บทความ

ตำนานการบิน

by Pookun @March,23 2007 22.30 ( IP : 58...230 ) | Tags : บทความ

ตอนที่1 ยานเหาะสมัยโบราณ

          เป็นตำนานเล่าขานของอารยธรรมครั้งอดีตกาล  ใช้สนับสนุนสมมุติฐานนี้  เช่น  เรื่อง  รามายณะของอินเดีย  อธิบายว่า  ยานเหาะในครั้งนั้นมีขนาดใหญ่  แบ่งเป็น 2 ชั้น มีหน้าต่าง หลังคาเป็นโคมยอดแหลม  บินได้ด้วยความเร็วลม  ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ควบคุม  เดินทางไปในท้องฟ้าหรือหยุดนิ่งในอากาศได้

          บันทึกได้กล่าวต่อว่า  ยานเหาะนี้โผบินไปเหนือเมฆ  มองเห็นทะเลดูคล้ายบ่อน้ำเล็กๆ  กษัตริย์ใช้ในยามสงคราม  และเป็นเครื่องเล่นในหมู่ชนชั้นสูง

          เรื่องราวในประเทศจีน 1766 ปีก่อนคริสตกาล  จักรพรรดิเฉินกัว  โปรดให้  ไคคุง ชี  สร้างยานเหาะสำหรับใช้เดินทางไปยังเมืองเหอหนาน  ต่อมาทรงรับสั่งให้ทำลายยานดังกล่าว  ความลับเรื่องกลไกยานเหาะจึงไม่ไปถึงมือศัตรู

          ข้อพิสูจน์ที่น่าคิดมีอยู่ว่า  คำศัพท์ภาษาจีนอันหมายถึงยานเหาะ  คือ  เฟยจี =  ยานเหาะ  นั้นชาวจีนไม่ได้สร้างคำใหม่  เครื่องบิน หรือ Aero plane เป็นคำที่ปรากฏใช้เมื่อต้นศตวรรษนี้


ตอนที่ 2 ยุคการบินจากมโนภาพ

                กล่าวกันว่า  อารยธรรมโบราณส่วนหนึ่งได้สลายไปครั้งน้ำท่วมโลก 3000 ปีก่อนคริสตกาล  ส่วนที่เหลืออยู่ได้แสวงหาความรู้ด้ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันเป็นประโยชน์และโทษเรื่อยมา  สร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ต่างๆสามารถเชื่อมโยงปัญหาภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเข้าหากัน  การใช้ความเข้าใจบวกกับมโนภาพชั่วแล่น  นำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งอันเป็นประโยชน์ต่อโลก

                ในยุคนี้  มนุษย์ฝันอยากบินเหมือนนก  เทพนิยายโบราณของกรีกกล่าวถึงมนุษย์นก  ไคดาลัสและ อิคาลัส  นำขนนกขนาดใหญ่ทาขี้ผึ้งติดกับแขน  เทพนิยายของไทยก็มีเรื่อง  กินรี  เป็นชนเผ่าหนึ่งอาศัยป่าหิมพานในกรุงไกรลาศ  ต่อมาได้สูญพันธ์เพราะพราน “บูน” จับตัวไปถวายพระราชา


ตอนที่ 3 ผู้สร้างแนวความคิดของการบิน

                ใน ค.ศ.1497 (พ.ศ. 2040)  มีผู้พบแผ่นกระจกจำหลักลายภาพเป็นโครงปีกค้างคาว  มีร่างคนกำลังสวมใส่และมีสายรัดตัว  ส่วนอีกภาพหนึ่งเป็นยานเหาะรูปชามอ่าง  มีกลไกบังคับบินได้ด้วยมือและเท้า  อื่นๆอีกหลายสิบภาพรวมถึงภาพหนึ่งแสดงจานบินชนิดขยับปีกด้วยกลไกพลังของมนุษย์  ผู้สร้างภาพเหล่านี้คือ ลีโอนาโด  ดาวินชี  ของอิตาลี  แนวความคิดของท่านคือ  การสร้างพื้นฐานความรู้ด้าน “ศาสตร์ และศิลป์”  ให้กับเราใช้เป็นแนวความคิดในเชิงวิศวกรรมศาสตร์ต่อๆมา

