บทความ

ข้อคิดจากการกลับมาของนิตยสารช่อการะเกด...โดย พิเชฐ แสงทอง

by Pookun @June,20 2007 23.35 ( IP : 222...13 ) | Tags : บทความ

ข้อคิดจากการกลับมาของนิตยสารช่อการะเกด...โดย พิเชฐ แสงทอง
« เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:39:32 PM »


เวลานี้ดูเหมือนทุกอณูเนื้อขององค์อินทรีย์ทางวรรณกรรมจะเต้นตื่นกับการกลับมาครั้งใหม่ของช่อการะเกด เพราะพวกเราหวังว่า ช่อการะเกด จะสร้าง “สิ่งดีๆ” ให้กับวงการวรรณกรรมในสองระดับด้วยกัน  ระดับที่หนึ่งคือ นักเขียนในฐานะปัจเจกชน จะ “ผ่านเกิด” ขึ้นมาเป็นที่จับตามองของสังคมได้มากขึ้น อีกระดับหนึ่งคือ ช่อการะเกด จะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยวงการวรรณกรรมให้หลุดพ้นจากภาวะจิตเภทที่ (เราเข้าใจว่า) หลอกหลอนวงการวรรณกรรมมาอย่างน่าเป็นห่วง นั่นคืออาการจิตเภทที่เรียกกันว่า “วิกฤติวรรณกรรม”

ผมเองก็ดีใจที่ช่อการะเกดจะกลับมา และยิ่งมีความหวังในเชิงธุรกิจของนิตยสารหัวนี้มากขึ้นเมื่อกลับมาพร้อมกับลมใต้ปีกอันแรงจัดของสำนักพิมพ์พิมพ์บูรพา ซึ่งเป็นแขนงหนึ่งของทีวีบูรพา ผู้จัดรายการโทรทัศน์น้ำดีชื่อดังของเมืองไทย เพราะเชื่อว่าพิมพ์บูรพาจะทำให้หลุดพ้นจากภาระเรื่องผลประกอบการที่เคยฉุดให้ช่อการะเกดอำลามาแล้วทั้ง 2 ยุค

แต่ผมก็อยากให้เราได้ตั้งสติ และคิดกับ “สิ่งดีๆ” ทั้ง 2 ซึ่งเราหวังจากช่อการะเกดให้จริงจังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้าง “ภาระทางใจ (อันหนักหน่วง)” ให้กับสุชาติ สวัสดิ์ศรี และพิมพ์บูรพามากเกินไป

สิ่งดีๆ สิ่งที่หนึ่ง เราหวังว่านักเขียนในฐานะปัจเจก เมื่อถูกโฟกัสจากช่อการะเกดแล้ว จะกลายเป็นนักเขียนที่ได้รับการยอมรับจากสังคมมากขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือ เราอยากให้ช่อการะเกดเป็นโรงงานหรือแปลงเกษตรที่ส่งผลิตภัณฑ์ป้อนวงการวรรณกรรม  ความหวังข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่าวงการเรารู้สึกว่า 8 ปีหลังจากช่อการะเกดฉบับที่ 41 ยุติไม่มี “นักเขียนคุณภาพ” หรือ “นักเขียนรุ่นใหม่” เกิดขึ้นมาประดับวงการเลย เป็น 8 ปีแห่งเหว่ว้าเดียวดายที่เรารู้สึกเหมือนชีวิตวรรณกรรมของเราแห้งเหี่ยวลงไปเรื่อยๆ

แต่มันเป็นเช่นนั้นหรือ? ผมคิดว่ามันตรงกันข้ามกันเลย  8 ปีที่ช่อการะเกดหายไป ยังมีนักเขียนคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาอย่างคับคั่ง จนผมเองซึ่งเริ่มสนใจอ่านและเขียนวรรณกรรมในช่วงต้นทศวรรษที่ 2530 รู้สึกเลยว่านักเขียนรุ่นทศวรรษที่ 2540 นั้นจะมากมายหลายหลากทั้งคุณภาพและปริมาณมากกว่าในรุ่น 2530 เสียอีก

