บทความ

บทเพลงที่ไร้เสียงและการแสดงตัวของผู้ก่อการ

by Pookun @August,10 2009 13.11 ( IP : 222...41 ) | Tags : บทความ

บทเพลงที่ไร้เสียงและการแสดงตัวของผู้ก่อการ

รายงานโดย :จรูญพร ปรปักษ์ประลัย:

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552 โพสต์ทูเดย์

เมื่อปี พ.ศ. 2549 ศิริวร แก้วกาญจน์ ส่งเรื่องสั้น “กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด” และบทกวี “การปะทะของแสงและเงา”

เข้า ประกวดรางวัลวรรณกรรมการเมือง “พานแว่นฟ้า” ปรากฏว่าเกิดกรณีตัดสิทธิผลงานที่ท่านประธานฯ เห็นว่าไม่เหมาะสม อาจสร้างความขัดแย้ง หรือชี้นำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และผลงานของ ศิริวร (ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาว่าสมควรจะได้รางวัล) ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เข้าข่ายถูกตัดสิทธิด้วย

ต่อ มา ศิริวร ได้ขยาย “กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด” ตีพิมพ์ในรูปแบบของนวนิยาย ปรากฏว่าด้วยความโดดเด่นของเนื้อหา และกลวิธีการเล่าแบบ “ให้ปากคำ” ของตัวละครมากมาย ทำให้นวนิยายเรื่องนี้เข้าตากรรมการคัดเลือกวรรณกรรมซีไรต์ จนกลายเป็นหนึ่งในสิบเล่มที่เข้ารอบในปี 2549

นี่เป็นบทพิสูจน์ว่า “กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด” มีดี และไม่ใช่แค่ดีธรรมดา แต่ดีชนิดติดอันดับเลยทีเดียว

แต่ ศิริวร ยังไม่หยุดอยู่แค่นี้ ปีต่อมา เขาส่งบทกวีสองบท ได้แก่ “จดหมายของแม่” และ “เพลงละเมอของเด็กชายและเพลงกล่อมของแม่” เข้าประกวดรางวัลพานแว่นฟ้าอีกครั้ง ปรากฏว่าบทกวีทั้งสองได้รับรางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ ตามลำดับ โดยคณะกรรมการไม่รู้เลยว่า บทกวีสองชิ้นนี้เป็นผลงานของคนคนเดียวกัน และเป็นของ ศิริวร แก้วกาญจน์ เพราะเขาใช้นามปากกาที่ต่างกันในการส่งเข้าประกวด

ศิริวร เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ เป็นความสะใจเฉพาะตัว ที่สามารถพิสูจน์ฝีมือให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ปัญหาก็คือ การส่งผลงานประเภทเดียวกันมากกว่า 1 ผลงาน เข้าประกวดรางวัลพานแว่นฟ้า เป็นการกระทำที่ผิดกติกาของการประกวด เขาจึงไม่อาจแสดงตัวในวันรับรางวัลได้

ความ ลับที่รู้เห็นเฉพาะในกลุ่มเพื่อนสนิท ถูกปิดเงียบมากว่า 2 ปี จนเมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง ศิริวร ได้พิมพ์รวมบทกวีชุดใหม่ชื่อ “ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” โดยมีบทกวีที่ได้รับรางวัลทั้งสองชิ้นรวมอยู่ด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ท้ายของบทกวีดีเด่นที่เป็นปัญหา ยังมีการเขียนหมายเหตุพาดพิงถึงรางวัล “พานแว่นฟ้า” ไว้ด้วย

ท้าย บท “จดหมายของแม่” เขาชี้แจงว่า “เนื่องจากเรื่องสั้น ‘กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด’ และบทกวี ‘การปะทะของแสงและเงา’ ถูกตัดสิทธิ์จนไม่ได้รับรางวัล ‘พานแว่นฟ้า’ ในปี 2549 ผู้เขียนจึงจงใจพิสูจน์ ‘บางสิ่งบางอย่าง’ กับรางวัลนี้อีกครั้งในปีถัดมา ด้วยการส่งผลงานชิ้นนี้เข้าประกวดในนาม ‘ปัณณ์ เลิศธนกุล’ ซึ่งผลปรากฏว่าได้รับรางวัลชนะเลิศ” (หน้า 22)

ส่วนท้ายบท “เพลงละเมอของเด็กชายและเพลงกล่อมของแม่” เขาเสริมทับไปอีกว่า “กรณีเดียวกับ ‘จดหมายของแม่’ (หน้า 22) หากใช้นาม ‘อันวาร์ หะซัน’ ซึ่งผลปรากฏว่าได้รับรางวัลรองชนะเลิศในปีเดียวกัน” (หน้า 53)

สำหรับผม นี่ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ ศิริวร จงใจพิสูจน์บางอย่าง และการจงใจนี้นำไปสู่การฝ่าฝืนกฎ แต่น่าแปลกที่กลับไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ ในแวดวงวรรณกรรมเลย

