บทความ

ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเทือกเขาบรรทัด

by Pookun @March,05 2007 15.14 ( IP : 124...136 ) | Tags : บทความ

ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเทือกเขาบรรทัด ชุมชนเทือกเขาบรรทัด: การต่อสู้ของชุมชนกับนายและรัฐสมัยใหม่ ปริญญา นวลเปียน อาจารย์ประจำสาขาวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จ.กาญจนบุรี

บทความบนหน้าเว็บเพจนี้ ได้รับมาจากผู้เขียน เดิมชื่อ "ชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด: การต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดของชุมชนกับรัฐ" กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของสภาพภูมิวัฒนธรรมศาสตร์อันมีลักษณะเฉพาะ
โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขาบรรทัด ที่มีอัตลักษณ์ของตนเอง และการลุกเข้ามาของวัฒนธรรมนาย ตลอดรวมถึงข้าราชการ และการจัดการทรัพยากรของรัฐสมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยใหเข้าใจเหตุการณ์ปัจจุบัน midnightuniv@gmail.com

บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา ข้อความที่ปรากฏบนเว็บเพจนี้ ได้มีการแก้ไขและตัดแต่งไปจากต้นฉบับบางส่วน เพื่อความเหมาะสมเป็นการเฉพาะสำหรับเว็บไซต์แห่งนี้ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ ๑๑๕๒ เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ (บทความทั้งหมดยาวประมาณ ๒๑.๕ หน้ากระดาษ A4) +++++++++++++++++++++++++++++++++++ ชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด: การต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุดของชุมชนกับรัฐ ปริญญา นวลเปียน : อาจารย์ประจำสาขาวิชาการปกครอง
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น จ.กาญจนบุรี
(ปรับปรุงจากบทความของผู้เขียนเรื่อง "ชุมชนลุ่มทะเลสาบสงขลากับมโนทัศน์เรื่องความเป็นอิสระจากรัฐ: ภาพสะท้อนจากวิถีการผลิตของชุมชนเชิงเขาบรรทัดช่วงทศวรรษ 2440-2520" เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง "พลังทางสังคมไทยในทศวรรษหน้า: ทางเลือกกับความเป็นจริง" จัดโดยสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาสังคมวิทยา ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 30-31 สิงหาคม 2546) 1. ความนำ
"เทือกเขาบรรทัด" หรือรู้จักกันในชื่อทางภูมิศาสตร์ว่าเทือกเขานครศรีธรรมราช ทอดยาวเป็นระยะทางราว 300 กิโลเมตร ลงไปจนจรดเทือกเขาสันกาลาคีรีในจังหวัดสงขลา แบ่งกั้นพื้นที่ภาคใต้ตามแนวทิศเหนือ-ใต้ออกเป็นฝั่งตะวันออก (ฝั่งอ่าวไทย) และตะวันตก (ฝั่งอันดามัน/มหาสมุทรอินเดีย) สภาพภูมิศาสตร์ของเทือกเทือกเขาบรรทัดที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 1,800 เมตร ("เขาหลวง" ในจังหวัดนครศรีธรรมราช) 1,200 เมตร ("เขาเจ็ดยอด" ในจังหวัดพัทลุง) และ 800 เมตร ("เขาน้ำค้าง" ในจังหวัดสงขลา) ไม่เพียงแต่เป็นปราการขนาดใหญ่มหึมาคอยกีดขวางกระแสลมมรสุมจากสองฟากฝั่งมหาสมุทรเท่านั้น ในขณะเดียวกันพื้นที่ป่าฝนอันอุดมสมบูรณ์ก็ยังเป็นแหล่งต้นน้ำลำคลองที่ไหลไปหล่อเลี้ยงพื้นที่ราบ ก่อนสิ้นสุดลงยังจุดใดจุดหนึ่งของมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ทั้งสองฝั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของทะเลสาบสงขลาพื้นที่ขนาด 1,040 ตารางกิโลเมตร (กว่าหกแสนไร่) ก็เกิดขึ้นจากน้ำจืดจากสายน้ำลำคลองนับร้อยสายที่ไหลลงจากเทือกเขาบรรทัด ผสมผสานกับน้ำเค็มจากแรงหนุนของมหาสมุทรฝั่งอ่าวไทย จนเกิดเป็น "ทะเล 3 น้ำ" คือน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย (1) นอกเหนือจากนั้น เทือกเขาบรรทัดยังโอบกอดเอาผู้คนเข้าไว้ด้วยความอุดมสมบูรณ์อันหลากล้น กล่าวได้ว่าในทุกพื้นที่ราบกลางหุบเขา จะประกอบด้วยชุมชนขนาดใหญ่น้อย สลับกับเรือกสวนไร่นาเขียวขจีของชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดเรียงรายกันอยู่ทั่วไปทั้งสองฟากฝั่งทะเล