บรรยากาศที่ไร้ช่อการะเกดนี่เองที่ผลิตนักเขียนเชิงเสียดสีได้อย่างถึงแก่นอย่างชาติวุฒิ บุณยรักษ์ ผลิตนักเขียนแนวหลังสมัยใหม่อย่างปราบดา หยุ่น  อนุสรณ์ ติปยานนท์  นักเขียนที่ใช้กลวิธีกระแสสำนึกได้อย่างโดดเด่นอย่างอุทิศ เหมะมูล นักเขียนที่มีเทคนิคการเล่าเรื่องที่เกลี้ยงเกลา รวบรัด กระชับ และง่ายอย่างภาณุ ตรัยเวช  อุเทน พรมแดง นักเขียนที่มีความคิดคมคายอย่างนก ปักษนาวิน  จรรยา อำนาจพันธุ์พงษ์  ปานศักดิ์ นาแสวง นักเขียนที่สะท้อนเหตุการณ์ความคิดด้วยการเล่าเรื่องที่ซื่อใสอย่างวิน วนาดร  แขคำ “ปั้นคำ” แสงศรัทธา ณ ปลายฟ้า  ธาร ธรรมโฆษณ์  “ฉมังฉาย”  จรัญ ยั่งยืน  นักเขียนที่ทดลองวิธีการนำเสนอที่ไม่เคยซ้ำผ่านมุมมองแบบมุสลิม (ซึ่งในสมัยช่อการะเกดแทบจะไม่มีเลย) เช่น อนุสิทธิ หวังเกษม ชุมพล ลาวัง และนักเขียนในกลุ่ม โรตีมะตะบะ  ตลอดจนนักเขียนหญิงที่สะท้อนมุมมองเชิงเพศสภาพได้ดีเด่นอย่างอุรุดา โควินท์ การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์  พิณประภา ขันธวุธ

นักเขียนรุ่นหลังช่อการะเกดยุคที่สองเหล่านี้มีตัวตนขึ้นมาในช่วงที่สื่อหนังสือพิมพ์เริ่มลดพื้นที่ให้กับวรรณกรรม แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องสั้น และบทกวี ขณะที่สื่ออินเตอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย พร้อมๆ กับรางวัลวรรณกรรมที่เกิดขึ้นมากมาย

ตัวตนที่ชัดเจนแล้วในทุกวันนี้ของพวกเขายืนยันว่าวงการวรรณกรรมเองก็มีกลไกในการปรับตัวเพื่อตอบสนองกับพื้นที่ทางวรรณกรรมแบบใหม่ๆ โดยเฉพาะสื่ออินเตอร์เน็ตนั้นถือว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญมาก วงการวรรณกรรมรู้จักใช้พื้นที่แบบนี้ทดแทนภาวะโหยหาการรวมกลุ่ม รู้จักใช้เพื่อการเผยแพร่และขัดเกลาคุณภาพ อันชวนให้รู้สึกว่าคนหนุ่ม (สาว) ที่เฝ้ามองคนหนุ่ม (สาว) ด้วยกันเองมีความหมายมากกว่าในแง่ของการรู้จักอารมณ์ร่วมของยุคมากพอที่จะทำให้พวกเขาสร้างงานอันเป็นเอกลักษณ์ของยุคสมัยของพวกเขาอย่างแท้จริงได้
สิ่งดีๆ สิ่งที่สอง คือเราหวังให้ ช่อการะเกด รักษาเราให้หายจากภาวะจิตเภทที่เรียกกันว่า “วิกฤติวรรณกรรม” ผมอยากเรียนว่าถ้าหากได้ย้อนไปดูนิตยสารโลกหนังสือในช่วงปี 2524 เป็นต้นมา สุ้มเสียงบ่นว่าด้วยวิกฤติตลาดวรรณกรรมนั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว และมันก็เป็นปรากฏการณ์ที่ต่อเนื่องตลอดมาจนถึงยุคถนนหนังสือ  เพื่อนนักอ่าน  ไรเตอร์  จุดประกายวรรณกรรม กระทั่งปัจจุบัน  สิ่งนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันว่าช่อการะเกดอาจช่วยไม่ได้เท่านั้น แต่ยังบอกเราว่ามันต้องมีกลไกอื่นที่ไม่ใช่ “อ้ายตัวร้าย” ชื่อทุนนิยม บริโภคนิยม หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่เราเข้าใจเป็นแน่

