บทความ
อ่านความคิดดาวรุ่งซีไรต์ ศิริวร แก้วกาญจน์
อ่านความคิดดาวรุ่งซีไรต์ ศิริวร แก้วกาญจน์
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2550 17:58 น.
เราเพียงแค่นั่งมองบทกวี ไม่ได้เข้าไปอยู่ใกล้ๆ ก็จะรู้สึกว่าบทกวีเป็นสิ่งที่อยู่ไกลจากห้วงความรู้สึก ไม่กล้าที่จะเข้าไปแตะต้อง ทำไมเราไม่เดินเข้าไปหาสิ่งนั้น เพื่อที่จะได้เข้าไปลิ้มลองรสชาติอันหอมหวานจากบทกวี
เสียงสะท้อนของ ศิริวร แก้วกาญจน์ ที่มีต่อโลกแห่งความสลักเสลาทางตัวอักษรอย่างโลกกวี ที่เขาได้เข้ามาโลดแล่นและแจ้งเกิดอย่างสวยงาม กับผลงานที่โดดเด่นจนเป็นที่ถูกตาต้องใจของคณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ซีไรต์ ครั้งที่ 29 ประจำปี พ.ศ.2550 เข้าอย่างจัง จนทำให้ปีนี้มีชื่อของ ศิริวร แก้วกาญจน์ ติดอันดับเข้าชิงรางวัลซีไรต์ประเภทกวีนิพนธ์ ผลงานถึงสองเรื่องคือ เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก และ ลงเรือมาเมื่อวาน
นอกจากการที่เขามีชื่อเป็นดาวเด่นเข้าชิงรางวัลซีไรต์ในปีนี้แล้ว ล่าสุดเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ศิริวร แก้วกาญจน์ ยังได้รับการคัดสรรให้ได้รับ รางวัลศิลปาธร ประจำปี พ.ศ.2550 จากสำนักศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม สาขาวรรณศิลป์ ชนิดที่ยังไม่ต้องรอชิงดำ คอยลุ้นผลให้หัวใจสั่นระรัว ซึ่งรางวัลนี้มอบให้กับศิลปินร่วมสมัยอายุประมาณ 30-50 ปี ที่มีความมุ่งมั่น สร้างสรรค์ผลงานออกมาสู่สายตาประชาชนอย่างต่อเนื่อง
แต่นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับการรับรางวัลอันทรงเกียรติแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้เขาเองเคยได้รับรางวัลทางวรรณกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรางวัลชนะเลิศในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2548 ประเภทเรื่องสั้น จากรวมเรื่องสั้น เรื่องเล่าของคนบันทึกเรื่องเล่า ที่นักเล่าเรื่องคนหนึ่งเล่าให้เขาฟัง
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือรวมบทกวี ประเทศที่สาปสูญ และรวมเรื่องสั้น กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด ที่ได้เข้าสู่รอบแรกรางวัลซีไรต์ ปี 2547 และปี 2549 ตามลำดับ
ตลอดระยะเวลากว่า 15 ปี ที่ ศิริวร แก้วกาญจน์ ได้โลดแล่นอยู่บนถนนสายน้ำหมึก เขาได้มาสัมผัสบนเส้นทางน้ำหมึกนั้นเขาได้ถ่ายทอดเรื่องราว รวมทั้งมุมมองของเขาที่มีต่อวงการกวีนิพนธ์อย่างน่าชวนติดตาม
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ศิริวรหันมาสนใจงานเขียนนั้น เกิดมาจากเมื่อครั้งที่ศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยศิลปหัตถกรรม คณะวิจิตรศิลป์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะในระหว่างที่กำลังจรดปลายพู่กันวาดรูปอยู่นั้น เขาได้เกิดความคิดขึ้นมาว่า จะวาดรูปอย่างไรให้สวยงามกับอุปกรณ์อันมีอยู่อย่างจำกัด เฉกเช่นเดียวกับงานเขียนหนังสือสักเล่มหนึ่งให้ออกมามีคุณภาพที่สุด
