บทความ

การกอบกู้อัตลักษณ์ชนบทใต้ในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้

by Pookun @February,26 2007 22.34 ( IP : 222...14 ) | Tags : บทความ

การกอบกู้อัตลักษณ์ชนบทใต้ในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้ วิมลมาศ ปฤชากุล*

บทคัดย่อ บทความเรื่อง “การกอบกู้อัตลักษณ์ชนบทใต้ในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้” มุ่งค้นหาว่าในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในนามของการพัฒนาซึ่งทำให้ท้องถิ่นภาคใต้ตอนกลาง คือจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา สูญเสียความมั่นใจ  เพราะอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่เคยทำให้ชุมชนยืนอยู่ได้ด้วยตัวเองเปลี่ยนไปนั้น นักเขียนท้องถิ่นซึ่งถือเป็นปัญญาชนที่มองเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ชัดเจน ได้นำเสนอภาพแห่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในด้านการศึกษา เศรษฐกิจ และสังคม    เพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ได้เข้ามาทำลาย “รากเหง้า” ดั้งเดิมของชุมชนลงไป  พร้อมกันนั้นพวกเขาก็ได้ใช้เรื่องสั้นเป็นเครื่องมือในการกอบกู้อัตลักษณ์ของท้องถิ่น โดยการรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับอดีตหรือประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาชาวบ้านขึ้นมาใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดสำนึกใน “ความเป็นชนบทใต้” ร่วมกัน

ความนำ
อัตลักษณ์ (Identity) เป็นความรู้สึกนึกคิดที่บุคคลมีต่อตนเองว่า  “ฉันคือใคร” ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการปฏิสังสรรค์ระหว่างตัวเรากับคนอื่น  โดยผ่านการมองตนเอง  และการที่คนอื่นมองเรา    อัตลักษณ์ต้องการความตระหนัก (awareness) ในตัวเราและพื้นฐานของการเลือกบางอย่างนั่นคือเราจะต้องแสดงตนหรือยอมรับอย่างตั้งใจกับอัตลักษณ์ที่เราเลือก  ความสำคัญของการแสดงตนก็คือ  การระบุได้ว่าเรามีอัตลักษณ์เหมือนกับกลุ่มหนึ่งและมีความแตกต่างจากกลุ่มอื่นอย่างไร  และ “ฉันเป็นใคร” (พิศิษฎ์ คุณวโรตม์,2546:306-307)
บทความนี้สนใจศึกษาวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้นภาคใต้ที่แสดงอัตลักษณ์พื้นถิ่นภาคใต้ตอนกลางบริเวณ 3 จังหวัดรอบลุ่มทะเลสาบสงขลา คือนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2522-2545 และเห็นว่าหากจะใช้กระบวนทัศน์แบบหลังอาณานิคม ในการมองวรรณกรรมประเภทนี้ จะเป็นการเปิดเผยแง่มุมใหม่ในการศึกษาวรรณกรรมไทย นอกจากนั้นกระบวนทัศน์นี้ยังก่อให้เกิดความเข้าใจและตระหนักถึงคุณค่าในความหลากหลายทางวัฒนธรรมอีกด้วย

อัตลักษณ์ชนบทใต้และความเปลี่ยนแปลง เมื่อกล่าวถึงอัตลักษณ์ของชนบทใต้ สิ่งที่สังคมไทยรับรู้ก็คือสภาพเศรษฐกิจอยู่ในระดับดี เพราะทรัพยากรในท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์  ผู้คนมีนิสัยนักเลง  ไม่ยอมใคร ยอมหักไม่ยอมงอ ให้ความสนใจเรื่องการเมืองอย่างใกล้ชิด คนในท้องถิ่นเองก็ดูเหมือนตระหนักถึงอัตลักษณ์เหล่านี้อยู่ไม่น้อย ดังที่ผู้ศึกษาพบว่างานวิจัยเกี่ยวกับคตินิยมของคนใต้ของนักวิชาการท้องถิ่นจำนวนมากต่างให้ข้อสรุปตรงกันว่าชาวใต้ภาคภูมิใจและเชื่อว่าอัตลักษณ์เหล่านั้นคือตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา อย่างไรก็ดี เมื่อศึกษาจากผลงานวรรณกรรมของนักเขียนซึ่งเป็นชาวใต้และใช้ชีวิตอยู่ในท้องถิ่นเอง  เสียงสะท้อนประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากผลงานเหล่านี้ก็คือ อัตลักษณ์ของชนบทใต้ได้ถูกทำให้สลายลงแล้วตั้งแต่ทศวรรษที่ 2500 ซึ่งสังคมไทยได้พัฒนาประเทศไปตามแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ หลังจากนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงกับนิยามความหมายของชนบทใต้อยู่ทุกขณะ