มันต้องมี “อ้ายตัวร้าย” อื่นที่บ่อนเซาะวรรณกรรมของเราอยู่ โดยเฉพาะอ้ายตัวร้ายที่เกาะกุมอยู่กับความคิดเกี่ยวกับวรรณกรรมสร้างสรรค์ ความคิดเกี่ยวกับอำนาจวรรณกรรม หรืออื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็น “อ้ายตัวร้าย” ในตัวของวรรณกรรมสร้างสรรค์เอง

ผมจะกลับมาแจกแจงให้ฟังวันหลังครับ


พิมพ์ครั้งแรก นิตยสารคนมีสี รายปักษ์วิจารณ์

Comment #1
Posted @June,20 2007 23.51 ip : 222...13

พิเชฐอาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย (ตัวดำแล้วใจยังดำอีกด้วย)

การจะมีช่อฯหรือไม่มีช่อฯ เข้าใจได้ไม่ยากหรอกว่าไม่เกี่ยวกับการก่อเกิดของนักเขียน เพราะโดยธรรมชาติ มารดาแห่งนักเขียนมีอยู่ทุกหนแห่ง ต่อให้ไม่มีพื้นที่ในหน้านิตยสาร หนังสือ นักเขียนก็ก่อเกิดขึ้นมาได้...ช่อฯหรือพื้นที่เรื่องสั้นอื่นๆก็ทำหน้าที่ไม่ต่างกัน ส่วนใครจะ "เกิด" เก่ง ผลิตลูกได้มากกว่ากัน ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีพลังมากน้อยที่จะให้ "พ่อ" ซึ่งก็คือ สังคม มาสังวาสกับ "แม่" ซึ่งก็คือพลังสร้างสรรค์ในตัวมนุษย์ เกิด "ลูก" ซึ่งก็คือนักเขียน แตลูกที่ว่าจะขี้ริ้ว หล่อเหลา สวยงาม ดำ ขาว ก็ขึ้นอยู่กับอีกหลายปัจจัย

สมัยมีช่อฯ ก็มีนักเขียนอีกมากที่ก่อเกิดขึ้นโดยไม่ได้ผ่านเกิดจากสนามแห่งนี้

ครั้นมาถึงสมัยนี้ การมีช่อฯหรือ ราหูฯ หรือ อื่นๆ ก็ไม่มีใครบอกได้หรอกว่าจะมีส่วนมาสร้างความคึกคักหรือสร้างสิ่งดีๆให้เกิดกับวงการวรรณกรรม คนที่ฝากความหวังอาจจะมีภาพประทับบางอย่าง มีอารมณ์ถวิลหาบางอย่าง แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ไม่ได้คาดหวัง และไม่ได้คิดว่า ช่อฯจะเป็นเทพเจ้ามาจุติ ชูบชีวิตวงการวรรณกรรม เพราะ ณ วันนี้เรายังไม่เห็นด้วยซ้ำว่าหน้าตาของช่อฯ ยุคใหม่จะเป็นอย่างไร แต่ก็มีคนตีตนไปก่อนไข้เสียแล้ว

"อ้ายตัวร้าย" ยังมีอีกมากที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่แน่ว่าหนึ่งในนั้นอาจจะมีนักวิจารณ์ก็ด้วยก็ได้ (หรืออาจจะรวมไปถึงกรรมการซีไรต์ก็ได้-ฮา)

ที้แน่ๆ มีสิ่งหนึ่งที่ช่อฯ มีแล้วที่อื่นไม่มี ได้แก่กระบวนการสร้างบรรยากาศของการพบปะแลกเปลี่ยน ชื่นชม วิวาทะ หรือการสร้างโอกาสให้คนที่มีหัวใจเดียวกันได้มาพบกันอย่างมีพลัง (ดังที่หลายคนบอกว่า อำนาจของวรรณกรรม) แม้จะไม่ใช่ดีที่สุดแต่ก็เรียกได้ว่ามากที่สุดในบรรดาสนามเรื่องสั้นที่มีอยู่ เรืองนี้คนที่ไม่ได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศนั้นไม่อาจเข้าใจได้

เลิกเรียกร้องต่อช่อฯ แล้วกลับมาอยู่เคียงข้างกันและกัน ช่วยกันทำงานในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดเถอะ

Comment #2
พิเชฐ
Posted @June,22 2007 16.49 ip : 124...99

เพราะอยากอยู่เคียงข้างกันจวบฟ้าดินสลายนี่แหละครับ ถึงได้พูดครับ  แบบว่าผมไม่ใช่เรียกร้องไรหรอก แค่อยากให้วงการ (บางส่วน) มีสติน่ะครับ กลัวว่าเราจะมี "จสุคาม" กับเขาไปซะอีก ขอบคุณคุณพู่กันที่แสดงความคิดเห็นครับ  คอมเมนต์เยอะๆ ก็ได้นะครับ ผมจะได้เอาไปเขียนต่อ เย้!!!

Comment #3
Posted @June,22 2007 23.47 ip : 222...13

สงสัยพิเชฐอาจจะต้องตั้ง "สติ" ทบทวน"ท่าที"ตัวเองบ้างล่ะว่า การเขียนลักษณะนี้สุดท้ายส่งผลต่อการเตือนสติคนอื่นหรือเปล่า...

ผมมีอะไรสงสัยหลายๆอย่างนะ อยากใช้พื้นที่สาธารณะแห่งนี้แลกเปลี่ยนกับคุณ เช่น การวางท่าทีของเราในลักษณะที่ยืนอยู่เหนือคนอื่นแล้วก็ใช้ทัศนะหรือพื้นที่สาธารณะสำแดง "ความรู้" ของตนเฉกเช่น อาจารย์ที่ใช้ทฤษฎีผสมมุมมองของตนสั่งสอนศิษย์ การสถาปนาความรู้...หรือทัศนะบางอย่าง และเลือกที่จะเล่นบทที่เป็นผู้รู้ ยึดกุมความรู้นั้นไว้ ซึ่งไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าความรู้นั้นถูกหรือผิด (เพราะเรื่องเช่นนี้มันมีเงื่อนไขปัจจัยที่พร้อมจะแปรเปลี่ยน ยังไม่พักเอ่ยถึงฐานประสบการณ์ที่แตกต่าง) การปะทะกันทางความคิด ความเชื่อ ความรู้ จึงเกิดขึ้นได้เสมอ แต่การปะทะกันแล้วจะทำให้เกิดบรรยากาศที่สร้างสรรค์ ผมว่าวงการเรามีลักษณะเช่นนี้น้อยเหลือเกิน เราจะพบแต่การเล่นบทผู้รู้ หรือการเลือกที่จะโยนระเบิดแล้วก็ถอยหลังกลับไปยืนหัวเราะ หรือไม่ก็เข้าไปยึดกุมพื้นที่สาธารณะ สร้างอำนาจในเชิงการเผยแพร่ความรู้นั้นๆกับองค์กรหรือช่องทางต่างๆเท่าที่จะเข้าไปแสวงหาได้ สุดท้ายเราก็กลายเป็นการสถาปนาความรู้นั้นๆขึ้นมา กลายเป็นผู้มีอำนาจในทางสาธารณะ และที่สุดก็อาจเป็นอาการจิตเภทประเภทหนึ่งเหมือนกันที่หลงอยู่ใน "หัวโขน" ที่ตัวเองสมมุติ เพราะเมื่อไรที่เรากล้าประกาศความเชื่อหรือความรู้นั้นออกมา มันก็ยังมีคนไม่เห็นด้วยหรืออาจจะยืนหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของเราอยู่ก็ได้ ความรู้ ความจริง คงไม่มีอะไรแข็งทื่อตายตัว เป็นลูกกลมๆที่จะประกาศคุณลักษณะของมันออกมาได้ เท่าที่จะทำได้ เราจึงมักใช้ท่าทีในลักษณะแลกเปลี่ยนความรู้ ในลักษณะที่ต่างคนต่างยืนเสมอกัน ไม่มีใครสำแดงตนว่า "รู้" กว่าใคร ซึ่งน่าจะเป็นการเตือน "สติ" กันได้มากกว่ามิใช่หรือ

ผมไม่ได้ว่าพิเชฐนะ(แต่ถ้าคุณจะกินปูนร้อนท้องบ้างก็ไม่เป็นไร-ฮา)