การเขียนหนังสือเป็นงานที่ท้าทายเหมือนกับการเขียนรูป เพราะเราจะต้องใช้ฝีมือของเราทั้งหมดที่มี มาถ่ายทอดภาษาให้มีความละเมียดละไมมากที่สุด นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้หันมาจับปากกาเขียนหนังสือ
โดยผลงานที่เขาได้เริ่มเขียนเป็นครั้งแรกนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบทกวีที่เขาและเพื่อนๆ ที่อยู่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งบทกวีส่วนใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ปีนี้ทำให้ผลงานเขียนของชายหนุ่มคนนี้มีชื่อเข้าชิงรางวัลถึงสองเล่ม
สำหรับผลงาน 2 เล่มที่เข้าสู่รอบแรกรางวัลซีไรต์ปีนี้ ศิริวรบอกว่าไม่ได้ตั้งใจจะส่งพร้อมกันในปีเดียว เพียงแต่เล่มที่ชื่อ เก็บความเศร้าให้พ้นมือเด็กเด็ก ได้รับการตีพิมพ์เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ซึ่งก็ยังอยู่ในช่วงปีที่สามารถส่งประกวดได้ ส่วน ลงเรือมาเมื่อวาน เพิ่งตีพิมพ์เสร็จในปีนี้ตนจึงถือโอกาสส่งทั้งสองเล่ม
ศิริวร เล่าต่ออีกว่า ทั้ง 2 เล่มที่เข้ารอบแรกนั้นมีรูปแบบการนำเสนอที่ต่างกันแบบสุดขั้ว คือ เก็บความเศร้าไว้ให้พ้นมือเด็กเด็ก เป็นกวีนิพนธ์ปลอดฉันทลักษณ์ หรือเป็นกลอนเปล่าที่ไม่ได้ยึดติดในรูปแบบของฉันทลักษณ์ และ ลงเรือมาเมื่อวาน นำเสนอในรูปแบบฉันทลักษณ์ ก็ยังมีแก่นเรื่องที่ต่างกันคือ เล่มแรกนำเสนอเนื้อหาเป็นบทกวีที่จรรโลงอารมณ์อันประณีตของมนุษย์ ในโลกยุคบริโภควัตถุ ตัวเลขและเทคโนโลยี แม้จะเป็นเสียงแผ่วเบา แต่ก็เป็นเสียงตอกย้ำให้สังคมเชื่อว่ามนุษย์ยังมีคุณค่าพื้นที่กว้าง มองปัญหาของดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างครอบคลุม
ส่วนเล่มที่สอง ลงเรือมาเมื่อวาน มีลักษณะเป็นอัตวิสัยและมีเนื้อหาเชิงกวีศาสตร์ เป็นกวีนิพนธ์ที่พรรณนาอารมณ์ความรู้สึกสะเทือนใจของกวีที่มีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ในสังคม ซึ่งได้ชี้ชวนให้ขบคิดถึงความสำคัญของการดำรงอยู่และความเป็นไปของวัฏจักรชีวิต แม้ว่าจะเป็นสัจธรรมที่รับรู้กันโดยทั่วไป
ศิริวร ยังได้พูดถึงความแตกต่างของบทกวีตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่า ได้มีพัฒนาการไปตามลำดับ ตั้งแต่ชั้นเชิงในการประพันธ์ จนถึงการหลุดออกจากกรอบของกวีนิพนธ์แบบเดิมๆ โดยเฉพาะ บทกวีปลอดฉันทลักษณ์
ทุกวันนี้คนในวงการกวีมักจะมอง บทกวีปลอดฉันทลักษณ์ เปรียบเสมือนวัชพืชที่ต้องเร่งกำจัดโดยด่วน เพื่อไม่ให้ลุกลามไปทำร้าย กวีตามขนบประเพณีเดิมที่เขาเคยมีไว้แต่กาลก่อน
แต่สำหรับชายหนุ่มคนนี้เขากลับมีความรู้สึกว่า วงการวรรณศิลป์ควรจะมีความหลากหลายในงานเขียน เพื่อสร้างสีสันให้วงการวรรณกรรม มากกว่าการมีรูปแบบเพียงหนึ่งเดียว ถ้าเปรียบบทกวีเป็นดอกไม้ ถ้ามีดอกไม้เพียงแค่สีเดียวก็คงจะดูเบาตา กว่าการมีดอกไม้หลากสีมาประดับให้เกิดความสดใสชุ่มฉ่ำ
ถ้าบทกวีในวันนี้เปรียบเสมือนดอกไม้หลากสี ชายหนุ่มคนนี้ก็คงจะสวมบทบาทเป็นนายมาลาเพื่อร้อยดอกไม้หลากสีเข้าไว้ด้วยกันอย่างสวยงาม