บทความ

ประเทศใต้ ร่องรอยที่หายไป

by kai @July,11 2009 21.46 ( IP : 222...35 ) | Tags : บทความ

วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11445 มติชนรายวัน

ประเทศใต้ ร่องรอยที่หายไป

ในวันประกาศผลรอบคัดเลือกของรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือ ซีไรต์ รศ.ดร.สรณัฐ ไตลังคะ ประธานคณะกรรมการการตัดสินรอบคัดเลือก ได้กล่าวกับเราไว้ ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ว่า นวนิยายทั้งเจ็ดเล่มที่เข้ารอบ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องใดจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งชัย ก็ไม่แตกต่าง เพราะทุกเล่มมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือ "เป็นงานที่สร้างพลังทางความคิด จนยืนยงอยู่ได้ และเราก็สามารถอ่านได้ครั้งแล้วครั้งเล่า"

เป็นคำที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางกระแสคลื่นของความหวั่นวิตกที่ว่า "วรรณกรรมไทยกำลังจะตาย" ซึ่งกำลังถาโถมความรู้สึกของคนทำงานสร้างสรรค์ทางตัวอักษรหลายต่อหลายคน

และมีความหมายไม่น้อยต่อลมหายใจที่กำลังรวยริน

เจ็ดสัปดาห์นับจากนี้ (ถ้าไม่มีเหตุปัจจุบันทันด่วน) คือ ความพยายามที่จะให้วรรณกรรมสร้างสรรค์ ถูกอ่านครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่ใช่เพียงเล่มที่หยิบยกมา แต่หวังถึงทุกเล่มของวรรณกรรมสร้างสรรค์ไทย

"ประเทศใต้" โดย "ชาคริต โภชะเรือง" จากสำนักพิมพ์ก๊วนปาร์ตี้ คือเล่มแรกที่จะมาแลกเปลี่ยนกัน

ชาคริต โภชะเรือง ไม่ใช่ชื่อใหม่ในบรรณพิภพ บัณฑิตจากคณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรคนนี้ เริ่มหันเหเส้นทางชีวิตจากเดิม ขณะทำงานเขียนบทรายการโทรทัศน์ เพราะนั่นคือจุดที่ทำให้เขาศึกษาวรรณกรรมอย่างจริงจัง และกลายเป็นนักเขียนหนุ่มจากเมืองพัทลุง

ผลงานที่ผ่านตาจากเขานับแต่ปี พ.ศ.2535 เป็นงานเรื่องสั้นและสารคดี และเรื่องสั้น "แมงคาเรือง" เคยได้รับรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2549 จากสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย

"ประเทศใต้" คือนวนิยายเล่มแรกจากปลายปากกา

นวนิยายขนาดสั้นเล่มนี้ มีกลิ่นอายของความเป็นชาคริตลอยวนอยู่ในบรรยากาศ เป็นกลิ่นอายของเรื่องเล่าแฝงมุมมองจริงจังที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลงในท้อง ถิ่นใต้

กลิ่นอายที่ว่าสื่อสารถึงคนอ่านอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการเปิดเรื่อง เห็นชัดถึงคุณค่าและความงดงามที่สูญหายไปจากทั้งชีวิตและจากสังคมโดยรวมหรือ ท้องถิ่น และยังสะกิดใจให้ต้องชั่งถึงน้ำหนักและคำนวณถึงแรงปะทะของคำสองคำ ที่คล้ายจะเป็นหนึ่งในคำถามของวิถีชีวิต ในวันที่วงล้อแห่งกาลเวลาหมุนวนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความเปลี่ยนแปลงที่ไหลบ่า คำถามที่ว่าด้วย "ความกลมกลืนหรือยืนหยัดในตัวเอง"

โดยเลือกใช้ "มโนราห์" เป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสียและการตั้งคำถามดังกล่าว

มโนราห์ในเชิงรูปธรรม เธอคือหญิงสาวดวงตากลมโต ใบหน้าหวานซึ่งที่ "ผม" ในชื่อขอ "สุธน" เฝ้าตามหา

เป็นสุธน-มโนราห์ ในโลกยุค 2009 ไม่ใช่ตำนานอย่างที่เล่าลือกันมานาน

ทว่าในอีกนัยหนึ่ง มโนราห์ คือ อีกสัญญะแห่งจิตวิญญาณท้องถิ่นใต้ โดยไม่ได้มีความหมายเพียงการร่ายรำของนักฟ้อนเท่านั้น ทว่าในทุกๆ จังหวะของท่วงท่า เปี่ยมไปด้วยความลึกซึ้งและขรึมขลัง สะท้อนความลี้ลับและความไร้ขอบเขตของห้วงคิด

เป็นอีกความภาคภูมิของภูมิภาค ที่แนบแน่นอยู่ในวิถีชีวิตของคนใต้

และเมื่อ "มโนราห์" หนีจาก "สุธน" ไป นั่นจึงไม่ได้มีความเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง หายไปจากชีวิตของผู้ชายอีกคนหนึ่งเท่านั้น