                ตัวท่านผู้นี้เป็นนักปรัชญาและนักเขียนภาพจากธรรมชาติ  แต่ท่านใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหางเสือเรือและเข็มทิศ  ประกอบวิชาการที่หาได้ใช้นำทางท่องเที่ยวสู่แดนซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จัก

                มีผู้พบเห็นบันทึกของท่านเขียนไว้ว่า ------“ ถ้ามนุษย์จะบินได้รูปร่างของยานพาหนะนั้นควรมีลักษณะอย่างไร? “-------และ “เครื่องมือชนิดใดที่ต้องคิดขึ้นมาเพื่อใช้สร้างตัวพาหนะที่ทำให้เราบินได้ “ ------ ท้ายของบันทึกได้สรุปว่า  -------“  ผู้อุทศตนไปในทางสร้างสรรค์  หากขาดความรอบรู้ของพื้นฐานวิทยาศาสตร์  ก็เปรียบเสมือนกะลาสีเรือใช้เรือไม่มีหางเสือและเข็มทิศ  ซึ่งจะไม่มีโอกาสได้รู้ว่า  เขากำลังแล่นเรือไปไหน”-----

                วัยชีวิตในงานของท่านอยู่ระหว่างปี  ค.ศ.1452-1519  (ประมาณ พ.ศ.1995-2062)  อย่างไรก็ตาม  ความคิดจากมโนภาพครั้งนี้ถูกต่อต้านโดย  ติโต  ติซีเนลลี  ในปี ค.ศ. 1613 (พ.ศ.2156)  ซึ่งอ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะบินได้ด้วยเครื่องจักรกล  มีคำกล่าวโต้แย้งดังนี้

                -----“ข้าพเจ้าตัดสินใจโต้แย้งเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ในอนาคตจะเหาะได้ด้วยเครื่องจักรกลโดยการนำกลุ่มวัตถุนั้นมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นยานเหาะและมีคนเข้าไปอยู่ข้างในจะเหินขึ้นฟ้าได้  ข้าพเจ้าไม่ใช่คนดื้อดึง แต่ขอให้ความเห็นว่า  ไม่มีผู้อ่านคนใดจะรับความเห็นนี้ของ  ลีโอนาโด  ดาวินชี  ได้”----

                ผู้ต่อต้านเรื่องการบินของมนุษย์ยังมีอีก  ในผี ค.ศ.1903 (พ.ศ.2446)  ศ.ไซมอน  นิวคอมบ์  นักดาราศาสตร์ชาวสหรัฐ  ได้โต้แย้งว่าเครื่องจักรกลหนักกว่าอากาศนั้นเป็นไปไม่ได้  ทำให้มีผู้คิดยานบินเบากว่าอากาศออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง


ตอนที่ 4 และ 5  เบากว่าอากาศ  VS  หนักกว่าอากาศ

                ประวัติศาสตร์การบินได้บันทึกไว้ว่า  เมื่อศตวรรษที่ 13  บาทหลวงชื่อ  Roger  Bacon  นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ  ได้ชี้ทางนำไปสู่การใช้บอลลูนและเรือเหาะอันเป็นยานบินเบากว่าอากาศเป็นครั้งแรก  โดยเอกสารดังกล่าวได้มีผู้นำไปลงพิมพ์เผยแพร่ในฝรั่งเศสเมื่อ ค.ศ.1542 (ประมาณ พ.ศ.2085)  คือหลังจากเขาเสียชีวิตแล้ว 250 ปี  ได้อธิบายลักษณะจำเพาะของยานบินนี้ว่า ----“มีรูปทรงกลมโลหะบางเบา  ภายในบรรจุด้วย ETHEREAL  AIR  “----ซึ่งต่อมา  John Wilkinsได้สนับสนุนหลักการนี้โดยอธิบายว่า ----“บรรยากาศโลกเบื้องบนเป็นสุญญากาศ  เบื้องล่างมีความหนาแน่น  หากจะนำอากาศเบื้องบนมาใส่ในที่บรรจุก็จะลอยตัวได้

                  เรามาดูกันว่า  การแข่งขันระหว่าง เบา  กับ  หนัก  ใครชนะ !!!