กล่าวเฉพาะชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดในบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นหน่วยท้องถิ่นที่สำคัญแห่งหนึ่งของภาคใต้ฝั่งตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และฐานทรัพยากรร่วมกัน หากมองข้ามขอบเขตของหน่วยการปกครองที่รัฐกำหนดขึ้นในภายหลังแล้ว ก็สามารถเชื่อมโยงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ร่วมกันของชุมชนในพื้นที่จังหวัดพัทลุงทั้งหมด กับบางส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช และอีกส่วนหนึ่งของจังหวัดสงขลาได้อย่างน่าสนใจ (2) ท้องถิ่นบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาดังกล่าวนี้ จะหมายรวมถึงชุมชนทำประมงหรือ "หมู่เล" จากพื้นที่รายรอบทะเลสาบสงขลา "หมู่ทุ่ง" ที่เป็นชุมชนชาวนาในพื้นที่ราบที่อยู่รอบนอกออกไปทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบสงขลาคือเขตจังหวัดพัทลุง และชุมชนชาวนาทางฝั่งตะวันออกของทะเลสาบในเขตจังหวัดสงขลา เช่น ระโนด สะทิงพระ สำหรับ "หมู่เหนือ" คือชุมชนชาวไร่-ชาวสวนที่อยู่ทางต้นน้ำหรือเหนือสายน้ำลำคลองขึ้นไป ในบริเวณเทือกเขาบรรทัด ซึ่งอยู่ทางฟากตะวันตกของทะเลสาบสงขลา
กล่าวได้ว่าชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ในชุมชนบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว หากแต่ต้องพึ่งพากันเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรระหว่างชุมชนของ "หมู่เหนือ" ที่มีพืชไร่และของป่า "หมู่ทุ่ง" ที่มีข้าวอุดมสมบูรณ์ และ "หมู่เล" ที่มีทรัพยากรจากทะเลสาบอยู่ตลอดเวลา จนก่อให้เกิดความเป็นท้องถิ่นของบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาในที่สุด
นอกเหนือจากชุมชนดังกล่าวไม่เพียงแต่จะไม่สามารถตัดขาดตัวเองออกจากระบบเศรษฐกิจภายนอกได้เท่านั้น แต่ยังถูกโยงใยไว้ด้วยอำนาจรัฐในลักษณะต่างๆ นับตั้งแต่อำนาจรัฐในท้องถิ่นในอดีต โดยเฉพาะในสมัยของการรวมศูนย์อำนาจรัฐเข้าสู่กรุงเทพฯ ซึ่งรัฐสามารถใช้กลไกอำนาจรัฐในการควบคุมสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านกลไกทางอำนาจรัฐที่ซับซ้อน ไม่เพียงแต่รัฐสามารถสร้างระบบการศึกษาที่ไม่ได้มีเพียงครูในโรงเรียนเท่านั้น แต่รวมถึงใช้การสาธารณสุขสมัยใหม่ และพระภิกษุในพุทธศาสนาเข้ามารับใช้อุดมการณ์ต่างๆ ของรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กลไกทางอำนาจ ผ่านทางบรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นข้าราชการฝ่ายปกครองและฝ่ายปราบปราม โดยชาวบ้านเรียกว่า "นาย" ด้วยความคุ้นเคยในฐานะของผู้กระทำ และมองเห็นอำนาจรัฐผ่านทางตัวตนของ "นาย" เหล่านี้มาโดยตลอด ในบทความนี้ ผู้เขียนจะกล่าวถึงบริบทของความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างรัฐ ผ่านทางพฤติการณ์ของ "นาย" หรือเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐทางด้านการปกครองและปราบปรามฝ่ายหนึ่ง กับชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดในบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา ซึ่งตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำจากการใช้อำนาจรัฐ และในขณะเดียวกัน ก็มีบทบาทต่อต้านหรือตอบโต้การใช้อำนาจรัฐของ "นาย" ตลอดช่วงเวลายาวนานกว่าศตวรรษ ภายหลังการก่อตัวของรัฐชาติสมัยใหม่ของไทยเป็นต้นมา 2. ชุมชนดั้งเดิมในรัฐ (ชาติ) สมัยใหม่: "นายรักเหมือนเสือกอด หนีนายรอดเหมือนเสือหา"
หมู่บ้านดั้งเดิมในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา ต่างตั้งอยู่บนเส้นทางตัดข้ามเทือกเขาบรรทัด ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ฝั่งคาบสมุทรอ่าวไทยและคาบสมุทรอันดามัน ที่มีอยู่หลายเส้นทางด้วยกัน มีหลักฐานอันเชื่อได้ว่าหลายหมู่บ้านต่างเติบโตขึ้นเป็นชุมชนขนาดใหญ่มานับตั้งแต่ช่วงกลางสมัยอยุธยาเป็นอย่างน้อย เช่น บ้านนา บ้านกงหรา บ้านตะโหมด และบ้านชะรัด เป็นต้น โดยสามารถพิจารณาถึงความเก่าแก่ของชุมชนเหล่านี้ได้ จากอายุของพระพุทธรูปและวัดในชุมชน