บทความ
บันทึก 100 วัน
25 มีนาคม 2551
ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ผมก็อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้มีการลงนามข้อตกลงการทำโครงการสมัชชาสุขภาพจังหวัด
ลงจากห้องพักในโรงแรมเดอะริช เมื่อคืนคนที่มาพักด้วยเป็นคุณลุงมาจากตราด อายุอานามรุ่นปู่แต่ก็ยังกะฉับกะเฉง แกตื่นแต่เช้า อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเสร็จ เปิดประตูออกไปหาเพื่อน...ปรากฏว่าประตูล็อคตัวเอง เปิดออกไปแล้วกลับเข้ามาไม่ได้ แกยืนเคาะประตูเรียกผมอยู่นาน ไอ้เราก็ยืนแช่ฝักบัวอยู่ในห้องน้ำ ไม่ได้ยิน ปล่อยให้คุณลุงยืนเคาะอยู่พักใหญ่
เดินลงมาทานอาหารเช้า พบคนคุ้นหน้าในแต่ละจังหวัดทยอยเข้ามา แม่ผ่องกับพี่คนหนึ่ง(จำชื่อไม่ได้แล้ว)จากอ่างทอง ปรับทุกข์การทำงานกับเยาวชนในจังหวัด ที่บางครั้งเด็กๆก็มักอ้างกับพ่อแม่ว่ามาทำกิจกรรมกับตน เอาเข้าจริงไปเมาซิ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ตอนหลังต้องออกกฏว่าการมาทำกิจกรรมทุกครั้งจะต้องมีหนังสือถึงผู้ปกครองอย่างเป็นทางการเท่านั้น
ได้ฟังแล้วก็น่าเห็นใจ แต่ผมก็รู้ ทุกคนบ่นไปอย่างนั้นแหละ ดูแววตาแล้วก็ยังคงทำงานต่อไปไม่เลิกลาหรอก
มีน้องๆจากในจังหวัดมาร่วมปรับแก้โครงการรอบสุดท้ายกันหลายคน บางคนไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันนัก ทั้งๆที่อยู่ใกล้กัน กลับมาได้นั่งคุยกันมากก็ช่วงอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่รู้เป็นอย่างนี้ไปได้ไง
พบปะพี่ๆน้องๆ ที่เห็นหน้ากันจนคุ้นเคย บางครั้งก็รู้สึกอบอุ่นดี ตามประสาคนที่อาสามาทำงานให้กับผู้อื่น ผมยังไม่คุ้นชินนัก ยังถนอมความรู้สึก ชอบที่จะเป็นคนอยู่วงนอกคอยเฝ้าดูเสียมากกว่า แต่ก็นั่นแหละนะ ทำไปทำมากลายเป็นคนวงในไปเสียแล้ว
ปรับแก้โครงการตามตัวเลขงบประมาณที่สช.(คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ)มอบให้ ใช้เวลาไม่นานนัก แต่ไปนานก็ตรงที่เอกสารประกอบสัญญา
ดูเงื่อนไขแล้ว สามารถใช้ความเป็นตัวบุคคลเซ็นสัญญาได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนิติบุคคลหรือคณะบุคคล(เพิ่งรู้ว่าเราสามารถจดแจ้งเป็นคณะบุคคลได้ คนเกิน 2 คนรวมกันไปขอจดที่สรรพากรจังหวัดในนามคณะบุคคล เท่านี้เราก็มีสถานภาพเป็นนิติบุคคลกลายๆ สามารถทำนิติกรรมได้หลายอย่าง)เพราะการขอสนับสนุนงบประมาณครั้งนี้ผู้รับผิดชอบหลัก ไม่ได้มีเงินตอบแทน เงินที่ขอก็นำมาสนับสนุนกิจกรรมทั้งหมด เท่ากับว่า เซ็นสัญญาเป็นผู้รับผิดชอบโครงการได้ ไม่ต้องถูกหักภาษีรายได้ตามหลัง
เรื่องแบบนี้ไม่น่าเชือว่าจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้เหมือนกัน
เวลาที่เหลือ ช่วยปรับแก้โครงการให้กับพี่ๆเพื่อนๆในจังหวัด กว่าจะแล้วเสร็จก็เกือบบ่ายสาม เดินออกมาให้โอปะเรเตอร์เรียกแท็กซี่ให้ มีพี่คนหนึ่งอาศัยรถออกมาจากโรงแรมด้วย