เบา  ค.ศ.1650 (พ.ศ.2193)  Otto Von  Guericke ประดิษฐ์เครื่องปั๊มลมสำเร็จ  ทำให้  Francesco De Lana-Terzi  เกิดแนวความคิดใช้ลูกกลมโลหะทองแดง 4 ลูก  ภายในเป็นสุญญากาศ  เป็นการทำยุคเรือเหาะเบากว่าอากาศครั้งแรกให้เป็นความจริงเมื่อ ค.ศ.1670 (พ.ศ.2213)

หนัก  ในศตวรรษเดียวกัน  เซอร์ไฮราม  แมคซิม  ได้อาศัยพื้นฐานจากมโนภาพการบินของลีโอนาโด ดาวินซี  มาประกอบการศึกษาเรื่องปีกนกและตั้งคำถามว่า “ถ้าจะบินได้ ปีกอย่างไหนระหว่างปีกตรึง (Fixed Wing)  และปีกขยับ(Flapping Wing)  จะเหมาะสมกว่ากัน? และจะบังคับอาการเคลื่อนไหวขณะบินอยู่ในอากาศได้อย่างไร”

                ระหว่างที่ยังหาหนทางเลือกไม่ได้  ปรากฏว่า  Lourenco De GusmÄoชาวโปรตุเกส  ได้ออกแบบนกยักษ์ชื่อ  PASSARDA ในลักษณะเครื่องร่อนทดลองที่กรุงลิสบอน  เมื่อค.ศ.1709(พ.ศ.2252)  แต่ยังทำไม่สำเร็จ  และแนวความคิดครั้งนี้  เป็นแนวทางแยกเพื่อชี้นำหนทางเลือกได้อีกทางหนึ่ง

                แนวความคิดเรื่องเรือเหาะยังเดินต่อ  เมื่อค.ศ.1781 Jean-Pierre Blanchard แสดงภาพเรือเหาะใช้ใบพาย 6 ใบ  มีคนบังคับทิศทาง  นับเป็นต้นแบบแนวความคิดของบอลลูนต่อมา

                ความฝันของบอลลูนเป็นจริงเมื่อ  พี่น้องชาวฝรั่งเศสตระกูล MONTGOLFIER  สร้าง  HOT-AIR บอลลูนลอยขึ้นสู่อากาศ  เมื่อ 19 กันยายน ค.ศ.1783 (พ.ศ.2326)  ผู้โดยสารคือ  เป็ด,ไก่,แกะ  จำนวนหนึ่ง  และเมื่อ 21 พ.ย. ต่อมาปีเดียวกัน  JEAN FRANCOLS และ PILÂTRE DE ROZIER ได้นำคนขึ้น  HOT-AIR  ลอยตัวในอากาศสำเร็จเป็นครั้งแรก

                บอลลูนลอยได้แล้วแต่ยังเคลื่อนไหวและบังคับทิศทางไม่ได้  ต่อมาปี ค.ศ.1793(พ.ศ.2336) MEUSNIER  วิศวกรของกองทัพบกฝรั่งเศสตายในสนามรบ  ผลงานของเขามีผู้ค้นพบแผนแบบบอลลูนขนาดยาว 260 ฟุต  ขับเคลื่อนด้วยแรงคนหมุนใบพัด 3 ชุดขนานกัน  บังคับทิศทางได้  และ  SIR GEORGE  CAYLEY ได้ให้แนวความคิดขั้นต่อมาโดยใช้เครื่องยนต์ไอน้ำขับใบพัดและใช้หางเสือบังคับทิศทาง  อันเป็นการเปิดทางนำแนวความคิดใช้เครื่องจักรกลมาร่วมกับการบินตามแนวความคิดของ ”ลีโอนาโด  ดาวินซี”  ซึ่งทฤษฎีนี้ได้รับการพิสูจน์โดย PIERRE  JULLIEN  สร้างเรือเหาะหมุนใบพัดด้วยลานนาฬิกาขนาดย่อส่วย  และต่อมา  HENRI GIFFARD  จึงสร้างขนาดเท่าของจริง  โดยใช้เครื่องยนต์ไอน้ำขนาด 3 แรงม้า  บินระหว่าง  PARIS_TRAPPES  สำเร็จเมื่อ ค.ศ.1852(พ.ศ.2395)  ทำความเร็วเดินทางได้ 6 ไมล์ต่อชั่วโมง