สำหรับหมู่บ้านอื่นๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งแยกครัวเรือนออกมาแสวงหาที่ดินทำกินเพิ่มเติม และการอพยพเพื่อหนีโรคระบาด (ไข้น้ำ) เช่น บ้านคลองหวะหลัง บ้านไร่เหนือ บ้านตะแพน และบ้านในตระ เป็นต้น จากการตรวจสอบด้วยคำบอกเล่าทำให้ทราบได้ว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีอายุไม่ต่ำกว่า 130 ปี มาแล้วทั้งสิ้น ในกรณีของความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างกลุ่มผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิม กับชาวบ้านในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด ยังมีความสัมพันธ์ที่นอกเหนือจากเรื่องทางการเมือง เช่น หมู่บ้านดั้งเดิมคือบ้านชะรัด เป็นชุมชนชาวมุสลิมก็มีความผูกพันเป็นเครือญาติกับกลุ่มผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิม ในสายตระกูล "ณ พัทลุง" ซึ่งเชื่อกันว่า "ทวดโหม" (ตาตุ่มมะระหุ่ม) คือบรรพบุรุษของชาวบ้านชะรัดและสายตระกูล "ณ พัทลุง" เคยอยู่ในฐานะหนึ่งใน 11 เมืองขึ้นของเมืองพัทลุง คู่กับเมืองปะเหลียน กำแพงเพชร จะนะ เทพา สงขลา สทิง พิพัทสิงค์ ระโนด ปราณ และศรีชะนา (3) กลุ่มผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิมยังมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับชุมชนบ้านตะโหมด ที่อยู่บนเส้นทางตัดข้ามคาบสมุทรไปถึงเมืองปะเหลียนและเมืองไทรบุรี โดยชาวบ้านตะโหมดดั้งเดิมเคยนับถือศาสนาอิสลาม ก่อนที่จะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนา ตามฝ่ายผู้ปกครองเมืองพัทลุง ด้วยแรงบีบคั้นทางการเมืองเรื่อง "พุทธ" คือ "ไทย" ในช่วงสมัยกรุงธนบุรี (4) จนเป็นเหตุให้ผู้ที่ยังยึดมั่นในศาสนาอิสลามอีกกลุ่มหนึ่ง ต้องโยกย้ายออกจากบ้านตะโหมดไปสร้างชุมชนใหม่ทางตอนใต้ลงไป (5) ในขณะที่ชุมชนชาวพุทธในบ้านกงหราและบ้านนา สายตระกูลใหญ่ๆ ของชุมชนทั้งสอง ต่างก็มีการผูกสัมพันธ์อยู่กับฝ่ายผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิมอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้โดยการเป็น "ดอง" ผ่านทางการแต่งงาน ซึ่งมีผลให้ต้องผูกพันเสมือนเป็นเครือญาติกันอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน (6) ความสัมพันธ์แบบเครือญาติในลักษณะเหล่านี้ น่าจะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางการเมืองของฝ่ายผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิมในแง่ของความจงรักภักดี ในขณะเดียวกันก็มีผลให้ความสัมพันธ์แบบนายกับไพร่มีความยืดหยุ่นมากขึ้นบ้าง อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าชุมชนจะสามารถปลดแอกตัวเองจากอำนาจรัฐได้ ด้วยการอาศัยความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมเหล่านั้น กล่าวคือ ภาระหน้าที่ของราษฎรในบริบทของความสัมพันธ์กับรัฐภายใต้ระบบสังคมบรรณาการ (tributary society) (7) ก็ยังคงดำเนินไปตามปกติ นับตั้งแต่การเกณฑ์แรงงานและการส่งส่วยที่เป็นของป่า เช่น น้ำผึ้งป่า น้ำมันยาง หวาย และอาจรวมถึงไม้เนื้อดีต่างๆ แก่ทางเมืองพัทลุงมาโดยตลอด ความยากลำบากของชาวบ้านยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เมื่ออำนาจรัฐศูนย์กลางเริ่มผ่อนคลายระบบไพร่ลง แต่หันมาใช้นโยบายเรียกเก็บค่ารัชชูปการเป็นเงินภาษีรายหัว จากผู้ชายที่มีครอบครัวในช่วงก่อนเริ่มการรวมศูนย์อำนาจรัฐเข้าสู่ส่วนกลางที่กรุงเทพฯ ไม่นานนัก (8) เงินค่ารัชชูปการที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามของ "ภาษี 4 บาท" ได้สร้างภาระให้กับครัวเรือนอย่างหนัก เนื่องจากรายได้ในรูปของเงินตราจะได้มาจากการค้าขายเท่านั้น