จากลักษณะนิสัยของความเป็นนักเลง ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง อัตลักษณ์ดังกล่าวนี้ของคนใต้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วยการใช้อุปนิสัยนี้ปวารณาตัวเองเป็น “เจ้าพ่อ” หรือ “มือปืนรับจ้าง” ความสนใจใคร่รู้เรื่องการเมืองอย่างใกล้ชิด เปลี่ยนแปลงไปเป็นความภักดีต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองในแนวทางของการอนุรักษ์นิยม จนทำให้นักการเมืองภาคใต้กลายเป็นอุปสรรคของการพัฒนาสังคมภาคใต้ไปในที่สุด ผลงานของนักเขียนภาคใต้เหล่านี้ก็สะท้อนให้เห็นว่า แม้แต่อัตลักษณ์ของความเป็นดินแดนที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในเชิงมหภาค ความอุดมสมบูรณ์ของภาคใต้ก็หดหายไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งคนในท้องถิ่นไม่อาจเปลี่ยนแปลงสำนึกได้ทันท่วงทีว่าพวกเขาต้องประสบกับปัญหาความยากจนมาอย่างยาวนานแล้ว ปัจจัยของความเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ดังกล่าวประกอบด้วยอะไรบ้าง ผลงานเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้ได้ฉายภาพไว้หลายประการด้วยกัน คือ การศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่หยิบยื่นมาจากส่วนกลาง ในนามของวาทกรรมการพัฒนา
1.การศึกษา
ในประวัติศาสตร์สังคมภาคใต้ ค่านิยมในการศึกษานั้นแพร่หลายมาอย่างยาวนาน อย่างไรก็ดี ก่อนการเกิดขึ้นของการศึกษาสมัยใหม่ตาม พระราชบัญญัติการประถมศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2464 นั้น การศึกษายังคงสัมพันธ์อยู่กับชุมชนท้องถิ่นอย่างไม่อาจแยกออก เพราะมีช่องทางเดียวเท่านั้น คือการศึกษาทางธรรมในวัด ซึ่งทำหน้าที่ผลิตพระสงฆ์และปัญญาชนออกมารับใช้ชุมชน  แต่ภายหลังการศึกษาสมัยใหม่ลงหลักปักฐานแข็งแรงมากขึ้น อุดมการณ์ผลิตคนเพื่อเข้ารับราชการของการศึกษาแนวนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสำนึกของคนใต้ให้มุ่งสู่การศึกษาเพื่อที่จะรับราชการ ที่สำคัญการศึกษาสมัยใหม่ดึงคนออกจากท้องถิ่น ทำให้พวกเขาค่อยๆ รู้สึกแปลกแยกกับอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตัวเอง ท้องถิ่นจึงกลายเป็นพื้นที่ที่คนใต้รุ่นใหม่พยายามหลีกหนี
สำนึกที่การศึกษาทำให้คนใต้แปลกแยกกับตัวตนดั้งเดิมดังกล่าวนี้ นักเขียนคนหนึ่งเรียกว่า “ความงดงามที่ชั่วร้าย” (บัตรเชิญ:151)  เพราะมันทำให้อุดมการณ์ของผู้คนหลุดออกไปจากความสัมพันธ์กับท้องถิ่น
การครอบงำของอุดมการณ์การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลงสถานภาพตัวเองมุ่งสู่การงานราช การดูเหมือนจะมีอิทธิพลต่อชาวใต้อย่างลึกล้ำ พ่อแม่ถึงกับยินยอมอดอยากทุกข์ยาก ขายวัวขายควายซึ่งเป็นทุนสำหรับอาชีพดั้งเดิมส่งเสียให้ลูกหลานได้รับการศึกษา บ้างก็ยอมกู้หนี้ยืมสิน ยอมจ่ายดอกเบี้ย(คำสารภาพจากห้องแคบ:104) พ่อแม่เหล่านี้ก็เริ่มรู้สึกแปลกแยกกับตัวตนของตัวเองแล้วเช่นกัน จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อลูกหลานของตัวเองจะได้ไม่ต้องทำนาหรือประกอบอาชีพอยู่ในท้องถิ่น
ความเปลี่ยนแปลงในคตินิยมเรื่องการศึกษานี่เองที่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญให้บทบาทของวัดกับชุมชนเริ่มน้อยลงไปด้วย ชุมชนเริ่มแยกวัดออกไป พร้อมกันนั้นวัดก็แยกตัวเองออกไปด้วย กลายเป็นสถานที่ที่ไม่ต่างอะไรกับ “บ้านพระ” พระและเด็กวัดกลายเป็นอาชีพหนึ่ง ผู้ทุกข์ยากซึ่งเคยสามารถใช้วัดเป็นที่พึ่งสุดท้ายจึงไม่อาจเป็นที่พึ่งพิงให้แก่ชาวบ้านได้อีกต่อไป คนเหล่านี้จึงต้องกลายเป็นคนจรจัด ดังในเรื่องสั้น “ถิ่นนี้คือแหลมทอง ต๊ะติ๊งหน่อง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย” ที่ให้ภาพเด็กชายจรจัดริมทางรถไปกลุ่มหนึ่งที่นั่งมองพระฉันอาหารอย่างหิวกระหาย แต่ก็ไม่ได้กินเพราะพระและเด็กวัดเก็บไว้หมดสิ้น (ประมวล มณีโรจน์:55) 2.เศรษฐกิจ นโยบายการพัฒนาที่เน้นไปที่ธุรกิจและอุตสาหกรรมทำให้วิถีการผลิตและความเป็นอยู่ของชาวใต้เปลี่ยนแปลงไป ในเรื่องสั้นที่นำมาศึกษาได้สะท้อนถึงปัญหาเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน และครอบคลุมวิถีการผลิตที่เป็นอัตลักษณ์ของชาวใต้ อันได้แก่ การเพาะปลูก และการทำประมง  ดังเช่น กล่าวถึงทุ่งระโนดที่เคยเป็นผืนนากว้างใหญ่ที่ผลิตข้าวเลี้ยงภาคใต้มาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมดสิ้นศักยภาพ เมื่อมีปัญหาขาดแคลนน้ำเพาะปลูก (รูญ ระโนด, 2540: 25) ทะเลสาบสงขลาที่เคยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าไม่อาจเป็นที่พึ่งของชาวใต้ตอนกลางได้อีกต่อไป
ผลจากความเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรดังกล่าวนี้เอง ทำให้ทรัพยากรในชุมชนไม่สามารถเป็นที่พึ่งของชาวใต้ได้อีกต่อไป ขบวนอพยพออกสู่เมืองใหญ่เช่น กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี จึงเกิดขึ้นเรื่อยมาโดยเฉพาะในทศวรรษที่ 2520-2530 (ถนนนี้กลับบ้าน:106,รถไฟที่ผ่านเลย:116) บ้างก็เปลี่ยนอาชีพจากชาวนาไปเป็นชาวสวน แปลงที่นาไปเป็นที่สวน เช่น สวนเงาะ ทุเรียน มังคุด (คนเลื่อยไม้:61) แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก  เพราะต้องประสบปัญหาในเรื่องราคาอีก


3.เทคโนโลยี ความเปลี่ยนแปลงของอัตลักษณ์ท้องถิ่นใต้เนื่องจากพัฒนาการด้านเทคโนโลยีได้ปรากฏอยู่ในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้จำนวนหนึ่งเช่นกัน โดยนักเขียนทุกคนเห็นว่า เทคโนโลยีซึ่งเป็นรูปธรรมของวาทกรรมความทันสมัยที่เข้ามาพร้อมๆ กับวาทกรรมการพัฒนานั้น เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการสลายอัตลักษณ์ของท้องถิ่นภาคใต้ลงไป เช่น เครื่องรับโทรทัศน์ที่เป็นช่องทางในการปลูกฝังจิตสำนึกของ “ความเป็นอื่น” ให้แก่เด็กๆ ชาวใต้ เปรียบเสมือน “ศาสดาองค์หนึ่ง” ที่บ่อนทำลาย “ความเชื่อดั้งเดิม” หรือตัวตนของคนใต้  ดังในเรื่อง “แม่มดในหุบเขา”(กนกพงศ์ สงสมพันธุ์, 2539) เทคโนโลยีจึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ท้องถิ่นตัดขาดจากอดีต และรับเอาความเป็นอื่นเข้าไปในตัวเอง  ความแพร่หลายของโทรทัศน์ในท้องถิ่นภาคใต้ในทัศนะของนักเขียนจึงเหมือนกับความแพร่ หลายของความเป็นอื่นที่บ่อนทำลายสำนึกจิตวิญญาณภาคใต้ลงไป จะเห็นได้ว่าแม้เพียงปัจจัย 3 ประการนี้เท่านั้น เราก็ได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่เป็นไปในระดับลึกและครอบคลุมทั้งหมดของชนบทใต้ ตั้งแต่จิตสำนึก อุดมการณ์ วิถีเศรษฐกิจ และความเชื่อ อัตลักษณ์ชนบทใต้ถูกวาทกรรมการพัฒนาทำให้เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจะแยกกันไม่ออกกับคนในภาคอื่นๆ ของประเทศ เพราะต่างก็ประสบปัญหา กลายเป็นคนชายขอบของวาทกรรมการพัฒนาไปเหมือนกัน คนชายขอบเหล่านี้ประสบปัญหาความยากจน ไม่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง ไม่มั่นใจ และไม่มีฐานทางทรัพยากรที่พอเพียงสำหรับการยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงด้วยลำแข้งของตัวเองเหมือนในอดีต  ภาคใต้ตอนซึ่งกลางเคยเป็นสังคมเกษตรที่สามารถยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองได้ก็เริ่มเปลี่ยนไป อัตลักษณ์ความเป็นนักเลงหรือคนกล้าได้กล้าเสีย ถูกให้คำนิยามใหม่จากรัฐกลายเป็น “โจรผู้ร้าย” หรือ “อันธพาล” ขณะที่คนใต้เองก็ใช้อัตลักษณ์เหล่านี้สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น มีการเล่นพรรคเล่นพวก สร้างอิทธิพล และก่อปัญหาอาชญากรรม อาชีพใหม่ที่ชายหนุ่มในภาคใต้ตอนกลางจำนวนหนึ่งยึดก็คือ “มือปืนรับจ้าง” ดังที่ปรากฏในเรื่องสั้น “บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน” และ “เกินกว่าที่หลงเหลือ” ของประมวล มณีโรจน์  บ้างก็ก่ออาชญากรรมอย่างไม่มีเหตุผล ดังในเรื่องสั้น “ความตกต่ำ” ของ ไพฑูรย์ ธัญญา ที่กล่าวถึงผู้นำหมู่บ้านที่ใช้อิทธิพลทำร้ายคนอื่น ใช้ปืนข่มขู่ชาวบ้าน และ “บัตรเชิญ” ของอัตถากร บำรุง ที่กล่าวถึงเหตุฆ่ากันตายในวงเหล้าด้วยเหตุเพียงผู้ตายรินเหล้าแล้วกินไม่หมด