อีกอย่าง เนื้อหาที่จะกระตุ้นหรือหนุนให้วงการวรรณกรรมยกระดับขึ้นที่จะนำมาเขียน อันที่จริงก็มีอีกมาก มีเรื่องดีๆอีกเยอะที่ยังไม่มีใครหยิบมาเขียน แต่เราก็ชอบที่จะเขียนถึงกันและกันตามกระแส ดูตามข่าวที่ไหลเข้าถึงกันรายวัน จะแตกต่างก็ตรงที่มุมมองที่มีต่อเรื่องนั้นๆ ผมว่าบรรยากาศแบบนี้โครตน่าเบื่อเลยว่ะ  ลองมาหาอะไรทำที่หลุดไปจากวังวนพวกนี้บ้างดีหรือไม่

อย่าห่วง "จสุคาม" เลย เขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายร่นแล้ว ห่วง "จตุเชฐ" น่าจะดีกว่าพักหลังมีคนเขานิมนต์ไปปลุกเสกหลายที่หลายรุ่นเหลือเกิน

Comment #4
หมี่ทระนง
Posted @June,24 2007 21.33 ip : 203...251

กร๊ากส์

เอาละจุ้ยๆ

Comment #5
ธรรมเทพ
Posted @June,25 2007 01.32 ip : 203...8

เท่าที่ผมอ่านนะ ไม่เห้นว่าพิเชฐจะใจดำตรงไหนนะ-ถึงแม้ว่าเขาจะตัวดำ (แต่ก็ดำออกจะดาร์ก ทอล แอนด์แฮนซั่มอยู่...๕๕) แต่ถ้าพู่กันบอกว่าออกจะมองโลกในแง่ร้ายสักหน่อยนั้น ผมว่า...ไม่รู้สิ คำว่าสักหน่อยนี่มัน...มากนะ ผิดโผนด้วย

เรื่องที่พิเชฐเขียน คือ ข้อคิดจากการกลับมาของนิตยสารช่อการะเกด ดูจากหัวข้อก็พอกล้อมแกล้ม -หาใช่เรื่องใจร้าย(ตัวดำ)ไปโน่น

เอาล่ะ ในเมื่อช่อการะเกดกลับมา มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะไปแอนตี้แอนตังอะไรนี่ บก.สุชาติเองแกก็คงกลับมาในลักษณะเชื่อมๆ ส่งไม้ผลัดไปให้ดอนเวียง กับ เช็คซึ่งเค้าก็เป็นคนวรรณกรรมที่มีทั้งไฟและศักยภาพ ในการสร้างพื้นที่-บางอย่างให้กับแวดวงการเขียนการอ่าน

เราต้องไม่ลืมว่า ถึงแม้นักเขียนไม่ได้เกิดจากช่อการะเกด อีกทั้งนั้น แต่ช่อการะเกดมันก็มีความหมายในเชิงอะไรที่มากกว่า การเกิดของนักเขียน หรือการเกิดขึ้นของนิตยสารฉบับหนึ่ง

เหมือนกับการเกิดของอะไรต่อมิอะไร ที่เป็นไปตามยุคสมัยของมัน

ไม่แปลกที่นักเขียนจะมีจะเกิดมาตามยุค ตั้งแต่ยุคสุภาพบุรุษ มาจนถึง ก๊วนปาร์ตี้

อะไรล่ะคือเครื่องหมายของคำว่า สร้างสรรค์ หากว่าเรากำลังพูดกันอยู่ถึงเรื่อง สร้างสรรค์ เราก็ไม่ควรพูดไปถึง จตุคาม ไม่ใช่หรือ

ไม่มีใครถูกใครผิด(ถนัด)หรอก หากเราจะพูดถึงเรื่องจตุคามในเชิงสร้างสรรค์ หรือพูดเชิงสร้างสรรค์ในเรื่องจตุคาม

ที่พิเชฐพูดถึง การกลับมาของช่อฯ ก็ไม่ผิด (ในฐานะนักวิจารณ์) ที่พู่กันจะพูดถึงเรื่องไม่สร้างสรรค์ (ในฐานะนักวิจารณ์) ที่ปราศจากอคติ และร้อนตัว

ไม่ง่ายนักหรอกที่จะตั้งตนเป็น ผู้รู้ ในแวดวงวรรณกรรม เพราะเราต่างก็มีดีกันคนละแบบคนละอย่าง แต่ ไม่ใช่ถือดี ถือดาบ หรือถือโทษกัน

พิเชฐทำหน้าที่ของพิเชฐ พู่กันทำหน้าที่ของพู่กัน ร่วมกันสร้างสรรค์ มิใช่ทำลาย...