ถึงแม้ว่าชาวบ้านในลุ่มทะเลสาบสงขลาโดยทั่วไป อาจจะคุ้นเคยกับการค้าขายผ่านระบบเงินตรา อย่างน้อยก็ในตลาดนัดและการค้าขายกับชาวจีน แต่รายได้ดังกล่าวน่าจะเพียงพอสำหรับการซื้อหาสินค้าจากต่างชุมชนเท่านั้น เงินทองสำหรับซื้อหาสินค้ามาบริโภคในชีวิตประจำวัน และเงินค่าภาษีในแต่ละปีของชาวบ้าน จึงได้มาจากการขายสัตว์เลี้ยงของครัวเรือน ก็คือวัวควายและ "หมูขี้พร้า" หรือสุกรพันธุ์ดั้งเดิม ชาวบ้านมักจะต้อนสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ไปขายกันถึงต่างเมือง เช่น พวกผู้หญิงจากบ้านกงหรา และบ้านนา จะรวมตัวกันต้อนหมูขี้พร้าของตนเองและของญาติในหมู่บ้าน เดินทางข้าม "เขาพับผ้า" ข้ามไปขายถึงตลาดเมืองตรัง โดยใช้เชือกผูกขาหมูขี้พร้าทุกตัวเข้าด้วยกันให้พอเดินเรียงแถวกันได้ ก่อนนำเงินที่ได้ซื้อหาสินค้าประเภท เคอย (กะปิ) เกลือ และของจำเป็นในชีวิตประจำวันจากตลาด และเก็บออมเงินบางส่วนที่เหลือเอาไว้ จากความจำเป็นในการใช้เงินตราและการจ่ายภาษีในกลุ่มชายฉกรรจ์อย่างถ้วนหน้า ทำให้กลุ่มซึ่งไม่สามารถหาเงินค่าภาษีมาจ่ายได้ จำเป็นต้องออกลักวัวควายและปล้นทรัพย์สินของคนที่พอมีพอกินในถิ่นบ้านอื่นกันอยู่เรื่อยๆ เหตุผลจากความจำเป็นเฉพาะหน้าเมื่อผนวกกับ "วัฒนธรรมโจร" ของคนในพื้นที่ (9) ทำให้เกิดคดีลักปล้นอยู่ทั่วไปในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดและบริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลา สำหรับวัวควายที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้เองหรือได้มาจากการลักปล้นของผู้อื่นก็ดี ส่วนหนึ่งมีการต้อนไปขายถึงเมืองไทรบุรี ที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในเวลานั้น ซึ่งจะต้องผ่านด่านเก็บภาษีของทางการที่ตั้งอยู่ในช่องเขาข้ามเทือกเขาบรรทัด ปรากฏว่าในช่วงปี พ.ศ. 2439 มีวัวควายจากเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง และสงขลา ผ่านเข้าเมืองไทรบุรีจากด่านทางนี้ถึงเกือบ 8,000 ตัว นอกจากจะสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านแล้ว ทางราชการยังเก็บเงินภาษีได้เป็นเงินเกือบ 3,500 บาท แม้กระนั้นก็ปรากฏว่ามีคนที่ค้างจ่ายภาษีในแต่ละปีอยู่เป็นจำนวนมาก จนทางการต้องเกณฑ์คนเหล่านี้ไปใช้แรงงานแทนเงินอยู่เสมอ โดยเฉพาะการขุดถนนตามทางพลีเส้นตัดข้ามคาบสมุทรสายเมืองพัทลุง-ตรัง ผ่านทาง "เขาพับผ้า" บนเทือกเขาบรรทัด ซึ่งชาวบ้านเคยเรียกว่า "ถนนเจ้าคุณเทศาฯ" ก็เกิดขึ้นจากแรงงานของผู้ค้างจ่ายค่าภาษีดังกล่าว สำหรับภาพรวมโดยทั่วไปจากการขูดรีดภาษีราษฎรอย่างหนักในช่วงเวลาหลายปี และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุคสมัยการสร้างรัฐชาติ ได้ก่อให้เกิดการลุกฮือขึ้นของชาวบ้าน ในลักษณะของการต่อต้านอำนาจรัฐหรือ "กบฏชาวนา" ทางภาคเหนือและภาคอีสานขึ้นหลายครั้งนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2430 เป็นต้นมา (10) แต่ในพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบสงขลาที่เป็นส่วนหนึ่งของมณฑลนครศรีธรรมราช ที่ได้จัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2439 สถานการณ์ทางการเมืองยังคงเป็นไปโดยสงบ ดังความที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย กราบบังคมทูลถึงรัชกาลที่ 5 ในช่วงเวลาดังกล่าว ความว่า
"(ในมณฑลนครศรีธรรมราช-ผู้เขียน) เมื่อก่อนการจัดการเทศาภิบาล โจรผู้ร้ายก็อยู่ข้างจะมีเนืองๆ แลผู้คนมักจะอพยพออกไปอยู่หัวเมืองแขกไม่ใคร่ขาด ตั้งแต่จัดตั้งอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน วางการปกครองตามแบบใหม่ใช้คนที่พอจะวางใจได้เป็นนายอำเภอ โจรผู้ร้ายก็เงียบสงบไป การที่ผู้อพยพก็มิได้มีดังแต่ก่อนและได้ความรู้เปนแน่นอนว่า ราษฎรในมณฑลนี้เปนคนที่บังคับบัญชาว่ากล่าวได้ อย่างง่ายที่สุดไม่มีความลำบากแก่การที่จะจัดการอย่างใด" (11)
ต่อเมื่อช่วงทศวรรษ 2460 ชุมชนทางทุ่งราบตอนกลางของลุ่มทะเลสาบสงขลาจึงเกิด "ชุมโจร" ขึ้นในตำบลควนขนุน และเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลไปจนถึงชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด ทางแถบบ้านตะแพน บ้านเขาปู่-เขาย่า กล่าวได้ว่า พวกเขาสามารถพัฒนาเครือข่ายจากความสัมพันธ์แบบ "ไอ้เกลอ/ไอ้เฒ่า" ขึ้นเป็นชุมโจรขนาดใหญ่ อยู่ภายใต้การนำของ "รุ่ง ดอนทราย" และสืบต่อมาเป็น "ดำ หัวแพร" ออกปล้นชิงทรัพย์สินของผู้มีอันจะกินในชุมชนชาวนาทางตอนกลางของลุ่มทะเลสาบสงขลา