กระบวนการการกอบกู้อัตลักษณ์ ในผลงานเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้ที่นำมาศึกษาครั้งนี้นั้นนอกจากพวกเขาจะได้กล่าวถึง อัตลักษณ์และความเปลี่ยนแปลงแล้ว  การกอบกู้หรือการสร้างอัตลักษณ์ก็เป็นอีกท่าทีหนึ่งที่ตัวบทเรื่องสั้นได้ส่งสารออกมา
การกอบกู้หรือการสร้างอัตลักษณ์นั้นเป็นปฎิกริยาตอบโต้ของนักเขียนที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดขบวนการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ดั้งเดิมของพวกเขา  ในเวทีนี้นักเขียนได้ใช้เครื่องมือในการกอบกู้อัตลักษณ์หลายอย่างด้วยกัน โดยเฉพาะการรื้อฟื้นอดีตหรือประวัติศาสตร์ผ่านการเล่าเรื่อง การตอกย้ำถึงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิม โดยการใช้ภาษาในการสื่ออารมณ์หรือความหมายเฉพาะในบทสนทนา 1.ฟื้นชีวิตประวัติศาสตร์ ประมวล มณีโรจน์ เป็นนักเขียนคนสำคัญที่พยายามฟื้นฟูเรื่องเล่าดั้งเดิมของท้องถิ่น และประวัติศาสตร์ขึ้นมาเพื่อสะท้อนให้เห็นการครอบงำ และเป็นเครื่องมือในการกอบกู้อัตลักษณ์ของท้องถิ่นใต้  ในเรื่อง  “อานารยธรรม”  เขาเริ่มต้นด้วยการเล่าถึงประเทศเจ้าอาณานิคมอย่างฝรั่งเศสที่เข้ามาครอบงำชนกลุ่มน้อย โดยเล่าย้อนไปตั้งแต่การต่อสู้ของราชตระกูลลาวในรัชสมัยของเจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูรแห่งแคว้นจำปาศักดิ์ที่ต่อสู้กับชนชาติข่าจากขุขันธ์และปทายสมันต์ เรื่อยมาจนถึงสมัยขององค์แก้วที่ต่อสู้กับชาวฝรั่งเศส จนเป็นที่มาของวีรกรรมที่ไม่อาจลบเลือนของชาวลาวเทิง เรื่องสั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวลาวเทิงเท่านั้น  แต่เป็นการนำประวัติศาสตร์การต่อสู้ของชาวลาวเทิงมา ”ย้อนย้ำ” ให้คนตระหนักรู้ถึงภัยที่เคยมาเยือนชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเขาเห็นว่าการหลงลืมประวัติศาสตร์ทำให้สังคมไม่มีบทเรียน (อานารยธรรม:หน้า 29)  ด้วยเหตุนี้ ในความต้องการกอบกู้อัตลักษณ์ท้องถิ่นภาคใต้ เรื่องสั้นจำนวนหนึ่งของประมวล จึงพยายามนำเสนอประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าเกี่ยวกับอดีตที่น่าภาคภูมิใจของภาคใต้ขึ้นมานำเสนอ เช่น ในเรื่อง “ประกายไฟในความมืด” เรื่อง “บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน” เป็นต้น โดยเรื่องหลังนั้นประมวลต้องการให้ผู้อ่านหันกลับไปรำลึกถึงเมืองสงขลาที่เคยรุ่งเรืองมาแต่โบราณ  เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ประมวลใช้สำหรับนำพาผู้อ่านกลับไปสู่คุณค่าและตัวตนของชนบทในอดีต  ข้อมูลประวัติศาสตร์เหล่านี้ ด้านหนึ่งก็แสดงถึงสัจจะสังคมที่ย่อมมีความขัดแย้ง การสูญเสีย การทำลายล้าง และการเกิดใหม่เพื่อเชื่อมโยงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การนำเสนอประวัติศาสตร์ของชุมชนลุ่มทะเลสาบสงขลาเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ    ล่าฝัน บารนี  ชายหนุ่มเล่าเรื่องราวของเมืองสงขลาตั้งแต่สมัยอยุธยา เริ่มโดยการยกตำนานวีรบุรุษประจำถิ่น ‘หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด’ ที่คนในชุมชนยังคงศรัทธาอย่างเหนียวแน่น (บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน:139) หรือ เรื่องราวสงครามที่ต่อสู้ขับเคี่ยวกันระหว่างรัฐบาลกลางในสมัยรัตนโกสินทร์กับสุลต่านสุไลมานชาร์ผู้ครองนครสงขลา (บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน:หน้า 144) แต่ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้ชนะสำหรับประมวลแล้วไม่ว่าสงครามระหว่างมนุษย์กับเทพเจ้า (สงครามกรุงทรอย) หรือสงครามระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ต่างก็สร้างความพินาศให้แก่มนุษย์พอๆ กัน การเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์เป็นการเชื่อมโยงมาถึงปัจจุบัน  ประมวลเห็นว่าสงครามของเศรษฐกิจแบบทุนนิยมกำลังรุกรานเราอยู่  ล่าฝันเป็นตัวแทนของคนที่กำลังทำสงครามอยู่ในโลกของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม  ประมวลทำให้เห็นว่ามันไม่ได้แตกต่างไปจากสงครามที่เคยทำลายล้างสงขลามาเมื่อครั้งอดีตแต่อย่างใด  และดูเหมือนว่ามันจะทวีความหฤโหดมากขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะมันเป็นการทำลายล้างตั้งแต่รากเหง้าทางวัฒนธรรม  เกิดปัญหาคนพลัดพรากจากบ้านเกิด  หลายคนต้องไร้ที่อยู่ที่ทำมาหากิน  และหลายคนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยความตายของ ‘คนอื่น’ ในนามของ “มือปืน”
การหยิบยกประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้ขึ้นมานำเสนอ แสดงให้เห็นว่านักเขียนยอมรับว่าความขัดแย้ง/สงครามในรูปแบบต่างๆ นั้นเป็นสัจจะของมนุษย์โลก สงครามทุนนิยมระหว่างบริษัทข้ามชาติกับบริษัทของคนท้องถิ่นรุ่นใหม่ก็เช่นเดียวกัน โดยความหมายและเป้าหมายแล้วมันไม่แตกต่างอันใดกับสงครามในประวัติศาสตร์เพราะมุ่งสู่การยึดครองเช่นกัน เพียงแต่รูปแบบเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น การยอมรับเช่นนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่านักเขียนพยายามที่จะรื้อฟื้นความหมายของชุมชนลุ่มทะเลสาบขึ้นมาใหม่ด้วยการรอมชอมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชุมชนโดยการกระทำของทุนนิยมว่า  หากเราเรารู้เท่าทัน  เราก็สามารถดำรงอยู่ในโลกของทุนนิยมได้ 2.ทรัพยากร : ความเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ
ตัวตนของชนบทภาคใต้บริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาที่เด่นชัดและแตกต่างกับชุมชนอื่นๆ ในภูมิภาคอื่นก็คือสัญลักษณ์ของพืชพันธุ์เฉพาะถิ่น ตลอดจนวิถีการผลิตและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากพืชพันธุ์เฉพาะถิ่นเหล่านั้น  กล่าวเฉพาะผลงานเรื่อง “บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน” ซึ่งเป็นเรื่องสั้นขนาดยาวที่น่าสนใจ ประมวลให้ “ไม้ไผ่” และ “ตาลโตนด” เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเฉพาะถิ่นที่มีพัฒนาการมาอย่างยาวนาน และให้ “ข้าว” เป็นผลิตผลของความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่ดินจนกระทั่งส่งผลให้ชุมชนลุ่มทะเลสาบสงขลามีบทบาทเป็น “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของภาคใต้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถึงสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรัพยากรเหล่านี้เอื้อประโยชน์ให้แก่ชาวชนบทลุ่มทะเลสาบสงขลามาหลายชั่วอายุคน โดยเฉพาะไม้ไผ่และตาลโตนดนั้นได้ก่อให้เกิดวิถีวัฒนธรรมที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะถิ่น เกิดวัฒนธรรมตาลโตนดทั้งในลักษณะของวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนผลผลิต วัฒนธรรมการก่อสร้างบ้านเรือนที่มีไม้ไผ่กับตาลโตนดเป็นวัสดุสำคัญที่สามารถทำได้ทุกอย่างตั้งแต่เสา คาน กระดาน กระทั่งรั้วบ้าน
วัฒนธรรมดังกล่าวนี้ทำหน้าที่ “แยก/จำแนก” ชาวลุ่มทะเลสาบสงขลาออกมาจากคนกลุ่มอื่นๆ คนลุ่มทะเลสาบสงขลาสำนึกถึงความแตกต่างระหว่างตนเองกับคนกลุ่มอื่นๆ โดยใช้วัฒนธรรมไม้ไผ่กับตาลโตนดเป็นเกณฑ์หนึ่ง ซึ่งนอกจากก่อให้เกิดวัฒนธรรมต่างๆ แล้ว ยังส่งผลถึงความสามารถพึ่งพาตัวเองในทางเศรษฐกิจของชุมชนแถบนี้อีกด้วย
ทรัพยากรเฉพาะถิ่นจึงเป็นบ่อเกิดของวิถีวัฒนธรรมของท้องถิ่นและความสามารถพึ่งตนเองของท้องถิ่นซึ่งท้ายที่สุดแล้วได้ส่งผลต่อความมีอัตลักษณ์ของท้องถิ่นในที่สุด  สิ่งเหล่านี้ประมวลขับขึ้นมาให้โดดเด่น นัยหนึ่งเพื่อหวนหาคุณค่าแห่งอัตลักษณ์เหล่านั้น  อีกนัยหนึ่งก็เพื่อสร้างเป็น “ภาพเปรียบเทียบ” กับอัตลักษณ์หรือตัวตนใหม่ๆ ที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นคุณค่าที่แท้จริง (หรือคุณค่าที่ควรจะเป็น) ก่อนที่เขาจะนำพาผู้อ่านไปสู่ประเด็นที่ท้าทายว่าชุมชนท้องถิ่นควรไขว่คว้า หรือควรปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถคงอัตลักษณ์ของตนอยู่ได้ท่ามกลางการเบียดขับของอัตลักษณ์นำเข้า (จากทุนต่างชาติ/จากรัฐส่วนกลาง) นอกจาก ประมวล มณีโรจน์ แล้ว นักเขียนอีกส่วนหนึ่งใช้ภาพชาวนาซึ่งมีวิธีคิดแบบดั้งเดิม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชรา) สะท้อนภาพวิถีซึ่งผูกพันกับการเกษตรอย่างใกล้ชิด อย่างเช่น ในเรื่อง “สะพานขาด" ของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ที่ให้ภาพของชาวนาชราที่หวงแหนข้าวกล้าอย่างชนิดที่พร้อมจะแลกด้วยชีวิต