กว่า 2 เดือนที่ “ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” ตีพิมพ์ออกมา ไม่มีใครสักคนที่พูดถึงกรณีนี้ แม้แต่ในเว็บบอร์ดปากจัดทั้งหลายก็เงียบสงบ ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ออกมาสักแอะ

แน่ละ สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือคุณค่าของงาน บทกวีสองชิ้นนี้สะท้อนความรู้สึกของผู้อยู่ ณ จุดเกิดเหตุ ของเหตุการณ์ความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้เป็นอย่างดี

“จดหมายของแม่” เล่าผ่านตัวละครหญิงชรา ผู้ไม่ปรารถนาจะหลีกหนีไปจากแผ่นดินถิ่นเกิด

“...จะให้แม่ลาร้างไปอย่างไร

แม่ไม่ได้ก่อไฟ แม่ไม่ผิด

เพียงเวทมนตร์ซาตาน โปรยหว่านพิษ

เงาทุกเงาเบี้ยวบิด ผิดรูปรอย...” (หน้า 22)

ส่วน “เพลงละเมอของเด็กชายและเพลงกล่อมของแม่” เด่นที่รูปแบบซึ่งเล่นล้อกับขนบการแต่งเพลงกล่อมเด็ก โดยเปลี่ยนให้เป็นเด็กกับแม่ผลัดกันร้องเพลงกล่อม เพื่อปลอบโยนกันและกัน หลังเหตุการณ์ร้ายที่ทำให้ลูกต้องสูญเสียพ่อ และภรรยาต้องสูญเสียสามี

เนื้อหา ส่วนใหญ่ของ “ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” เล่นกับความรู้สึกของผู้คนที่ต้องทุกข์ยากจากเหตุการณ์ความขัดแย้ง พร้อมทั้งตั้งคำถามต่อผู้ที่ลงมือเข่นฆ่าผู้อื่น ว่าจิตใจทำด้วยอะไร ถึงไม่รู้สึกรู้สากับความทุกข์โศกของผู้อื่น

แม้เมื่อเทียบกับ “กรณีฆาตกรรมโต๊ะอิหม่ามสะตอปา การ์เด” มุมมองและน้ำเสียงที่มีต่อเหตุการณ์ในรวมบทกวีชุดนี้ จะดูไม่ค่อยสมมาตรสักเท่าไรนัก เพราะเอียงไปทางผู้เสียหายที่เป็นชาวพุทธด้านเดียว ไม่มีบทที่เขียนผ่านมุมมองและน้ำเสียงของชาวมุสลิมเลย

หนำซ้ำ บางบทยังจงใจที่นำพระเจ้าของพวกเขามาเสียดสี ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นพระประสงค์ของพระองค์เช่นนั้นหรือ?

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเนื้อหาของรวมบทกวีชุดนี้จะพูดถึงอะไร ความจงใจนำบทกวีที่มีปัญหามารวมพิมพ์ไว้ด้วย ก็เป็นจุดที่ไม่อาจมองข้ามได้

โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า ศิริวร ไม่ได้นำงานสองชิ้นนี้มาตีพิมพ์ในผลงานรวมเล่ม เพียงเพราะเห็นคุณค่าของงานเพียงอย่างเดียว

แต่ ศิริวร จงใจที่จะพิสูจน์ “บางสิ่งบางอย่าง” อีกครั้ง ด้วยการตบหน้าวงการวรรณกรรมไทยแรงๆ แล้วถามว่า รู้สึกอะไรหรือเปล่า? มีน้ำยาจะจัดการอะไรเขาไหม?

การแสดงตัวให้จับของเขาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะส่งผลอย่างไร ถือเป็นกรณีที่น่าศึกษาอย่างยิ่ง

ในมุมมองของผม นี่เป็นเนื้อหาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งแรงกว่าเนื้อหาอื่นใดในเล่ม

หากมองในจุดนี้ ชื่อหนังสือ “ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง” แฝงบางอย่างที่น่าตีความอยู่ไม่น้อย “ฉัน” คือใคร? เด็กน้อยที่อยากร้องเพลง ท่ามกลางเปลวไฟแห่งความรุนแรง อย่างที่ปรากฏในบทชื่อ “บทสนทนาทางโทรศัพท์ของเด็กหญิงฟาติมะ”

หรือ “ฉัน” คือตัวผู้เขียนเอง ที่อยากร้องเพลงให้กับวงการวรรณกรรมไทย แวดวงของปัญญาชน ผู้รักความสงบเรียบร้อยและประนีประนอม จนไม่กล้าขยับทำอะไรทั้งสิ้น