ผู้นำชุมโจรดังกล่าวใช้ชื่อจัดตั้งกันเป็น "ท่านขุน" ต่างๆ เลียนแบบคนของรัฐ และท้าทายอำนาจรัฐด้วยการประกาศไม่ยอมเสียภาษีใดๆ แก่ทางการ บางครั้งก็รวมตัวกันบุกโจมตีโรงพักจนตำรวจในพื้นที่ต้องอกสั่นขวัญแขวน แต่ที่สุดแล้วชุมโจรก็ถูกปราบปรามอย่างหนักจากกองกำลังตำรวจภูธรประจำมณฑล นำโดยพันตำรวจพระวิชัยประชาบาล จนชุมโจรล่มสลายและ "ดำ หัวแพร" ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยปืนของตำรวจ (12) ผลกระทบสำคัญประการหนึ่งภายหลังจากการปราบปรามชุมโจร ก็คือในปี พ.ศ. 2467 มีการโยกย้ายที่ว่าการอำเภอจากควนพนางตุง ในชุมชนทะเลน้อย ซึ่งเป็นชุมชน "หมู่เล" ริมทะเลสาบสงขลา มาตั้งเป็นอำเภอควนขนุนที่ในเขตของ "หมู่ทุ่ง" ชุมชนชาวนา เพื่อให้เกิดความสะดวกในการปราบปรามบรรดากลุ่มโจรต่างๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง ในปีเดียวกันยังได้มีการโยกย้าย "ที่ว่าการเมืองพัทลุง" จากตำบลลำปำ ซึ่งอยู่ในเขตชุมชน "หมู่เล" ริมทะเลสาบสงขลา มาตั้งตำบลคูหาสวรรค์ซึ่งอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟสายใต้ และเป็นพื้นที่ในเขตของชุมชนชาวนา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับศูนย์กลางการปกครองเมือง และยังเป็นการลดบทบาทของฝ่ายผู้ปกครองเมืองพัทลุงเดิม ซึ่งถูกเพ่งเล็งว่ามีความสัมพันธ์กับกลุ่มโจรท้องถิ่นในเมืองพัทลุงด้วยเช่นเดียวกัน (13) 3. วัฒนธรรมอำนาจแบบยอมจำนน: "นายเมา นายถีบเรา- เราเมา นาย (ก็) ถีบเรา"
ภายหลังการสิ้นสุดยุคของชุมโจรขนาดใหญ่ในลุ่มทะเลสาบสงขลา และมีการลดบทบาทกลุ่มผู้ปกครองเดิมในเมืองพัทลุงลง ไม่นานนักก็เกิดการเปลี่ยนแปลงสำคัญขึ้นภายในศูนย์กลางอำนาจรัฐที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2475 อาจกล่าวได้ว่าเป็นความพยายามอีกครั้งหนึ่งของการนำรัฐไทยไปสู่ภาวะความทันสมัย แต่มีกลุ่มข้าราชการเป็นผู้ก่อการแทนที่จะเป็นฝ่ายเจ้านายอย่างแต่ก่อน และผลจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้นำไปสู่การลดบทบาทและอำนาจของทางฝ่ายเจ้านายลง พร้อมกับการขยายบทบาทของข้าราชการให้กว้างขวางออกไป สำหรับการครอบงำและควบคุมพฤติกรรมของผู้คนในสังคม กล่าวคือ รัฐในยุคนี้ได้อาศัยกลไกที่หลากหลายรูปแบบของระบบราชการ เข้าไปกำหนดสังคมได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับชุมชนเชิงเขาเทือกบรรทัดนั้น ความยากลำบากของเดินทางยังเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาตามแนวนโยบายของรัฐ เส้นทางสัญจรของคนในพื้นที่ก็คือ "ทางพลี" อันหมายถึงทางสาธารณะ ซึ่งมักเกิดขึ้นเองจากการใช้เดินทางไปมาหาสู่กันเป็นประจำเท่านั้น ทางพลีดังกล่าวจะมีอยู่สองลักษณะคือ
- ทางพลีที่ทอดขนานไปกับทิวเทือกเทือกเขาบรรทัดในแนวทิศเหนือ-ใต้ เป็นเส้นทางของความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรม ที่เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านต่างๆ ของชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด และ

  • ทางพลีเส้นทางในแนวทิศตะวันตก-ตะวันออก เช่นเดียวกับเส้นทางสัญจรตามสายน้ำลำคลอง ซึ่งเป็นเส้นทางที่แสดงถึงความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างชุมชนในบริเวณเชิงเทือกเขาบรรทัด กับชุมชนภายนอกอื่นๆ เช่น ชุมชนชาวนาและชุมชนบริเวณชายฝั่งทะเลสาบสงขลา มักจะใช้เพื่อตอบสนองความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับรัฐ เช่น การเสียภาษี การเกณฑ์แรงงาน และการติดต่อราชการอื่นๆ ทางพลีทั้งสองลักษณะจึงมีอยู่เป็นระยะๆ กล่าวเฉพาะทางพลีในแนวทิศตะวันตก-ตะวันออก ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้สำหรับติดต่อสัมพันธ์ระหว่างชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดกับชุมชนภายนอก บางเส้นทางได้ถูกขยับขยายและปรับปรุงให้ดีขึ้นในเวลาต่อมา รวมทั้งการพัฒนาให้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ของรัฐในช่วงระหว่างทำสงครามกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ จุดสิ้นสุดของทางพลีลักษณะนี้มักจะสิ้นสุดลงที่ตลาดนัด