ในเชิงนามธรรม "จิตวิญญาณแห่งท้องถิ่นใต้" ต่างหากที่หายไป

ประเด็นที่ว่าปรากฏอย่างชัดเจน ผ่านสารพัดปัญหาของท้องถิ่นที่สุธนพบเจอขณะธรรมยาตรา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งและเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ชุมชน แรงปะทะระหว่างกลุ่มที่แบกป้ายถึงความชอบธรรมในการอนุรักษ์และอีกกลุ่มที่ ถือสิทธิในความเป็นมนุษย์ เพื่อยึดครองทรัพยากร ปัญหาแบ่งแยกที่เรื้อรัง และส่งผลกระทบแม้แต่กับคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย เหตุและผลแห่งความคิดฝังรากที่ประชาชนมีต่อรัฐ

จะว่าไปแล้วสารดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรนัก แต่ด้วยสถานะหนึ่ง ชาคริตทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน จ.สงขลา จึงกลายเป็นเหมือนข้อได้เปรียบ ซึ่งช่วยให้ข้อมูลที่ถ่ายทอดมีความเป็นจริงที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แม้ในบางแง่มุมจะมีน้ำเสียงเชิงเข้าข้างหรือเห็นด้วยกับบางฝ่ายบางกลุ่มอยู่ บ้างก็ตามที

แต่ในความสมบูรณ์ของข้อมูลนี้ ในบางจังหวะกลับสร้างความรู้สึกแปร่งแปลก ราวกับกำลังอ่านสารคดีชุมชน โดยเฉพาะในระหว่างการโต้ตอบของตัวละคร ข้อมูลที่นำเสนอเจืออรรถรสทางวรรณศิลป์ และความสมจริงของคำพูดหรือการกระทำน้อยไปหน่อย เลยเกิดความลักลั่นทางความรู้สึกในบางครา

ที่น่าสนใจจริง ๆ ของประเทศใต้คือกลวิธีในการเล่าเรื่องผ่านสัญลักษณ์

เป็นความกระจ่างใสของเนื้อหาผ่านความคลุมเครือแห่งกลวิธี ที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์ ใคร่คิดตีความไปพร้อมกับการธรรมยาตราของสุธน

เริ่มกันตั้งแต่ ทำไมต้องธรรมยาตรา?

อาจเพราะธรรมยาตราคือ ความหมายหนึ่งของการคิดใคร่ครวญ นึกย้อนถึงการกระทำ ทบทวนสติ และนำสู่ความสงบ เรียนรู้สิ่งที่เกิดบนโลกใบนี้ด้วยตัวเอง อย่างไม่จำเป็นต้องแสวงหาจากคนอื่น หรือโทษว่าเป็นความผิดของใคร

ระหว่างการก้าวเดินไปข้างหน้าพร้อมขบวนธรรมยาตรา และเผชิญหน้ากับปัญหาปัจจุบันของท้องถิ่น ซึ่งก็เป็นปัญหาที่เวียนวนไปมาและซ้ำรอยเดิมของวิถี ในห้วงคำนึงของสุธนก็ย้อนนึกถึงปัญหาเดิมคือ มโนราห์หายไป และช่วงเวลาที่เดินทางตามหาเธอในสถานที่ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา

ความซ้ำซากของปัญหาซ้ำซ้อนของเหตุการณ์ และซ้อนทับของกาลเวลา ที่หวนกลับมาทับร่องรอยเดิม ราวกับทุกเหตุการณ์และทุกความรู้สึกไม่เคยห่างหายไปไหน ผ่านสัญลักษณ์ของมโนราห์นี้เอง เป็นกลวิธียอกย้อนที่ทำให้เรื่องราวธรรมดา กลับกลายเป็นเรื่องเล่าที่น่าสนใจ (พอสมควร)

ที่ว่าพอสมควรเพราะกลวิธีการเล่าเรื่องสลับฉากและสลับห้วงกาลเวลาอย่างนี้ น่าจะเหมาะกับการเล่าเรื่องในศิลปะภาพยนตร์ที่สัมผัสได้ด้วยสายตามากกว่า เนื่องจากหากลำดับความคิดได้ไม่สมดุล อาจก่อเกิดสภาวะสับสนต่อปมที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจของตัวละคร ซึ่งประเทศใต้ก็มีหลุดๆ บ้างในบางครั้ง

แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังนับว่าเป็นกลวิธีที่โดดเด่นและดึงดูดใจให้คนอ่านต้องตั้งสมาธิ เพื่อตอบคำถามที่โยงใยไปถึง "กฎแห่งความเปลี่ยนแปลง" ถึงสิ่งเดิมที่เคยร้อยรัดพันผูกวิถีชีวิตมา

ว่าแท้จริงแล้วนั้นสิ่งที่หายไปจนต้องตามหา คืออะไรกันแน่?

....ร่องรอยของ "ภายนอก" หรือ "ภายใน"

แสดงความคิดเห็น

« 4794
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