ถ้าเป็นอย่างหลัง ป่านนี้ ศิริวร คงได้ร้องเพลงสมใจอยากแล้ว

Comment #1
จรดล
Posted @August,13 2009 12.50 ip : 118...90

ถึง ศิริวร จรูญพร และผู้อ่านที่รักครับ

ดีครับที่ในแวดวงมีเรื่องราวเหล่านี้ให้รับรู้ ผมอ่านบทวิจารณ์"บทเพลงที่ไร้เสียงและการแสดงตัวของผู้ก่อการ "ของจรูญพร แล้ว มีข้อกังขาอยู่หลายๆประการนะครับ

ไล่มาเลยนะครับ อย่างแรก ไม่ทราบว่า บทกวี"การปะทะของแสงและเงา"ของศิริวร ที่ถูกตัดสิทธิ์ในปีนั้น ถูกตัดสิทธิ์โดยเหมารวมเอาเพราะเป็นของผู้แต่งคนเดียวกันหรือไม่ก่อน ถ้าใช่ ผมว่าค่อนข้างจะไม่ยุติธรรมกับผู้เขียนคือศิริวร ในเบื้องต้นนะครับ อันนั้นขึ้นอยู่กับหลักการหรือดุลพินิจของกรรมการ-ผู้ทรงสิทธิ์ด้วย แต่ถ้าถูกตัดสิทธิ์โดยเหตุผลของเนื้อหา เช่นเดียวกับเรื่องสั้น"กรณีฆาตกรรมฯ"ก็ถือว่าเป็นธรรม ในแง่ที่ว่าไม่ได้ตีขลุม,เบื้องต้นนะครับ

ทีนี้ประการต่อมา...การที่กรรมการตัดสิทธิ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็คงไม่แตกต่างกับการตัดสิทธิ์นับแต่ขั้นพื้นฐาน คือการคัดเลือกเข้ารอบ อนึ่งเมื่อเรื่องได้รับการคัดเลือกเข้ามาแล้ว ก็ต้องถูกตัดสิทธิ์อีกครั้งเมื่อได้รางวัลชนะเลิศ ,นี่ประการเบื้องต้นนะครับ หากแต่การตัดสิทธิ์ของเรื่องที่เข้ารอบในปีนั้น เป็นการตัดสิทธิ์ที่ต่างออกไปจากประเด็นปกติสักนิด คือมีการวิวาทะกันในเรื่องดุลพินิจการพิจารณารางวัล ซึ่ง..เป็นการเห็นแย้งกันค่อนข้างจะสุดข้างสุดขั้วอยู่ประการหนึ่ง สิทธิที่พึงจะทำได้ในรอบการคัดเลือก กรณีที่เรื่องที่ถูกคัดสรรเข้ามาแล้วไม่ได้รับรางวัลก็ด้วยเหตุผลของความเหมาะสม นับแต่ความเข้มข้น กระทั่งความล่อแหลม แม้ว่ากรณีหลังจะไม่ปรากฏบ่อยนัก แต่กรณีนี้ก็เคยเกิดกับ"เงาสีขาว"ของแดนอรัญ แสงทอง มาแล้ว ใช่ว่าเราจะเอาประเด็นพุดมึง พูดกู ในวรรณกรรม หรืออย่างเรื่องสั้นเรื่องนี้วรรณกรรมเรื่องนั้น ส่อให้เห็นว่าสนับสนุนให้คนโกงได้ดี หรืออื่นๆ เป็นต้น ตามเนื้อหาสาระบางส่วนที่ผู้ทรงสิทธิ์คือดร.ลลิตา ที่เป็นประธานเป็นผู้ชี้ให้เห็น แต่เป็นทัศนะเบื้องต้นที่ต้องรับฟังว่า หนึ่ง ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะยอมรับได้หรือไม่ มันคงไม่ใช่เรื่องอ่านหนังสือหรือวรรณกรรมแตกไม่แตกนะครับ ประเด็นปัญหาคือแล้วมันจริงหรือเปล่า ต้องยอมรับว่าศิลปะและวรรณกรรมนั้น ไม่ใช่เรื่องเทศนาศีลธรรมหรือต้องอยู่ในกรอบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องก้าวข้ามตรงนั้นออกไปได้ แต่ถ้าปรากฏว่า"กรณีฆาตกรรมฯ"เป็นอะไรที่ล่อแหลมต่อศิลธรรมอันดี สุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งให้เกิดขึ้น นอกจากจะไม่เป็นไปตามกฎกติกา ว่าด้วยการประกวดวรรณกรรม"พานแว่นฟ้า"ซึ่งเสมือนเป็น"ตราประทับรับรองความถูกต้อง"ในนามของ"รัฐสภา"แล้ว ท่านผู้ทรงเกียรติทรงคุณวุฒิทั้งหลาย จะยึดเอาความแปลกแหวกแนว หรือ"สะใจ"บางอย่างเช่นเดียวกับกรณีที่ศิริวร ได้เขียนไว้ท้ายบทกวีมีปัญหารวมเล่ม"ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง"หรือไม่,อันนี้เป็นหลักการเบื้องต้นเช่นกัน ประการต่อมา การดื้อเพ่ง หัวชนฝา เพียงเพราะว่าแปลก แหวกขนบ อะไรที่ใหม่ๆ เราจะใช้เป็นเหตุผลดื้อดึงดันเพียงอย่างเดียวได้ละหรือ...กรณีฆาตกรรมฯก็เช่นกันนั้น การที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเข้าข่าย"ไม่เหมาะ"สม ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ต้องยกเว้นให้ ด้วยเหตุผลน้อยกว่านั้น (เหมือนกับเพลงล่อแหลมทั่วๆไปสมัยนี้ที่จำต้องมีการแบน หรือไม่แบนกันโดยสังคมเพราะกบว.ไม่มีแล้ว เป็นต้น)อันนี้ต้องพิจารณา เพราะฉะนั้นสรุปว่า...การที่กรณีฆาตกรรมฯ ถูกตัดสิทธิ์และมีแถลงการณ์ออกมาชัดเจนนั้น จึงเป็นหน้าที่ของนักวิจักษ์วิจารณ์ผู้อ่านทั้งหลายต้องใช้มาตรการสังคมแสดงให้เห็นว่ากรณีฆาตกรรม มันดีไม่ดี ล่อแหลม อันอาจนำไปสู่ความบาดหมางกันยิ่งขึ้น หรือสร้างสรรค์สู่ฟ้าใหม่ของต้นธารสมานฉันท์ด้วยกลวิธีทางวรรณศิลป์อย่างไร! เป็นสำคัญ ผมพูดยาวไปนิด แต่..ก็เงียบเป็นเป่าสากไม่ใช่หรือ (ในแง่ของการวิจักษ์วิจารณ์)