อันเป็นสถานที่นัดพบเพื่อจับจ่ายสินค้าของผู้คนจากชุมชนต่างๆ ของลุ่มทะเลสาบสงขลาในอดีต ซึ่งโดยปกติแล้ว ในตลาดจะไม่มีการแลกเปลี่ยนกันโดยตรง อย่างน้อยก็ได้รับการยืนยันว่านับเป็นเวลายาวนานกว่า 70-80 ปีมาแล้ว ที่ในตลาดนัดจะต้องซื้อขายสินค้ากันด้วยเงินตราเท่านั้น (14) อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าวเรื่องราวเกี่ยวกับโจรยังไม่ได้จางหายไป ด้วยการที่ชาวบ้านต่างให้ความหมายว่า วิธีโจรคือวิถีวัฒนธรรม และเป็นทางหาเลี้ยงชีพของลูกผู้ชายด้วยเหตุผลว่า "ไม่ลักจ่ายไหร" (15) ทำให้การลักปล้นยังคงมีอยู่อย่างเป็นปกติในบริเวณนี้ และมีการปราบปรามโจรผู้ร้ายทางแถบนี้โดยตำรวจภูธรขึ้นอีกครั้ง ในช่วงของทศวรรษ 2480 จนนำไปสู่เรื่องเล่าราวตำนานเกี่ยวกับ "ขุนพันธุ์ดาบแดง" อยู่ทั่วไปในกลุ่มคนยุคนั้น
    แต่โดยทั่วไปแล้วอำนาจของ "นาย" ก็จะยังคงกระจุกตัวอยู่แต่เฉพาะในเมือง ส่วนในชุมชนที่อยู่ห่างไกลออกไปอย่างชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดนั้น บรรดา "นาย" ที่ทำหน้าที่เป็นกลไกทางด้านอำนาจและการปกครอง จะเดินทางไปถึงต่อเมื่อจำเป็นหรือเมื่อมีคดีความสำคัญเกิดขึ้น หรือเมื่อต้องเข้าไปตั้งกองเร่งรัดเก็บภาษีต่างๆ บ้าง ซึ่งชาวบ้านต้องต้อนรับขับสู้กันอย่างดีที่สุด นอกเหนือไปจากนี้แล้วการปกครองและดูแลราษฎรก็อยู่ในอำนาจของกำนันและผู้ใหญ่บ้านในท้องที่จะจัดการเอาเอง ประมาณปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา จะพบว่าทางการได้ส่งตำรวจตำบลเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยถึงในตำบลและหมู่บ้านต่างๆ ซึ่งเมื่อเข้าพื้นที่ตำรวจเหล่านี้ก็มักจะพักอาศัยอยู่ที่บ้านของกำนัน และคบหาอยู่กับพวกนักเลงโตหรือกลุ่มนักเล่นพนัน ภาพลักษณ์ของบรรดาตำรวจตำบลจึงไม่สู้ดีนัก เช่น ชาวบ้านในชุมชนได้ทบทวนความหลังให้ฟังว่า "จ่าเกลี้ยงมาอยู่ชนแต่ไก่ ถือปืนสั้นอยู่กระบอกหนึ่ง มีลูกน้องสองคนถือปืนคาร์บิน ด้น (ดุ) ทั้งเพแหละ" (16) พฤติการณ์ของ "นาย" ในท่วงทำนองดังกล่าวก่อให้เกิดความหวาดกลัวขึ้นในกลุ่มชาวบ้าน และไม่ไว้ใจเจ้าหน้าที่ของรัฐมากขึ้น แต่ก็ไม่อาจแสดงออกได้มากไปกว่าที่ต้องถือตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มีมาแต่เดิม กล่าวคือ ถ้าหากว่า "นาย" มาถึงเรือนชานบ้านใด เจ้าบ้านจะต้องให้การดูแลอย่างดีที่สุด เช่น การหามะพร้าวอ่อนมาต้อนรับ และหากถึงมื้ออาหารก็ควรจัดเตรียมสำรับกับข้าวอย่างดี ด้วยการจับเป็ดไก่ที่เลี้ยงไว้มาทำแกงให้ "นาย" กินเป็นสำรับเท่านั้น
  1. เมื่อชุมชนลุกขึ้นสู้: "ไม่รบนาย ไม่หายจน"
    จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ. 2505 แนวคิดเกี่ยวกับคอมมิวนิสต์ค่อยๆ แพร่เข้ามาในชุมชนชาวนาบ้านเขาเจียกและบ้านสังแกระ จนสามารถอาศัยแกนนำที่เป็นชาวบ้านจากบ้านเขาเจียกกลุ่มหนึ่ง ออกไปเผยแพร่แนวความคิดสู่ชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด โดยเริ่มขึ้นที่บ้านนาเป็นเป้าหมายแรก เนื่องจากเล็งเห็นว่า สภาพพื้นที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นฐานในการเผยแพร่เข้าสู่หมู่บ้านอื่นๆ ต่อไปได้ ชาวนาจากบ้านเขาเจียกก็ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งแกนนำขึ้นในบ้านนาเพียงชั่วเวลาไม่นานนัก ก่อนที่จะค่อยๆ แพร่กระจายออกไปสู่หมู่บ้านอื่นในเวลาต่อมา กล่าวกันว่าในส่วนของเนื้อหาที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ใช้ในการสร้างแนวร่วมที่เป็นชาวบ้านอย่างได้ผลที่สุดก็คือ "ปลุกระดมให้คนเกลียดนาย" (17) เมื่อเหตุการณ์ "เสียงปืนแตก" เกิดขึ้นครั้งแรกในลุ่มทะเลสาบสงขลา เมื่อปี พ.ศ. 2507 (18) ที่บ้านควนปลง หมู่บ้านชาวนาใกล้ตัวเมืองพัทลุง เกิดขึ้นมาจากกลุ่ม "ลักเลง" หรือนักเลงที่เป็นแนวร่วมของคอมมิวนิสต์ตัดสินใจ "ยิงนายเอาปืน" ก่อนหลบหนีขึ้นสู่เทือกเขาบรรทัด เข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่เป็นชาวนาบ้านเขาเจียก บ้านสังแกระ และบ้านนา ซึ่งยังมีจำนวนไม่มากนัก และเคลื่อนไหวขยายมวลชนอยู่ในหมู่บ้านของตนเองเป็นหลัก