Comment #6
นักอ่าน
Posted @June,25 2007 12.58 ip : 58...1

คุณพิเชฐ--คุณพู่กันที่เคารพยิ่ง

ดูเหมือนพี่ทั้งสองกำลังพูดเรื่องเดียวกัน ความหมายคือผมอ่านที่ข้อเขียนของพี่ทั้งสองแล้ว ไม่เห็นว่าในข้อเขียนนั้นจะมีข้อขัดแย้งกันตรงไหน ก็ดูๆ ไปแล้วก็มีเจตนาดีด้วยกันทั้งคู่
แต่ฟังน้ำเสียงเหมือนคุณพู่กันจะมีอคติบางอย่างกับนักวิจารณ์ เหมือนกำลังเห็นด้วย แต่ไม่เห็นงามอะไรทำนองนั้น แต่พี่ทั้งสองก็มองเห็นเหมือนกัน "มีช่อฯ ไม่มีช่อฯ นักเขียนก็ย่อมมีที่ทางของตัวเอง" ซึ่งผมก็เห็นด้วยนะครับ
แต่การมีช่อฯ ก็อาจสร้างบรรยากาศที่สดใหม่ เป็นที่เป็นทางในแง่ของสนามเรื่องสั้น ซึ่งมันหาได้เกี่ยวกับว่านักเขียนจะเขียนออกมาดีหรือไม่ ในแง่นี้มันมีปัจจัยมากมาย ยุคสมัย ความเปลี่ยนแปลงทางสังคม ก็เป็นส่วนหนึ่ง การถกเถียงเป็นเรื่องดีนะครับ แต่หากลดอคติลงบ้าง ก็จะดูสร้างสรรค์กว่านี้

Comment #7
ไอ้ปลง
Posted @July,08 2007 17.32 ip : 203...242

ผมอ่านความคิดคุณพู่กันแล้ว โดยเครื่องทรงดูเหมือนจะเข้าท่า แต่ไป ๆ มา ๆ เหมือนจะขัดแย้งกันเองทางความคิด
ถอยหลังก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ไปอยู่หลายจุด

คุณพู่กันบอกว่า...

"...ที้แน่ๆ มีสิ่งหนึ่งที่ช่อฯ มีแล้วที่อื่นไม่มี ได้แก่กระบวนการสร้างบรรยากาศของการพบปะแลกเปลี่ยน ชื่นชม วิวาทะ หรือการสร้างโอกาสให้คนที่มีหัวใจเดียวกันได้มาพบกันอย่างมีพลัง..."

ผมอยากรู้ว่าบทความของพิเชฐชิ้นนี้
เป็นหนึ่งในกระบวนการแลกเปลี่ยน วิวาทะ ที่เนื่องมาจากช่อการะเกดที่คุณให้ราคาไว้หรือไม่...

หรือคุณไม่ได้มองว่ามันสร้างสรรค์อะไรเลย - ไม่มีราคาค่างวดเลย

กระบวนการสร้างสรรค์ต้องเกิดขึ้นภายในการชุมนุมช่างวรรณกรรม หรือผ่านบทความในนิตยสารช่อ หรือ ในวงนักเขียนศิษย์เก่าช่อเท่านั้นหรือ

ถ้าเช่นนั้น ผมเห็นว่าคุณควรจะตั้ง "สติ"
หรือมากกว่านั้น คือต้องตั้ง "คติ" กันใหม่
ไม่ให้มี "อคติ" ต่อพิเชฐหรือบทความนี้จนเกินไป

Comment #8
ไอ้ปลง
Posted @July,08 2007 17.40 ip : 203...242

"...ที้แน่ๆ มีสิ่งหนึ่งที่ช่อฯ มีแล้วที่อื่นไม่มี ได้แก่กระบวนการสร้างบรรยากาศของการพบปะแลกเปลี่ยน ชื่นชม วิวาทะ หรือการสร้างโอกาสให้คนที่มีหัวใจเดียวกันได้มาพบกันอย่างมีพลัง.."

