักช่วงของวันสำหรับการจมอยู่กับความสุขในพื้นที่ส่วนตัวได้ไหม ? เบียร์เย็นๆลอยฟองอยู่ปริ่มแก้ว น้ำแกงไก่ต้มขมิ้นที่ลอยควันกรุ่นๆหอมเตะจมูก การปรากฏตัวของเขาทำให้ผมฉุนพอควร และเขาคงจะรับรู้ได้จึงยกมือไหว้ขอบคุณแล้วเดินไปตามทางทิศเซี่ยงตึ๊งของเขา ที่เป็นคนละทิศกับเซี่ยงตึ๊ยงของผม
วูบนั้น- ผมรู้สึกว่าข้าวที่กำลังเคี้ยวเหมือนเป็นกรวดทราย มันเป็นเรื่องแย่ที่ผมพบว่าตัวเองเลวร้ายในมื้อค่ำวันนั้น ไม่มีอันใดบ่งบอกเลยว่าเขาเป็นขอทาน เขาอาจหลงทางจริงๆ ดูเสื้อเก่าๆแต่สะอาดของเขาสิ ดูรอยยิ้มแห้งๆเกรงใจๆของเขาสิ ดูมือที่พนมสวัสดีทั้งไปและกลับของเขาสิ โอ- นี่ผมกำลังทำอะไรลงไป ? เถอะ- ต่อให้เขาเป็นขอทานร่อนแร่ ผมก็ไม่ควรแสดงพฤติกรรมเยี่ยงนั้น ผมไม่มีสิทธิใดใดในการชี้นิ้วพยักหน้าส่งเดชหรือโบกมือไล่ เขาอาจกำลังหิว และคิดว่าเซี่ยงตึ๊งน่าจะมีอาหารให้เขาสักมื้อ เขาอาจอ่อนล้าเหนื่อยเพลีย และคิดว่าเซี่ยงตึ๊งน่าจะมีที่ซุกนอน ผมนั่งมองร่างของเขาลับหายไปในถนนมืดของซอยนั้น ความรู้สึกผิดมันก่อขึ้นมาจุกแน่นตรงลำคอ ละอายใจอย่างบอกไม่ถูก ผมผลักจานข้าวออกห่าง แล้วคว้าแก้วเบียร์มาคลึงคิด มันเป็นการตอกย้ำความเชื่อหนึ่งของผม มนุษย์เมื่อยามกินอย่างมีความสุขนั้น เขาจะลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สนใจอันใดอีกแล้วในโลกใบนี้ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ที่ภารกิจติดตัวมี ๒ ประการ กินกับสืบพันธุ์ ! และภารกิจติดตัวนี่แหละที่มักจะฉายสัญชาตญาณดิบออกมาแทบจะทุกครั้งที่เราจ่อมจมกับมัน สรรพสัตว์ต่างหวงแหนอาหารและกราดเกรี้ยวเมื่อถูกขัดยามผสมพันธุ์ทั้งสิ้น เพียงแต่มนุษย์มีพัฒนาการขั้นสูงเพียงพอที่จะรู้จักระงับยับยั้งและเผื่อแผ่เกื้อหนุนกันและกัน ผมตกใจ- มื้อค่ำวันนั้นผมฉายพฤติกรรมดิบไม่ต่างจากสัตว์ป่าเถื่อนเลย !
ยิ่งตกใจก็ยิ่งคิดถึงคำของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล จากหนังสือเล่มหนึ่ง อาจารย์กำลังนั่งทานก๋วยเตี๋ยวเรือกับเพื่อนอาจารย์อีกคน แล้วมีเด็กหญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งมาขายกระดาษทิชชูในราคาแพงกว่าปกติ เพื่อนอาจารย์ปฏิเสธในขณะที่อาจารย์เสกสรรควักเงินซื้อ สร้างความงุนงงสงสัยแก่เพื่อนอาจารย์เสกอย่างยิ่ง คำอธิบายต่อการตัดสินใจ "ยอมเสียเปรียบ" ครั้งนี้จำได้คร่าวๆว่า ราคากระดาษทิชชูกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายนั้นเราไม่ได้เดือดร้อนอันใดเลย แต่เด็กผู้หญิงคนนั้นเขาอาจเดือดร้อนในจำนวนเงินนั้นหรือมากกว่า มันเป็นการอธิบายในความหมายของคำว่าการเผื่อแผ่ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมา ใช่- เงินจำนวนที่เราพอจะหยิบยื่นให้ใครได้โดยไม่เดือดร้อนตัว มันอาจเป็นเงินจำนวนมากพอที่เขาจะสะสมรวมกันเป็นสิ่งของอะไรสักอย่างที่ชีวิตจำเป็น ผมคิดย้อนไปว่าหากเขานำเงินที่เราให้ไปใช้ในการไม่ควรเล่า? แต่จะมีประโยชน์อันใดกับการตั้งคำถามเช่นนั้น เราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าเขานำเงินที่เราให้ไปใช้อะไรเมื่อเขาเดินจากไป การให้มันควรจะให้โดยบริสุทธิ์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเจตนาดีและหวังดี เราเจตนาให้เขานำเงินไปซื้อข้าวกินสักมื้อ หวังว่าเขาคงจะใช้เงินที่เราให้ไปซื้อข้าวกินตามเจตนาเรา ที่เหลือหลังจากนี้- เป็นเรื่องของการตัดสินใจของเขา เราไม่เกี่ยวข้องอันใดอีกแล้ว มันเป็นการช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆให้เพื่อนมนุษย์ เป็นการหยิบยื่นสิ่งที่เรามีให้คนที่ขาด คำถามหลังการให้มันจึงไม่ควรเกิดขึ้นว่าเขาจะเอาไปทำอะไร มันไม่ได้ทำให้เราดูโง่แต่อย่างใดเลย
เราต่างล้วนเหนื่อยล้ากับการงาน เราล้วนโรยราเรี่ยวแรงไปกับเข็มนาฬิกาที่ไม่รู้เหนื่อย ผมไถ่บาปตนเองด้วยการขอโทษชายคนนั้นอยู่ในใจ ผมไม่อยากรู้สึกหนักเหนื่อยในช่วงมื้อค่ำที่แสนวิเศษของวัน ผมควรกินข้าวมื้อนี้อย่างผ่อนคลายและมีความสุข ในระหว่างของคำว่า "ราคา" กับ "จำนวนเงิน" มันต่างกันนัก คนคนหนึ่งไม่ว่าเขาจะมีชีวิตเช่นไร ราคาของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าผมหรือใครๆเลย ผมซดเบียร์แก้วสุดท้ายรวดเดียว แล้วจ่ายค่าอาหารตามจำนวนเงิน
๓๐ พิจิก ๒๕๔๙