อย่างหนึ่งก็คือเราต้องยอมรับความแตกต่างทางความคิด และดุลพินิจของคณกรรมการ การที่ดร.ลลิตาในฐานะประธานกรรมการใช้ิสิทธิของท่านตามนั้น เราก็ต้องให้เกียรติด้วย ไม่ใช่ว่าพอ หนึ่ง เขาไม่ใช่คนในแวดวงวรรณกรรม ก็หาว่าเขาไม่มีวุฒิภาวะหรือภูมิรู้ทางวรรณกรรม เราต้องเชื่อกันในเบื้องต้นก่อนว่าเราก็ต่างปรารถนาดีต่อแวดวง และอยากได้อยากเห็นวรรณกรรมดีๆเยี่ยมๆสร้างสรรค์เหมือนๆกัน แต่เพียงเขาคิดเห็นไม่เหมือนเรา หรือเห็นว่าสิ่งเหล่าใดเหล่าหนึ่งจะก่อเกิดความขัดแย้งบาดหมางร้าวลึกขึ้นยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ คำว่าสร้างสรรค์ก็ย่อมจะเป็นการทำลายและสุมเชื้อโชนไฟให้ลุกโหมยิ่งขึ้นได้เหมือนกัน ท่านเคยพิจารณาถึงแง่นี้หรือไม่

อนึ่ง,(เรื่องที่ถูกตัดสิทธิ์ในปีนั้น ก็หาได้มีแต่เรื่องของศิริวร ถ้าเข้าใจไม่คลาดเคลื่อนแต่มีเรื่องอื่นๆอีกเช่นกัน อย่างไรก็ตาม) เช่นนี้จะนับเป็นการสกรีนงานที่จะเผยแพร่ออกไปสู่สังคมที่น่านับถือยกย่องหรือไม่เล่า

(มีต่อ..)

Comment #2
จรดล
Posted @August,13 2009 13.38 ip : 118...90

เมื่อทุกฝ่ายทุกคนมีสิทธิ์มีเสียง ก็ต้องทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ในกรณีของการ"บอยคอต"ไม่ร่วมสังฆกรรมหรือลาออกของคณะกรรมการก็เป็นไปบนสิทธิขั้นพื้นฐานที่พึงกระทำ และเป็นสิ่งที่ผ่านพ้นไปแล้ว ต้องยอมรับ,ในเบื้องต้น เช่นเดียวกับที่ศิริวร ก็ได้รับรางวัลบทกวีชนะเลิศในปีต่อมา ซึ่งก็กระทำโดยไม่สนใจกฎกติกามารยาทอันใด นอกจากความ"สะใจ"กับ"ฉ้อฉล"เพื่อให้ได้มาซึ่งตัวรางวัลเพื่อพิสูจน์คุณค่าอะไรบางอย่าง ที่ไม่ต่างกับกลวิธีการของนักการเมืองหรือคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นเช่นกัน จะไปว่าใครเขาได้อีก,นอกเสียจากต่างแต่ว่าคิดว่าตนเก่งตนดีมีฝีมือ อยากจะทำอะไร"ตามใจตัวเอง"ก็ทำ เหมือนๆกัน โดยสรุปคร่าวๆ คือกรณีฆาตกรรมฯไม่ใช่วรรณกรรมสร้างสรรค์ไม่ว่าในแง่ของวรรณกรรมพานแว่นฟ้า หรืออย่างน้อยก็ในแง่วรรณกรรมทั่วไป ในนัยยะของประธานคณะกรรมการฯก็ถือว่าท่านมีความซื่อสัตย์-เที่ยงตรงกว่า พวกวรรณกรรมที่ชอบยกตัวเองว่าค่อยสนใจเทศกาลประกวดประชัน แต่จะเอารางวัลให้ได้ก็แล้วกัน ประการนึง