ท่าทีการแสดงทัศนะของคุณพู่กันข้างต้น ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า สิ่งที่ขีดเส้นใต้ไว้  มีความหมายว่าอย่างไร

คนที่มีหัวใจเดียวกัน คือ คนที่รักและนับถือพี่สุชาติ สวัสดิ์ศรีเหมือน ๆ กัน หรือคืออะไรที่กว้างขวางยิ่งใหญ่กว่านั้น

ซึ่งพิเชฐหรือบทความของพิเชฐไม่มีเลย

มันคือใจคนละดวง

Comment #9
ไอ้ปลง
Posted @July,08 2007 19.13 ip : 203...242

และการที่คุณพู่กันติงเรื่อง "...การวางท่าทีของเราในลักษณะที่ยืนอยู่เหนือคนอื่นแล้วก็ใช้ทัศนะหรือพื้นที่สาธารณะสำแดง "ความรู้" ของตน"

จำเพาะต่อบทความชิ้นนี้ ผมไม่เห็นว่าผู้เขียนวางท่าทีแบบนั้นอย่างชัดแจ้ง จนปิดกั้นทัศนะแบบอื่น หรือเบียดบังไม่ให้มายืนอยู่ในแถวเดียวกัน ผมไม่รู้สึก...

(ซึ่งอันนี้คุณพู่กันก็ออกตัวไว้เก๋แล้วในเรื่องกินปูนร้อนท้อง)

แต่ผมมองเห็นข้อขัดแย้งในความคิดบางประการของคุณพู่กันต่อว่า

ธรรมชาติของคนเรานั้น หากเชื่อว่าตนไม่ได้เหนือกว่าคนอื่น หรือตนด้อยกว่าคนอื่นตลอดเวลา ทั้งเรื่องความรู้ ความคิด
เขาคนนั้นจะกล้าสำแดงทัศนะหรือตัวตนในพื้นที่สาธารณะล่ะหรือ
มันก็คงต้องหมกตัวเองอยู่แต่ในห้อง หรือจะถกเถียงแสดงทัศนะกับใคร ก็ทำได้เพียงสองสามน้ำแล้วล่าถอยไป ด้วยความรู้สึกว่า เออ..ตูโง่เอง ก็เท่านั้น

และปฏิเสธได้หรือว่า ความเห็นของคุณพู่กันต่อบทความของพิเชฐชิ้นนี้ ไม่ได้"ยืนอยู่เหนือคนอื่น" ไม่ได้ยืนอยู่เหนือพิเชฐ

หรือว่ามันมีข้อยกเว้นอะไร...

Comment #10
ธาร ยุทธชัยบดินทร์
Posted @May,26 2008 21.45 ip : 202...206

อ่านแล้ว !

Comment #11
รุ่งฤทธิ์
Posted @June,18 2008 13.45 ip : 58...229

มีประโยชน์ครับ

Comment #12
ยิหวา
Posted @December,21 2008 12.00 ip : 118...180

เห็นมีแต่คนรุมคุณพู่กันน่ะค่ะเนี่ย

เป็นธรรมดาอ่ะน่ะค่ะ  ก็เวทีนี้มันเป็นเวทีสาธารณะอ่ะน่ะค่ะ ใครคิดเห็นอย่างไร ไม่มีผิดอ่ะน่ะ  ดิฉันไม่เข้าข้างใครอะน่ะค่ะ

ถกกันอย่างมีสติ น่ะค่ะ คุ คุ ไปล่ะค่ะ

Comment #13
ไม่บอก...ปล่อยให้งง.
Posted @May,14 2010 15.31 ip : 202...23

พิเชฐเอ้ย... ยังติดอ่างอยู่มั้ย...

กร๊ากส์

เอาละจุ้ยๆ

Comment #14
......
Posted @May,26 2010 22.04 ip : 203...218

(คุณไม่บอกปล่อยให้งง) คุณบ้าหรือเปล่า ล้อเลียนอยู่ได้  ทำตัวน่า เก-ลี-ย-ด ชะมัด

คุณไม่เคยมีจุดด้อยเลยหรืองัย

นิสัยแบบนี้ รก.....เปล่าๆ

แสดงความคิดเห็น

« 5343
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