หนัก      ยานบิน เบา-หนัก  มาถึงทางเลือกโดย  SIR GEORGE  CAYLEY เมื่อเขาเป็นผู้เสนอแนวความคิดเรื่องยานบินอย่างกว้างขวาง  ในปี ค.ศ.1796(พ.ศ.2339) มีทั้งบอลลูน  เครื่องร่อน  เครื่องบินปีกตรึง  และปีกหมุน  ผลงานนี้เขียนเป็นภาพสเก็ตจำหลักลงบนจานเงิน  นอกจากนี้บังมีภาพแสดงผลงานวิจัยการทดลองยานบินหนักกว่าอากาศ  แนะนำวิธีวัดค่าของแรงยกปีกโดยการชดเชยแรงยกที่เกิดขึ้นด้วยตุ้มน้ำหนัก  และพร้อมกับแนะนำวิธีปรับมุมปะทะปีกด้วย

                ในปี ค.ศ.1857 (พ.ศ.2400)  JEAN-MARIE  LE  BRIS  สร้างเครื่องร่อน  รูปร่างคล้ายนกทะเล ALBRATROS  ตามแนวความคิดของการค้นพบการบินร่อนได้นานของนกอัลบราทรอส  โดย เซอร์ไฮราม  แมคซิม  เครื่องร่อนของเขาส่งขึ้นอากาศโดยใช้รถเทียมม้าสำหรับลากจูงวิ่งขึ้น  แต่ยังบินไปได้ไม่ไกลนัก

                ในปี ค.ศ.1874(พ.ศ.2427)  FÉLIX DU TEMPLE  สร้างเครื่องบินโดยใช้เครื่องยนต์ชนิด HOT-AIR  แนวความคิดนี้นับเป็นต้นแบบของยานบินหนักกว่าอากาศ  ชนิดใช้เชื้อเพลิงแก๊สโซลีนโดยมีนักบินบังคับเป็นครั้งแรก  แต่มีน้ำหนักมากยังบินไม่ได้

เบา          อนาคตของเรือเหาะเริ่มสดใสเมื่อ  RENARD &KRABS  หันมาใช้พลังขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า  ในปี ค.ศ.1884(พ.ศ.2427)  ทำความเร็วได้ 14.5 ไมล์ต่อชั่วโมง  และบังคับทิศทางได้

                ในระหว่างนี้  เริ่มมีเครื่องยนต์แก๊สโซลีนใช้แล้ว  GRAF FERDINAND VON ZEPPELIN  ชาวเยอรมัน  ได้สร้างเรือเหาะยาว 770 ฟุต  บรรทุกผู้โดยสาร 24 คน  ทำความเร็วได้  68 ไมล์ต่อชั่วโมง  บินเส้นทางเยอรมัน-อเมริกาใต้

                ต่อมาในปี ค.ศ.1898(พ.ศ.2441)  ALBERTO SANTOS-DUMONT  ชาวบราซิล  ใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีนติดตั้งกับเรือเหาะ  ประกาศเป็นความสำเร็จเมื่อ 19 ต.ค. ค.ศ.1901 (พ.ศ.2443)  สร้างใช้งาน 14 ลำ