ประการต่อมา...แน่นอนละว่า กรณีฆาตกรรมฯนั้นเป็นวรรณกรรมที่สร้างสรรค์อยู่มากทีเดียว ทั้งในแง่เนื้อหาที่ไม่ใคร่จะมีใคร(กล้า)พูดถึงนัก ศิริวรนำมานำเสนอด้วยกลวิธีที่น่าสนใจพอประมาณ จะไม่มีอะไรดีเลยก็คงไม่ใช่ แต่ก็ต้องยอมรับว่านั้นมันอยู่ในกรอบของการประกวดวรรณกรรมการเมือง ก็เมื่อออกมาจากกรอบดังกล่าวไปสู่รางวัลซีไรต์ซึ่งเปิดกว้างขึ้นในแง่ของเนื้อหา กระนั้นกรณีฆาตกรรมฯก็ยังไม่ดีพอที่จะเข้าป้ายซีไรต์ การที่จรูญพรบอกว่า"มีดี"แถมมีดีถึงติดอันดับ ฟังดูยังไงก็เป็นการ"เชียร์"ที่เอาแน่อะไรไม่ค่อยได้นักในฐานะนักวิจารณ์ยอดเยี่มรางวัลหม่อมหลวงบุญเหลือฯ แค่ติดอันดับเข้ารอบถึงสิบเล่มก็บอกว่ามีดีเพื่อจะไปยืนยันอะไรหรือ เพราะ้ถ้าดีจริงก็คงได้ซีไรต์ไปแล้ว เอาเข้าจริงวรรณกรรมที่ได้ซีไรต์ก็ไม่ใช่ดีเสมอไปเป็นที่เห็นอยู่ แต่กรณีฆาตกรรมฯก็ยังไม่ดีพอที่จะได้แม้แต่ซีไรต์ ซึ่งเปิดกรอบกว้างกว่ารางวัลประเภทใดประเภทหนึ่งเช่นพานแว่นฟ้าแน่ และเรื่องที่แค่เข้ารอบซีไรต์ก็ไม่ใช่เครื่องการันตีอะไร ยังไม่นับไม่ได้รางวัลซีไรต์ใดๆเลย เมื่อยังไม่ได้ซีไรต์ จรูญพรก็ไม่ควรเอาน้ำหนักตรงนี้ ไปการันตีเทียบเคียงจากการที่กรณีฆาตกรรมฯตกไปหรือไม่ได้รางวัลพานแว่นฟ้าด้วยประการทั้งปวง ,นี่ประการหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม,การที่วรรณกรรมจะได้รางวัลหรือไม่นั่นอยู่ที่เหตุผลของการประกวด แต่เนื้อหาสาระจริงๆนั้นอยู่ที่ตัวเนื้อหาเอง จะว่าศิริวร เพราะ้ถ้านับเอาการประกวดเป็นหลัก ศิริวร ก็นับได้ว่ามีฝีมือใช่ย่อย เพราะเคยเข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์มาแล้วทุกประเภท แม้ตัวเองจะออกตัวว่าไม่ชอบเทศกาลประกวดก็ตาม แต่ถึงศิริวร จะไม่ได้รางวัลหรือเข้ารอบ แต่เขาก็เป็นคนทำงานวรรณกรรมสร้างสรรค์ที่น่ายกย่องคนหนึ่ง กล่าวคืองานของเขามีรูปแบบใหม่ๆ และมีเกียรติเป็นถึงระดับนักเขียนรางวัล"ศิลปาธร" แต่เช่นกัน ต่อให้เขาเป็นนักวรรณกรรที่น่ายกย่อง เป็นเด็กดื้อของวงการ หรือเป็นนักเขียนรางวัลศิลปาธรก็ตาม สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวงานเป็นสำคัญ การที่เขาทำนิสัยแบบ"เต๋าหัวโจก"ต่อวงการ อย่างกรณี"กวีหน้าราม"มา ก็นับเป็นบุคลิกส่วนตัวที่เป็นความสามารถเฉพาะตัว.. (มีต่อ)