    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์จะเปิดฉากการใช้อาวุธต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐแล้ว กองกำลังติดอาวุธของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในพื้นที่จังหวัดพัทลุงและตรัง ก็ยังคงมีตัวเลขอยู่ประมาณ 100 คน และก็ต้องถูกติดตามและกดดันอย่างหนักจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนั้นยังมีการส่ง "นาย" ไปข่มขู่ครอบครัวที่มีสมาชิกเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์หรือชาวบ้านเรียกว่า "เข้าป่า" บีบบังคับไม่ให้ชาวบ้านติดต่อกับบุคคลเหล่านั้นอย่างเด็ดขาด
    แต่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็กลับขยายมวลชนในเขตชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาศัยวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอาศัยความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมที่ยึดมั่นอยู่ในสังคมเครือญาติของชุมชน ซึ่งโยงใยไปถึงความสัมพันธ์ในแบบ "เกลอ" และ "ดอง" ทำให้การ "จัดตั้ง" สามารถขยายออกไปได้อย่างน่าพอใจ และด้วยการแสดงออกที่เป็นมิตรกับชาวบ้าน มีการพูดจาที่ดี ให้การช่วยเหลือแรงงาน รวมทั้งการใช้นโยบายปราบโจรที่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านอย่างเด็ดขาด โดยการติดตามผู้ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว และยื่นข้อเสนอที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ การว่ากล่าวตักเตือนในครั้งแรก แต่หากพบว่ายังมีความประพฤติเป็นโจรอีกก็จะถูกสังหารทิ้ง เพียงเวลาไม่นานนักในหมู่บ้านต่างๆ ที่อิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์เข้าไปถึง ก็แทบไม่ปรากฏแม้กระทั่งการลักเล็กขโมยน้อยขึ้นเลย ในขณะที่ฝ่าย "นาย" ก็ไม่ละความพยายามในการปราบปราม ชาวบ้านที่ต้องสงสัยว่าให้ความร่วมมือกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ จะถูกรายงานพฤติกรรมจากผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) รวมถึงสายลับที่เป็นชาวบ้าน และหน่วยสืบราชการลับที่ปลอมตัวเข้ามาอยู่อาศัยหางานทำในหลายหมู่บ้าน จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2512 กองกำลังของทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และอาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.) เข้ามาตั้งฐานปฏิบัติการขึ้นในหมู่บ้านของชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดหลายจุดด้วยกัน มีชาวบ้านจำนวนมากถูกนำตัวเข้าไปสอบสวนภายในค่ายเหล่านี้ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 ชาวบ้านบางส่วนที่ถูกนำตัวไปสอบสวนในค่ายทหารบางแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ค่ายเกาะหลุง" ในตำบลบ้านนา และ "ค่ายท่าเชียด" ในตำบลตะโหมด หายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก
    ในช่วงแรกๆ เจ้าหน้าที่จะอธิบายกับญาติพี่น้องและครอบครัว ที่ไปสืบถามข่าวคราวว่าบุคคลเหล่านั้นได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านไปแล้ว และอาจจะแสดงความแปลกใจให้เห็นเมื่อได้รับการยืนยันว่ายังกลับไปไม่ถึงบ้าน แต่ในช่วงหลังจากนั้นเมื่อมีชาวบ้านหายสาบสูญภายหลังการถูกจับมากขึ้น ข่าวคราวเกี่ยวกับการฆ่าและเผาลงถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร ที่เรียกว่าการฆ่าลง "ถังแดง" ซึ่ง "นาย" ได้กระทำกับชาวบ้านที่ถูกจับตัวไป จึงเริ่มแพร่กระจายไปทั่วทุกหมู่บ้านในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัด ในขณะที่ทุกๆ วันจะมีข่าวคราวการจับชาวบ้านไปลง "ถังแดง" ให้ได้รับรู้กัน (19) ผลของการเข่นฆ่าครั้งใหญ่กรณีถังแดง ไม่เพียงทำให้เกิดความหวาดกลัวไปทั่วพื้นที่นั้น แต่ยิ่งเพิ่มความเกลียดชัง "นาย" ให้กับชาวบ้านในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะญาติพี่น้องและครอบครัวของผู้ถูกกระทำทารุณกรรม ผลักดันให้ชาวบ้านหันมาให้ความร่วมมือกับฝ่ายคอมมิวนิสต์ในรูปแบบต่างๆ ทั้งการเป็นแนวร่วมและคนหนุ่มสาวจำนวนมากหลั่งไหลขึ้นสู่ภูเขาจับอาวุธสู้รบในนามของทหารป่า บางครอบครัวถึงกับเข้าป่ากันทั้งพ่อแม่และลูกเล็กเด็กแดง จนกองทัพปลดแอกประชาชนในเขตเทือกเขาบรรทัดมีจำนวนหลายพันคน