วิธีการสร้างภาพเชิงโรแมนติกเมื่อตัวละครคำนึงถึงภาพของทรัพยากรที่เคยอุดมสมบูรณ์ในอดีตก็เป็นอีกกลวิธีหนึ่งในการเล่าเรื่องเพื่อกอบกู้อัตลักษณ์ ดังเช่น การให้ภาพความสนุกสนานของเด็กๆ ในท้องนา ภาพดังกล่าวนี้ นอกจากสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์และความสุขแห่งวิถีเกษตรแล้ว ยังเป็นการกลวิธีหนึ่งในการสร้างภาพฝันให้เกิดขึ้น เพื่อทำให้อัตลักษณ์แห่งความเป็นสังคมเกษตรที่อุดมสมบูรณ์ของชุมชนรอบลุ่มทะเลสาบหวนกลับคืนมาอีกด้วย
3.วิถีวัฒนธรรม เมื่อพิจารณาโดยผิวเผินอัตลักษณ์ของภาคใต้มีความย้อนแย้งกันไม่น้อยโดยเฉพาะวิถีของความเป็นนักเลง วิถีโจร และความยึดมั่นในศาสนา อย่างไรก็ดี นักเขียนชาวใต้ก็พยายามที่จะเชื่อมโยงให้เห็นว่า ปัจจัยที่ดูย้อนแย้งกันเหล่านี้มีการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนจนกลายเป็นอัตลักษณ์ของภาคใต้ตอนกลางไปในที่สุด กล่าวคือ ในอดีตนั้นวิถีนักเลงและวิถีโจรในภาคใต้ตอนกลางนั้นถูกควบคุมโดยความเชื่อในศาสนา ทำให้เป็นนักเลงและโจรที่มีจรรยา โดยให้การปกป้องชุมชนจากอำนาจรัฐและอำนาจอิทธิพลที่ไม่เป็นธรรม  เหตุดังนั้น ความคิดเกี่ยวกับความเป็นนักเลงหรือความเป็นโจร ในความเห็นของนักเขียนท้องถิ่นกลุ่มนี้จึงสามารถอธิบายได้ อัตลักษณ์ของความเป็นนักเลงนั้นกลายเป็นวิถีวัฒนธรรมซึ่งชาวท้องถิ่นด้วยกันยอมรับเป็นอย่างดี
คำอธิบายชุดนี้ นอกจากเพื่อการตอบโต้วาทกรรมนิติศาสตร์ที่มอง “นักเลง” ในภาคใต้ว่าเป็น “โจร” แล้ว ในอีกนัยยะหนึ่งยังเป็นการให้คำอธิบายแก่คนรุ่นใหม่ซึ่งใช้ตีความความเป็นนักเลงหรือความเป็นคนใต้กล้าได้กล้าเสียผิดพลาด (ดังพวกที่ไปเป็นมือปืนรับจ้าง หรือพวกที่ฆ่าผู้อื่นเพราะเหตุ

ไม่พอใจเพียงเล็กน้อย ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น) ให้กลับมาเข้าใจนิยามที่แท้จริง เพื่อฟื้นฟูอัตลักษณ์ดั้งเดิมที่ว่า  การเป็นนักเลงต้องกล้าหาญ  เข้มแข็ง  เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า 4.ภูมิปัญญาดั้งเดิม การรื้อฟื้นภูมิปัญญาชาวบ้านด้านต่างๆ ขึ้นมาก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการกอบกู้อัตลักษณ์ท้องถิ่นลุ่มทะเลสาบสงขลา  ภูมิปัญญาเหล่านี้ผูกพันทั้งภูมิปัญญาจากประสบการณ์ ความเชื่อในพุทธศาสนา ไสยศาสตร์ และประเพณีท้องถิ่น ดังเช่นการบอกเล่าเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บในเรื่องสั้น “สำหรับความทะเยอทะยาน” ของประมวล มณีโรจน์ ภูมิปัญญาชาวใต้ที่นักเขียนหยิบยกขึ้นมาขับเน้นเพื่อแสดงให้เห็นอัตลักษณ์ของท้องถิ่นใต้ยังมีภูมิปัญญาด้านการสังเกตธรรมชาติ ภูมิปัญญาเหล่านี้สามารถทำให้คนกลายเป็นที่เชื่อถือและยำเกรงของผู้อื่นในท้องถิ่น ในกระแสของวรรณกรรมไทย ความเชื่อเหล่านี้เคยเป็นสิ่งที่วรรณกรรมเพื่อชีวิตซึ่งเติบโตในช่วงทศวรรษที่ 2500-2510 ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวคิดของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น การที่นักเขียนชาวใต้ซึ่งสร้างผลงานตั้งแต่ช่วง 2520 หยิบยกเอาภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้ขึ้นมาอภิปราย และขัดเน้นให้เห็นถึงผลและคุณค่าต่อการดำรงอยู่ของชาวบ้านแสดงให้เห็นว่าเป็นกระแสของการตอบโต้กับแนวคิดหลักในวรรณกรรมส่วนกลางโดยตรงอย่างหนึ่ง การตอบโต้ดังกล่าวนี้เมื่อมองในแง่มุมของกระแสวรรณกรรมไทย จะพบว่าเป็นการดิ้นรนเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของวรรณกรรมท้องถิ่น  และถ้ามองในด้านเนื้อหาก็จะพบว่าเป็นการโหยหาถึงตัวตนหรืออัตลักษณ์ของท้องถิ่นที่ถูกทำให้เลือนหายไปแล้วอีกด้วย