Comment #3
จรดล
Posted @August,13 2009 14.23 ip : 118...90

ประเด็นสำคัญก็คือ..อยู่ที่ผู้ใหญ่ชอบให้ท้ายเด็ก หรือตักเตือนเขาด้วยความหวังดีมากกว่า เห็นมาเยอะแล้วครับคนประเภทที่ชอบประกาศโอ่ว่าไม่ยึดติดกับตัวรางวัลแต่ตัวสั่นระริกระรี้อยากจะได้น่ะ เด็กสมัยนี้ก็เป็นกันเยอะ ได้รู้จักพุดคุยกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาบอกว่าเขาเคยเข้ารอบรางวัลซีไรต์เมื่อปีก่อนโน้น ไอ้เราก็พอจะรู้จักมักจี่ใครต่อใครในแวดวงอยู่บ้าง ได้คำเฉลยว่าเข้ารอบยี่สิบเล่มสุดท้าย ก็ถือว่าโอเค ผ่าน อย่างมนตรี ศรียงค์ ซะอีกแกบอกเลยว่าถ้าได้รางวัลซีไรต์เรอะ ก็ได้ตังค์มากินเบียร์ ฮะฮา ตรงๆกว่า...เข้าเรื่องต่อครับ

การที่ศิริวร ซึ่งมีวุฒิภาวะเป็นถึงระดับนักเขียนรางวัลศิลปาธร แต่การที่ศิริวร ส่งบทกวีเข้าไปเพื่อประกวดตั้ง 2 ชิ้นทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกกิตกานั้นถือว่าเป็น"มารยาททราม"ที่ไม่ควรปรากฏเป็นเยี่ยงอย่างหรือชวน"ยกย่อง"อย่างที่จรูญพรบอกว่าเป็นการแสดงฝีมือให้ประจักษ์อีกครั้ง อย่างหนึ่ง ตัวเองไม่ได้รับรางวัลแล้ว ไปทำให้โอกาสคนอื่น ซึ่งเขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรต้องมาเสียสิทธิืของเขาไป เป็นการทำลายสิทธิและโอกาสของผู้อื่นโดยไม่สนใจไยดีอะไร นอกจาก"ความสะใจ"เฉพาะตัว ที่เกิดข้อกังขาต่อการประกวดเท่านั้น ถ้าเลิกสังฆกรรมไปเลยเสียยังจะดีกว่า กรณีต่อมา เป็นกฎกติกามารยาทของกรรมการอยู่แล้ว โดยทั่วไปที่เข้าใจว่าเขาคงจะไม่ดูชื่อคนเขียนคนแต่งว่าเป็นใคร ซึ่งทำให้บริสุทธิยุติธรรมขึ้น กรณีตรงนี้ก็ไม่ควรจะไปคิดว่าคนอื่น"โง่"หรือ"รู้ไม่ทัน"ว่าตนเอง"เก่ง"หรือ"ฉลาด"ขณะที่แอบนั่ง"เยาะหยัน"เขาโดยวิธีการ"โกง"ตื้นๆแบบไม่"รับผิดชอบและไม่รู้จักโต"ของตัวเองอยู่ได้ เพราะมี"อคติ"ต่อความไม่ต้องใจของตัวเอง โดยมีคนเห็นด้วย"คอยให้ท้าย"ในสิ่งที่เด็กคนหนึ่งทำอะไรๆที่"ไม่เข้าท่า"แต่สร้างผลงานที่ดีได้ก็พอ

พฤติกรรมที่แย่ๆอย่างนี้..แย่เสียยิ่งกว่าคนสร้างงานวรรณกรรมได้แย่ๆมากกว่ากันเป็นไหนๆ โดยเฉพาะที่คิดว่าทำงานวรรณกรรมสร้างสรรค์เพื่อความสมาฉันท์  และคิดว่าตนเองเก่งและดีเลิศ และดีระดับได้รางวัล แต่พฤติกรรมชอบทำตัวปั่นป่วนและไร้มารยาทนั้น บางทีนี่อาจเป็นข้อพิสูจน์บางอย่างได้เหมือนกันว่าดีหรือไม่ดีจริง
แต่ที่น่าระอากว่านั้นก็คือพฤติกรรมที่ยุยงส่งเสริมและให้ท้ายของคนในแวดวงเดียวกัน แต่ถ้าเป็นไปด้วยความมาดหวังดี ก็ต้องว่ากันต่อไปในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์