หนัก      ค.ศ.1884 (พ.ศ.2427)  ALEXANDER  MOZHAISKY  สร้างเครื่องบิน 2 เครื่องยนต์  เป็นเครื่องยนต์ไอน้ำกำลังเครื่องละ 30 แรงม้า  เครื่องมีน้ำหนักเกือบ  1000  กิโลกรัม  ขึ้นสู่อากาศได้เล็กน้อยแล้วก็ตก

                ต่อมา ค.ศ.1896(พ.ศ.2439)  นักประดิษฐ์ชาวเยอรมัน  OTTO LILIENTHAL  สร้างเครื่องร่อนขึ้นทดลองด้วยมนุษย์  เพื่อพิสูจน์ว่า  มนุษย์สามารถบินได้ด้วยยานบินหนักกว่าอากาศ  การทดลองกระทำกว่า 2000 เที่ยวบิน  ครั้งสุดท้ายเขาตัดสินใจใส่เครื่องยนต์เป็นกำลังขับเคลื่อน  ในที่สุดเครื่องตกเขาเสียชีวิตเมื่ออายุเพียง 48 ปี

เบา          ในที่สุดแระเทศซึ่งเข้าสู้กับงานการพัฒนาเรือเหาะก็จะเหลืออยู่เพียง อิตาลี,อังกฤษ,ฝรั่งเศส  และ เยอรมัน  แต่ละประเทศมีผลงานดังนี้

-อิตาลี  ค.ศ.1912 (พ.ศ.2455)  สร้างเรือเหาะ M-1  2 เครื่องยนต์กำลังขับเครื่องละ 250 แรงม้า  ยาว 83 เมตร  ลำตัวโต 17 เมตร  ออกบินได้สำเร็จ

-เยอรมัน  ค.ศ.1914(พ.ศ.2457)  สร้าง  ZEPPELIN L3ใช้เครื่องยนต์ 200 แรงม้า  ลำตัวยาว 158 เมตร  โต 14.9 เมตร  สำเร็จ

-อังกฤษ  ค.ศ.1915(พ.ศ.2458)  สร้าง  SS-3 ใช้เครื่องยนต์เรโนล 70 แรงม้า  ยาว 43.7 เมตร  โต 8.5 เมตร  สำเร็จ

                *ทั้งอังกฤษและเยอรมันมีผลงานสร้างออกมาต่อเนื่องขนาดใหญ่ขึ้น  การพัฒนาเรือเหาะมายุติลงเมื่อเรือเหาะของเยอรมันเกิดอัปปางในสหรัฐโดยไม่ทราบสาเหตุ  ข้อเสียของเรือเหาะก็มีมาก

หนัก      ปีแห่งความสำเร็จของยานบินหนักกว่าอากาศ  เริ่มในปี ค.ศ.1902(พ.ศ.2445)  โดยพี่น้องตระกูล  WRIGHT ได้ศึกษาข้อมูลของ  LILIENTHAL  และของ  MATTHEN BOULTON  ชาวอังกฤษ  พบว่าการควบคุมการเคลื่อนไหวของเครื่องร่อนใช้การเบี่ยงตัว  แต่ของ  BOULTON  ใช้  WARPPING  ทำให้การบังคับบินคล่องตัว  ดังนั้น ในปี ค.ศ.1903(พ.ศ.2446)  WRIGHT ได้สร้างเครื่องร่อนปีก 2 ชั้น  ออกทดลองในลักษณะเป็นว่าวขนาดเล็กไม่มีคนบิน