บทสรุป ท่ามกลางข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่า “อำนาจวรรณกรรม” กำลังจะเสื่อมสลายไปแล้วในโลกยุคหลังสมัยใหม่ แต่เห็นได้ว่ากลุ่มนักเขียนชาวลุ่มทะเลสาบสงขลายังคงมีความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการสร้างสรรค์วรรณกรรมเพื่อฉายภาพการสลายและเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ท้องถิ่นของพวกเขา พร้อมกันนั้นก็พยายามกอบกู้อัตลักษณ์เหล่านั้นขึ้นมาใหม่ด้วยวิธีการต่างๆ โดยการใช้ความสามารถทางวรรณกรรมมาเป็นเครื่องมือ  นั่นก็คือการรื้อฟื้นอัตลักษณ์ท้องถิ่นด้านต่างๆ ทั้งประวัติศาสตร์ ทรัพยากร วิถีวัฒนธรรม และภูมิปัญญาขึ้นมาผสมผสานกันบนพื้นที่ที่เรียกว่า “วรรณกรรม” แล้วใช้ศิลปะการเล่าเรื่องนำผู้อ่านไปพบกับเนื้อหา เรื่องราว ทัศนคติ ค่านิยม ความใฝ่ฝัน เพื่อชี้ชวนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของท้องถิ่นตน  กระแสการนำเสนอเรื่องราวในลักษณะนี้ แม้จะหาได้ยากในหมู่นักเขียนรุ่นใหม่ และนักเขียนภาคกลาง แต่ถือเป็นกระแสหลักของการสร้างสรรค์วรรณกรรมภาคใต้จนถึงปัจจุบัน  เรื่องสั้นของนักเขียนชาวลุ่มทะเลสาบจึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งซึ่งกำลังตั้งคำถามถึงกระแสของความเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นในสังคมไทยที่กำลังถูกทำให้กลมกลืนกลายเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันทุกภูมิภาค

        <br />



บรรณานุกรม ภาษาไทย กนกพงศ์    สงสมพันธ์.  สะพานขาด.  พิมพ์ครั้งที่ 3 . กรุงเทพฯ : นาคร,  2539. _______.  แผ่นดินอื่น.  กรุงเทพฯ :นาคร,  2539. เกษม  จันทร์ดำ. นาฬิกาไม้.  สงขลา : ประภาคาร,  2534. คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ    สาขาสังคมวิทยา      สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ประเด็นการก่อตัวและการสร้างอัตลักษณ์ของกลุ่มใหม่ๆทางสังคม.  ณ  โรงแรมมิราเคิล  แกรนด์  คอนแวนชั่น  วันที่  15-16  ธันวาคม  2543.
คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ    และ สำนักศิลปศาสตร์  มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์.  ห้องความเป็นปักษ์ใต้.  การประชุมทางวิชาการและเสนอผลงานวิจัย  “พลังสังคมไทยในทศวรรษหน้า : ทางเลือกกับความเป็นจริง”  ณ  อาคารเรียนรวม 5  มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์  วันที่ 30-31  สิงหาคม  2546.
จรูญ  หยูทอง.  การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมของชนบทภาคใต้ที่ปรากฏใน เรื่องสั้นของนักเขียนกลุ่มนาคร. ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  สงขลา, 2543. ไชยรัตน์  เจริญสินโอฬาร.  วาทกรรมการพัฒนา.  กรุงเทพฯ : วิภาษา, 2543.
ตรีศิลป์  บุญขจร.  นวนิยายกับสังคมไทย พ.ศ.2475-2500.  กรุงเทพฯ : บางกอกการพิมพ์,
2523. นิธิ  เอียวศรีวงศ์ และคณะ.  มองอนาคต : บทวิเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางสังคมไทย.
กรุงเทพฯ :  มูลนิธิภูมิปัญญา , 2538.
ปริตตา  เฉลิมเผ่า  กออนันตกูล (บรรณาธิการ).  เจ้าแม่  คุณปู่  ช่างซอ ช่างฟ้อน  และเรื่อง อื่นๆว่าด้วยพิธีกรรมและนาฎกรรม. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร,  2546. ________.(บรรณาธิการ). ชีวิตชายขอบ ตัวตนกับความหมาย. กรุงเทพฯ:ศูนย์มานุษยวิทยา สิรินทร,  ม.ป.ป.. ประมวล  มณีโรจน์.  บ้านหลังสุดท้ายของดวงตะวัน.  กรุงเทพฯ : นาคร,  2542. ________.  ว่าวสีขาวกับผองปีกแห่งความหวัง.  สงขลา : ประภาคาร,  2532. ________.  หมู่บ้านวิสามัญ.  สงขลา : ประภาคาร,  2532. ________. (และคณะ). เอกสารประกอบการศึกษารวมกลุ่ม วรรณกรรมเพื่อชีวิตไทยก้าวเดิน ที่สับสนและการแสวงหา.    กลุ่มนาคร,  2528.
ปิ่นแก้ว  เหลืองอร่ามศรี (บรรณาธิการ).  อัตลักษณ์    ชาติพันธุ์    และความเป็นชายขอบ.
กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร,  2546. พนม  นันทพฤกษ์.  ยืนต้านพายุ.  กรุงเทพฯ : ทักษิณาบรรณ,  2524. พัฒนา    กิติอาษา. ท้องถิ่นนิยม.  กรุงเทพฯ : นักคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ,  2546. พิเชฐ แสงทอง.  ตัวตนของคนใต้ : ประวัติศาสตร์และภูมิวิถีกวีนิพนธ์. เอกสารประกอบการ สัมมนาเรื่อง กวีและกวีนิพนธ์ภาคใต้:เมื่อก่อน เมื่อนี้และวันพรุ่ง  ณ สถาบันทักษิณคดี ศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ.  วันที่  4-6 กันยายน 2546. ________. “ความเลื่อนไหลของกลุ่มนาคร” . ใน วารสารขี้ไต้  สถาบันราชภัฎนครศรีธรรมราช.
ฉบับเดือนพฤศจิกายน  2546,  หน้า  37-43. พิศิษฎ์  คุณวโรตม์. “อัตลักษณ์และกระบวนการต่อสู้เพื่อชีวิตของผู้ติดเชื้อHIV”.  อัตลักษณ์
ชาติพันธุ์ และความเป็นชายขอบ. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินทร, 2546:306- 307. ไพฑูรย์    ธัญญา.  โบยบินไปจากวัยเยาว์ . พิมพ์ครั้งที่  5.  กรุงเทพฯ : นาคร,  2541. ________.  ถนนนี้กลับบ้าน . พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : นาคร,  2536. ________.  ก่อกองทราย.  พิมพ์ครั้งที่  23.  กรุงเทพฯ : นาคร,  2539 ยงยุทธ  ชูแว่น.(บรรณาธิการ)  โลกของลุ่มทะเลสาบ.  กรุงเทพฯ : นาคร,  2541.             .การเคลื่อนเปลี่ยนของคตินิยมในบริเวณสามจังหวัดรอบทะเลสาบสงขลา
พ.ศ. 2504-2529 : ศึกษาจากงานวรรณกรรม.  สงขลา : สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ,  2529. ศูนย์ส่งเสริมภาษาและวัฒนธรรมภาคใต้.  โลกทรรศน์ไทยภาคใต้.  สงขลา : มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ,  2521. สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.  พื้นบ้านพื้นเมือง-ถิ่นไทยทักษิณ.   กรุงเทพฯ : อมรินทร์ พริ๊นติ้งกรุ๊พ,  2534. สุธิวงศ์  พงษ์ไพบูลย์.  โครงสร้างและพลวัตวัฒนธรรมภาคใต้กับการพัฒนา. กรุงเทพฯ
: สำนักงานกองทุนการสนับสนุนการวิจัย,  2544. ________.“ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองสงขลากับต่างเมืองที่ส่งผลต่อผู้คนและวัฒนธรรม ในท้องถิ่น”  ในการสัมมนาทางวิชาการสงขลาศึกษา : ประวัติศาสตร์และโบราณคดีเมืองสงขลา,  หน้า 133-140.  สงขลา : สถาบันทักษิณคดีศึกษา, 2535. สุริชัย  หวันแก้ว.  กระบวนการกลายเป็นคนชายขอบ.  กรุงเทพฯ : สำนักคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ,  2546. อมรา พงศาพิชญ์.ความหลากหลายทางวัฒนธรรม(วิธีวิทยาและบทบาทในประชาสังคม).
พิมพ์ครั้งที่ 3.  กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2545. _______.  วัฒนธรรม ศาสนา และชาติพันธุ์ : วิเคราะห์สังคมไทยแนวมานุษยวิทยา พิมพ์ครั้งที่ 5.  กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,  2541. อมรา ศรีสุชาติ. สายรากภาคใต้:ภูมิลักษณ์ รูปลักษณ์ จิตลักษณ์. กรุงเทพฯ : สำนักงาน กองทุนการสนับสนุนการวิจัย,  2544. อภิญญา  เฟื่องฟูสกุล.  อัตลักษณ์.  กรุงเทพฯ: สำนักคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ,  2546 อรัญ  คงนวลใย.  การศึกษาโลกทรรศน์ที่ปรากฏในเรื่องสั้นของนักเขียนชาวใต้ที่ได้รับ รางวัลเรื่องสั้นดีเด่น.  ปริญญานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนคริน-  ทรวิโรฒ  สงขลา, 2537. อัตถากร  บำรุง.  พันธ์พื้นเมือง.  กรุงเทพฯ : นาคร,  2541. _______.  ฝั่งฝันแห่งความรัก.  สงขลา : ประภาคาร,  2534. อาคม  เดชทองคำ.  หัวเชือกวัวชน.  กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2543. ภาษาอังกฤษ Ania  Loomba.  Colonialism/Postcolonialism. Newyork : Routledge, 1998. Bill Ashcroft, Gareth  Griffiths, and  Helen  Tiffin.  The  Empire  Writes  Back.
Newyork : Routledge, 1989. Edward  W.  Said.  Orientalism.    Newyork : Random  House, 1978. _______.  Culture  and  Imperialism. Newyork : Random  House, 1993. Frantz  Fanon.  The  Wretched  of  the  Earth.  Newyork : Grove  Press, 1963.

ขออภัย ขณะนี้เว็บไซท์ของดการสร้างหัวข้อใหม่และการแสดงความคิดเห็นไว้ชั่วคราว
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