กล่าวสำหรับกรณีของนักวิจารณ์อย่างจรูญพรก็เช่นกัน แทนที่จรูญพร ทราบว่าศิริวร มีพฤติกรรมเช่นนั้น (ซึ่งพฤติกรรมกับฝีมือมันคนละอย่างกัน)จะบอกกล่าวในเชิงตำหนิติเตือน กลับเรียกร้องโจทย์จันว่า ไฉนใครถึงพูดถึงสักแอะ แม้แต่ในแวดวงวรรณกรรมหรือเวบบอร์ดทั้งหลาย สงสัยว่าจรูญพรคงอยากให้ใครต่อใครออกมาโห่ร้องยินดีว่าศิริวรแม่-ม!มันเก่ง ทำเรื่องสั่วๆ แล้วไม่เห็นมีใครชมยกย่องว่าสุดยอด พฤติกรรมแบบนั้น ต่อให้คนเก่งไม่เก่งในแวดวงอะไรๆเขาก็คงมีแต่คำถาม แต่ไม่ใช่ยกย่อง หรือควรพูดถึงแม้แต่น้อยเลย (กรณีแบบนี้ก็เคยเกิดกับพฤติกรรมของกลุ่มวรรณกรรมกลุ่มหนึ่งเมื่อก่อนทีพิมพ์วันเดือนปีที่ส่งช้าไป หนึ่งวินาที แล้วยังไปมึงมา-พาโวย เอากับคณะกรรมการว่า รับเรื่องที่ตนส่งไปได้ยังไง เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นไปไม่ได้ที่หนังสือจะออกจากโรงพิมพ์ไปส่งโอเรียลเตลได้ทัน...หากแต่ในความเป็นจริงคือส่งทัน ก็บ่งบอกตัวเองอยู่แล้วว่า มีนิสัยชอบโกหกและสร้างหลักฐานเท็จหรือทำอะไรโง่ๆ ไม่อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งตนเองก็เอาไปส่งเองทัน เป็นต้น)ความคิดบ้าๆบอๆประเภทอย่างนี้ยังไม่ได้หายไปไหน ยังหลงเหลืออยู่ ซึ่งเป็นเรื่องไร้สาระที่เราชอบทำ พยายามจะทำให้เป็นสาระประเด็นทางปัญญากันขึ้นมาเสมอๆ ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไร้สาระและแสดงถึงออกถึงความโง่เขลาเบาปัญาของผู้กระทำเองอยู่ในตัว คือเป็นพวกชอบหาเรื่อง-ขี้แพ้ชวนตี

มันเป็นเรื่องของความผิดถูก ชั่วดี ควรไม่ควร อันเป็นหลักเบื้องต้นของคนทั่วไปพึงจะทำด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่เรื่องของภูมิปัญญาหรืออะไรที่ควรยกย่องเชิดชู อย่างที่จรูญพรหรือศิริวร ต้องการจะให้ปรากฏเป็นปรากฏการณ์ หรือตัวอย่างที่เลวอะไรเลย คุณส่งเรื่องมา กรรมการเขาก็พิจารณาไปตามปกติธรรมดา แล้วมันมีอะไรน่าจะพิสูจน์หรือว่าตนเองเก่ง คณะกรรมการหรือคนอื่นโง่เง่าเต่าตุ่น เปล่าเลย มันเป็นการพิสูจน์และโพทนาตนเองมากกว่าว่าเป็นอย่างไร (มีต่อ)

Comment #4
จรดล
Posted @August,13 2009 14.44 ip : 118...90

จรูญพรเหมือนจะถามแทนศิริวรว่า..แล้วแวดวงวรรณกรรม มีปัญญาจะจัดการอะไรกับเขาไหม ตรงนี้ผมมีความเห็นส่วนตัวว่า..การที่ใครคนใดคนหนึ่งจะมีพฤติกรรมเลวๆ มันเป็นเรื่องเฉพาะตัว ที่ไม่ได้เกี่ยวกับแวดวงเลย ในแวดวงวรรณกรรมเราเองนั้น มีกรณีการตีพิมพ์บทกวีเรื่องสั้นซ้ำ ก็มีการขอโทษขอโพย มีการลงโทษตัวเอง มีกฎกติกากันไปตามจรรยาบรรณอันเหมาะอันควรอยู่เอง แวดวงคงไม่มีเวลามาใส่ใจอะไรกับพฤติกรรมที่ไม่ถูกไม่ควรของคนเก่งคนหนึ่งๆ แล้วเฮโลสาระพากันมายกย่องชื่นชม การทำตัวของคนๆนั้นก็เป็นผลต่อเขาเองและแวดวงเอง คงไม่มีใครไปจูงจมูกหรือห้ามปรามได้ เพราะไม่ใช่ควายใช่วัว ถามจรูญพรว่า ต้องให้แวดวงไปจัดการอะไรกับศิริวร หรือ จัดการอย่างไรก็ในเมื่อแต่ละคนก็โตๆกันแล้ว หนำซ้ำสิ่งที่คิดที่ทำก็มีเจตนาอันโจ่งแจ้งเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วเช่นกัน ว่าดีไม่ดีอย่างไร และพฤติกรรมเพียงปัจเจกบุคคลเช่นนี้ ทำไมแวดวงจะต้องใหความ"สลักสำคัญ"ในกรณีไหนอย่างไรหรือ เพียงแต่ผิดชอบชั่วดีพื้นๆ คุณยังทำไม่ได้ และคิดจะทำต่อไป ที่แวดวงเงียบ...อาจเป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรให้พูดถึงเลยสักนิด เป็น "บทเพลงที่ไร้เสียงกับการแสดงตัวของผู้ก่อการ"เท่านั้นเอง.