                ต่อมาเครื่องที่ 2  มีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมกับใส่พื้นบังคับเรียกว่า  ELEVATOR  ยื่นออกไปข้างหน้า  และติดตั้ง  RUDDER  อยู่ส่วนท้ายเป็นเครื่องที่ 3  ผ่านการทดลองกว่า 100 ครั้ง  จึงเริ่มใช้คนบังคับการเคลื่อนไหวในอากาศได้เป็นผลสำเร็จ  เครื่องต้นแบบตัวจริงที่ประกาศความสำเร็จของประวัติศาสตร์การบินหนักกว่าอากาศด้วยมนุษย์ครั้งแรกของโลกเป็นเครื่องที่ 4  ใช้เครื่องยนต์แก๊สโซลีนของรถมอเตอร์ไซมาดัดแปลง  โดยอาศัยความช่วยเหลือของ  CHARLIE TAYLOR  ช่างจักรยานยนต์  ตัวเครื่องยนต์หนัก 200 ปอนด์(90 กก.) ให้กำลัง 12 แรงม้า  แต่ต้องใช้กำลังหมุนใบพัด,ลูกรอก  และระบบโซ่อีก 2 ชุด  กำลังจึงใช้เพียง 9 แรงม้า  ผลการทดลองบิน 4 เที่ยว  ปรากฏว่าเที่ยวที่บินได้ไกลสุดคือบินสวนทางลม  ทำความเร็วได้ 24 ไมล์ต่อชั่วโมง  ได้ระยะทาง 852 ฟุต  เครื่องนี้ใช้ชื่อ  “ KITTY HAWK FLYER “ ในการทดลองบินเที่ยวที่ 5  เครื่องตกชำรุดเสียหายเพราะกระแสลมแรงพัดพัง  ใช้บินต่อไปไม่ได้

                สำหรับเครื่องต้นแบบตัวที่ 5  สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447)  ใช้เครื่องยนต์กำลังสูงกว่า  พัฒนาให้บินขึ้นจากรางปล่อย (CATAPULT)

หนัก      “WRIGHT”

                ทดลองบินกว่า 100 เที่ยว  บินอยู่นาน 5 นาที

                ค.ศ.1905 (พ.ศ.2448)  สร้างเครื่องที่ 6 บินได้นาน 38 นาที  ระยะทางไกล 24 ไมล์  ได้นำไปแสดงการบินประเมินค่าการใช้ทางทหารให้กองทัพบกสหรัฐ  ดัดแปลงเป็น 2 ที่นั่ง  ปรากฏว่าเครื่องตกชำรุด  ผู้โดยสารเสียชีวิต  นักบิน(WILBUR)บาดเจ็บสาหัส  ดังนั้นงานแสดงการบินในทวีปยุโรป ค.ศ.1908 (พ.ศ.2451)  จึงมีแต่  ORVILLE  แค่ผู้เดียว  ตกลงหนักชนะเบา

ผลงานการบินในภาคพื้นยุโรป

                ในฝรั่งเศส  มี 2 รายที่เครื่องบินของเขาบินได้สำเร็จ

                -รายแรก  คือ  VOISIN  ค.ศ.1907 (พ.ศ.2450)  เป็นเครื่องบินปีก 2 ชั้น

                -รายที่ 2 คือ  FARMAN  ค.ศ.1909 (พ.ศ.2452)  เป็นเครื่องบินปีก 2 ชั้น

                ในอังกฤษ  ค.ศ.1909 (พ.ศ.2452)  A.V.  ROE  ประกาศความสำเร็จด้วยเครื่องบินปีก 3 ชั้น  บุด้วยกระดาษ  กำลังเครื่องยนต์ 9 แรงม้า  และต่อมาได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสร้างเครื่องบินชื่อ  “AVRO  COMPANY”


ตอนที่ 6  เครื่องยนต์มหัศจรรย์ยุคแรก

                การพัฒนาเครื่องยนต์ของอากาศยานในยุคแรกมีฝรั่งเศสและเยอรมัน  ฝรั่งเศสพบความสำเร็จก่อนด้วยเครื่องยนต์  ROTARY ใช้เสื้อสูบตรึงกับใบพัดและหมุนรอบ  CENTRAL  CAMSHAFT  ให้แรงบิดสูง  ข้อเสียก็คือ  กินเชื้อเพลิงและหล่อลื่นมาก  หากใช้ฐานสูงจะมีผลต่อ  GYROSCOPIC  EFFECT  เมื่อบินผาดโผน