นั่งฟังแท็กซี่คุยให้ฟังถึงหลวงพ่อ(จำชื่อไม่ได้แล้ว)ที่สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า ท่านบอกว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในวิบากกรรมท่านหยั่งเห็นคนภาคใต้ว่าตายกันมากมายเพราะอุบัติภัย(สินามิ)แล้วท่านยังทำนายต่อไปอีกว่า คิวต่อไปคือคนภาคเหนือ จะประสบเหตุแผ่นดินไหว แล้วจะรอดูว่าจริงหรือเปล่า
คนขับแท็กซี่ยังบอกอีกว่า ตนเองเปลี่ยนรถมาเป็นคันที่ 2 แล้ว รถที่ขับอยู่ราคา 7 แสนบาท ดาวน์มา 2 แสน ผ่อนเดือนละ 1 หมื่น 6 พันบาท ฟังแล้วก็น่าทึ่ง แท็กซี่ในเมืองหลวงกว่า 8 หมื่นคัน ไม่รู้ว่าจะต้องหาเงินกันหน้ามืดแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า แต่ถ้ามีเงินก้อน เป็นเถ้าแก่ซื้อรถมาทีเดียว 10 คัน ให้เช่าวันละ 1 พันบาท เดือนหนึ่ง 3 หมื่นบาทต่อคัน ปีหนึ่ง 3 แสน 6 หมื่น 2 ปีก็ผ่อนรถหมด ที่เหลือก็กำไร
คนมีเงินทำอะไรก็ได้เปรียบ แท็กซี่ว่า
วันนี้มีแต่เรื่องตัวเลข หัวฟูไปหมดแล้ว อ้อ ก่อนลงรถแท็กซี่ยังถามถึงเหตุการณ์ 3 จังหวัด
"พี่ไม่กลัวบ้างเหรอ" เขาถามผม
ได้ยินแล้วนึกถึงหน้าพี่กัลยากับพี่นิรพงศ์ที่อยู่ปัตตานี เจอกันวันนี้ทักทายกัน แกบอกว่า "ก็สบายดี ตามประสาคน 3จังหวัด" น้ำเสียงแฝงนัยบอกถึงความรู้สึกของคนที่นั่นได้ดีไม่ต้องถามกันมากความ
ไม่อยากคิด ไม่อยากตอบ อยู่หาดใหญ่ไม่กลัวหรือ?
แล้วคุณล่ะ อยู่กรุงเทพฯ อยู่เชียงใหม่ อยู่ตราด คุณมั่นใจว่าชีวิตคุณปลอดภัยดีหรือ?
แวะร้านหนังสือหยิบหนังสือพิมพ์กีฬาติดมือมาอ่านฆ่าเวลา อ่านข่าวหงส์แดงแพ้ปีศาจแดงด้วยความละเหี่ยใจ ลึกๆก็ลุ้นทีมหงส์แดงอยู่ วันก่อนเปิดเน็ตเช็คข่าว พอรู้ว่าแพ้ก็แทบไม่อยากนอน
ไม่ถึงวันหงส์บ้างก็แล้วไป
เดินไปตามงวงช้างขึ้นเครื่อง พบเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม เขาเป็นสถาปนิก ขึ้นมานำเสนอโครงการออกแบบศาลอาญา "อ้อ ศิลปินมาทำงานภาคประชาชนได้ด้วยหรือ" เขาทัก
"ไม่รู้สิ ไม่เห็นมีใครห้ามนี่นา" ผมว่า
นั่งหัวสั่นหัวคลอนอยู่บนเครื่อง ที่บินตัดทะลุก้อนเมฆ ท้องฟ้าแปรปรวนนิดหน่อย กว่าจะลงสู่พื้นดินได้ก็เล่นเอาใจเสีย แต่ที่สุดก็ปลอดภัยดี ไม่มีอะไรผิดปกติ
นึกถึงเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา ผ่านไป แต่ละวันมีคนเข้ามา ผ่านไป คนต่างถิ่นต่างที่ ต่างอาชีพ แม้ว่าครั้งหนึ่งเราจะยืนอยู่บนทางเดียวกัน แต่สุดท้าย ถนนก็มีเส้นแบ่ง ทางแห่งชีวิตพาเราแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง มีเพียงบางโอกาส เราอาจได้มาพบกันอีก
เพื่อที่จะระลึกถึงที่มาของแต่ละคน ให้ได้จดจำ ให้ได้เรียนรู้ แล้วก็ตระหนักในความเป็นมนุษย์ของกันและกัน
กลางคืนนอนอยู่บนเตียงในโรงแรมใหญ่
กลางวันอยู่บนรถแท็กซี่
ตอนเย็นบินลัดฟ้า เหนือทะเลเมฆ
ตอนค่ำกลับมานั่งเคาะแป้นพิมพ์หน้าคอมพิวเตอร์
แล้วชีวิตก็ผ่านไปอีกวัน.