    วลีที่ว่า "ไม่รบนาย ไม่หายจน" ถูกเปล่งขึ้นมาและถูกขานรับไปทั่วเทือกเขาบรรทัด จากการต่อต้าน "นาย" ก็กลายเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ จนเป็นสงครามซึ่งกินเวลายาวนานกว่าสองทศวรรษ ภายในสมรภูมิการสู้รบที่เป็นหมู่บ้านของพวกเขาเอง
    กล่าวได้ว่าตลอดช่วงเวลาอันยาวนานของการต่อสู้ ความพยายามของฝ่ายอำนาจรัฐในการเอาชนะสงครามกับฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธของชาวไร่ชาวนาของฝ่ายคอมมิวนิสต์ นอกเหนือจากการทุ่มเทเจ้าหน้าที่และยุทโธปกรณ์ต่างๆ อย่างมากมายเข้าปราบปรามตลอดเวลา ฝ่ายอำนาจรัฐยังพยายามช่วงชิงมวลชนจากฝ่ายคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยการพัฒนาพื้นที่ในด้านอื่นๆ เช่น การขยายบริการไฟฟ้า และการพัฒนาการคมนาคม มีการเปลี่ยนทางพลีเป็นถนนและปรับปรุงเป็นทางราดยางมะตอยในเวลาต่อมา รวมทั้งปรับปรุงสะพานไม้ซุงเป็นคอนกรีต ทั้งนี้ไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ในการเดินทางของชาวบ้านในชุมชนเท่านั้น แต่ฝ่ายอำนาจรัฐถือว่าเป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ที่มีเป้าหมายทางความมั่นคงเป็นสำคัญ
    นอกเหนือจากนั้น ยังมีการปรับปรุงการศึกษา การปกครอง และการสาธารณสุข ขยายจำนวนโรงเรียนประถมศึกษา การจัดตั้งโรงเรียนมัธยม ขยายเครือข่ายสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ ตลอดจนการยกฐานะตำบลในชุมชนเชิงเทือกเขาบรรทัดเป็นกิ่งอำเภอและอำเภอในภายหลัง เช่น ปี พ.ศ. 2518 เป็นต้นมามีการยกฐานะตำบลต่างๆ ขึ้นเป็นกิ่งอำเภอ เช่น กงหรา ศรีบรรพต รัตภูมิ และตะโหมด
    นอกเหนือจากนั้นเพื่อให้สามารถแย่งชิงมวลชนมาจากการแพทย์ของฝ่ายคอมมิวนิสต์ ที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามของ "หมอป่า" ซึ่งเข้ามามีบทบาทในการรักษาชาวบ้านแทนหมอพื้นบ้านในเขตเคลื่อนไหวของฝ่ายคอมมิวนิสต์ รัฐบาลจึงเร่งขยายบริการอนามัยชุมชนเข้าไปในหลายพื้นที่ รวมทั้งก่อตั้งโรงพยาบาลชุมชนขึ้นในเขตพื้นที่การปกครองใหม่ดังกล่าวด้วย
  2. ความขัดแย้งจากการใช้ทรัพยากร: อย่าปล่อยให้ชุมชนไม่มีที่ยืนในพื้นที่ของตนเอง การต่อต้านอำนาจรัฐของชาวบ้านทั้งที่ปรากฏในลักษณะเฉพาะตัว ในกรณีของยุคโจรและชุมโจร และในยุคสมัยของการร่วมกัน "รบนาย" ในนามของขบวนการเพื่อแย่งชิงอำนาจรัฐ นับเป็นปฏิกิริยาที่สะท้อนให้เห็นถึงการดำรงอยู่ควบคู่กันของอำนาจและการต่อต้าน (20) ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในขอบข่ายของความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับรัฐในปัจจุบัน มิได้เป็นเรื่องของการกดขี่ขูดรีดและความขัดแย้งทางอุดมการณ์ในรูปแบบเดิมๆ แต่เป็นประเด็นของการแย่งชิงทรัพยากร เช่นเดียวกับในอีกหลายชุมชนของสังคมไทย สำหรับปัญหาที่นำเสนอโดยเครือข่ายองค์กรชุมชนรักเทือกเขาบรรทัด (21) สะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งจากการใช้ทรัพยากร ซึ่งได้กลายเป็นประเด็นหลักของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนกับรัฐในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ นับตั้งแต่หลังยุคคอมมิวนิสต์เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างรัฐกับชาวบ้านในปัจจุบัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าอำนาจในการตัดสินใจอยู่แก่ฝ่ายอำนาจรัฐอย่างแทบจะสิ้นเชิง อันเป็นผลจากการที่รัฐเป็นฝ่ายผู้ยึดถือกฎหมาย และดูเหมือนใช้บทบาทของตัวกลางในฐานะผู้ควบคุมการใช้ทรัพยากรแทนสังคมโดยรวม ในขณะที่ชุมชนไม่มีทางเลือกอื่นใดมากนัก นอกจากการยอมจำนนต่อกฎหมายที่ "นาย" กำหนดขึ้น หรือการเรียกร้องด้วยการชุมนุมหรือการเดินขบวน ซึ่งเ

แสดงความคิดเห็น

« 2267
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