                ทางด้านเยอรมันเน้นการพัฒนาเครื่องยนต์แถวเรียง (IN-LINE)  ระบายความร้อนด้วยของเหลว  การพัฒนาจบลงไม่เหมือนกัน  ROTARY ได้แรงสูงถึง 200  แล้วจึงหายไป  ส่วน  IN-LINE  ของเยอรมันได้พัฒนาต่อไปเป็น  RADIAL  และ  LIQUID-COOLED  V-ENGINE

                การบินของอังกฤษยุคแรก  ค.ศ.1915 (พ.ศ.2458)  ต้องพึ่งเครื่องยนต์ของฝรั่งเศส  โดยนำเข้าและสร้างตามสิทธิบัตร(UNDER  LICENCE)

                ปี ค.ศ.1917 (พ.ศ.2460)  บริษัท  PACKARD  MOTOR  CORP. ผลิตเครื่องยนต์  V-12  LIBERTY ให้กำลัง 400 แรงม้า

                เทคนิคการสร้างและการใช้วัสดุการบินเจริญรวดเร็วมาก  จากไม้และผ้าบุผิว  มาเป็นลำตัวไม้อัดแบน  MONOCOQUE และต่อมาเป็น  STEEL  TUBE  FRAME  หุ้มด้วยผ้าบุ  และเปลี่ยนผ้าบุมาใช้แผ่นบุผิวโลหะ ALUMINUM  ALLOY  แทน  พร้อมการพัฒนากรรมวิธีการผลิตโครงสร้างที่เกิดใหม่


ตอนที่ 7  ระบบบังคับการเคลื่อนไหวในอากาศหรือการบินในปัจจุบัน

                ปัญหาระบบกลไกบังคับบิน  เกิดขึ้นพร้อมกับความเป็นมาของอากาศยาน  แนวความคิดยุคแรกใช้ปีกบิด( WARP  WING)  ความคุมการบังคับเอียง(AILER)  สำหรับหางเสือเลี้ยวนำความคิดมาจากเรือ  และแพนหางขึ้น-ลง ใช้แพนหางระดับ(ELEVATOR)  ฝรั่งเศสเป็นผู้ได้ข้อยุติโดยการนำกลไกบังคับแบบพวงมาลัยและแบบคันโยก(STICK) ใช้กระเดื่องเท้าบังคับเลี้ยงซ้าย-ขวา  การเชื่อมต่อกันใช้ระบบลวดบังคับและคันชักคันส่ง(PUSH-PULL  ROD) ปัจจุบันการบังคับถีอเป็นระบบสากลซึ่งต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน

                ต่อมาเครื่องบินมีความเร็วสูงขึ้น  พื้นบังคับใหญ่  แข็งแรง  มีภารกรรมมาก  จึงเกิดระบบเสริมช่วยแรงบังคับ  แทนพลังกล้ามเนื้อของนักบิน  เช่น  ระบบไฮดรอลิก  ระบบนี้ไม่มีแรงตอบกลับจากพื้นบังคับ  จึงต้องใช้แรงตอบเทียม(FORCE  FEEL) เพื่อป้องกันนักบินใช้แรงบังคับเกินขีดจำกัดความแข็งแรงซึ่งโครงสร้างจะรับไหว  และระบบดังกล่าวนี้  สามารถใช้  ELECTRICAL  IMPULSE  แทน  CABLE และ  PULL  ROD ได้  โดยส่งผ่านระบบสายไฟฟ้า  ระบบนี้เรียกว่า  FLY-BY-WIRE

                ผลจากการใช้  FLY-BY-WIRE สามารถใช้  COMPUTER สั่งการผ่าน  MICRO  PROCESSOR ไปควบคุมและอำนวยแรงที่พื้นบังคับได้  คันบังคับจึงมีน้ำหนักเบาและเล็กลง  และกลับมาใช้  JOYSTICK แทนได้  สายการบิน  AIRBUS  ของฝรั่งเศส  ได้นำระบบนี้มาใช้ใน  AIRBUS A-3  เป็นครั้งแรกในโลกของการบินโดยสาร

แสดงความคิดเห็น

« 5248
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