Comment #5
จรดล
Posted @August,13 2009 15.23 ip : 118...90

ปล.การตั้งข้อสังเกตต่อมุมมองของเนื้อหาบทกวี ว่าีน่าจะมีความสมมาตรมากกว่าถ้ามีมุมมองของมุสลิมมากกว่าพุทธ ของจรูญพร นั้นน่าสนใจ ผมยังไม่ได้อ่าน แต่เป็นไปได้ไหมว่า เราจะนำเสนอเฉพาะมุมมองของพุทธหรือมุสลิมก็ไม่เห็นแปลก ถ้ามันสื่อนัยยะใดๆได้ ...อย่างไรก็ตาม กรณีที่จรูญพรวิจารณ์"ประเทศใต้"ว่านำเสนอเรื่องสามจังหวัดชายแดนใต้ อีกเล่ม หลังกรณีฆาตกรรมฯ นั้นคงไม่ใช่ ประเทศใต้พูดถึงกรณีนี้น้อยนิดเดียวเอง เป็นแค่องค์ประกอบของประเทศใต้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม จะลองฟังทัศนะของผู้ถูกพาดพิงหรือผู้อ่านอื่นๆในที่นี้ดูก่อน แล้วอาจจะมีความเห็นเพิ่มเติมนะครับ และหวังหว่าคงจะไม่มีกรณี"หลอกแดก"แบบศิริวร เกิดขึ้นอีกในแวดวงวรรณกรรมของเราแบบนั้น
เอาที่มันสร้างสรรค์เป็นเนื้อหาสาระตรงๆดีกว่าครับ

Comment #6
จรดล
Posted @August,14 2009 15.03 ip : 118...9

ปล.2 ผมขอสงวนสิทธิ์ ปล.นิดนึงนะครับ ในกรณีประเทศใต้นะครับ ที่เข้าใจว่าจรูญพร วิจารณ์ ว่าประเทศใต้นำเสนอเรื่องสามจังหวัดชายแดนใต้ อีกเล่มหนึ่ง แต่...นำเสนอปัญหาภาคใต้ และสถานการณ์ความขัดแย้งซึ่งบ่มเพาะมาเป็นเวลาร้อยๆปี เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนสู่ดินแดนนี้อีกครั้ง...ซึ่งไม่น่าจะหมายถึงเฉพาะปัญหาสามจังหวัด (แต่หมายถึงเรื่อง"แมงคาเรือง") ซึ่งน่าจะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของผมเอง...ส่วนอื่นๆ ขอยืนยันไว้ตามนั้นนะครับผม./ขอบคุณครับ

Comment #7
Posted @August,15 2009 23.39 ip : 222...121

ผมเองไม่ค่อยคิดอะไรกับประเด็นเหล่านี้มากนัก สุดท้ายนักเขียนก็ยังจะเป็นผู้ถูกกระทำหรือผู้รับผิดชอบฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ น่าจะมองเชิงระบบมากกว่ามองแยกส่วนนะครับ น่าจะได้ประโยชน์มากกว่ามาเพ่งหาคนผิดคนถูก
ดูเหมือนว่า ไอ้ตัวร้าย ที่เกี่ยวข้องไม่ใช่จะมีแค่คนๆเดียวละมัีง

Comment #8
จรดล
Posted @August,18 2009 13.39 ip : 113...234

สงสัย 555

ถ้ามองในแง่ระบบ ในระบบประชาธิปไตยเรามักอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพกัน แต่ก็ไม่ค่อยเคารพกฎกติกา นักการเมืองก็ทั้งหลายแหล่ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นถึงระดับชาติก็มักมีข้ออ้างเรื่องการโกงเสมือนหนึ่งเป็นความจำเป็น ขณะบนเวทีและฉากหน้าก็โพทนาเรื่องดีงามฉันใด ในแวดวงศิลปวรรณกรรม เราก็มักจะเอาเรื่อง ขบถ หรือการประพฤติปฏิบัติตัวแหกกรอบ มาเป็นข้ออ้างของการสร้างสรรค์ฉันนั้น

เรื่องระบบจึงพูดยากหากไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล ผิดแต่ว่าเราจะให้ความเที่ยงธรรมเกิดขึ้นอย่างไรเมื่อเกิดกรณีต่างที่เป็นปัญหาขึ้นมา

กล่าวสำหรับกรณี การประกวดรางวัล ยิ่งต้องพูดถึงตัวบท กฎ ระเบียบในเบื้องต้นเสียก่อน กล่าวสำหรับการประกวดวรรณกรรมรางวัลพานแว่นฟ้า เกิดคำถามว่า ถ้าหนังสือทุกเรื่องที่ส่งเข้าประกวด เมื่อคณะกรรมการตัดสินแล้ว ต้องดีทุกเล่ม ก็คงเผด็จการเกินไป ในความเป็นประชาธิปไตยนั้น เราก็ต้องมีกฎกติกา หมายความว่า ก็เป็นกระบวนการกลั่นกรอง การที่ท่านประธานฯใช้สิทธิ์ตัดเรื่องที่ส่งเข้ามาออกไปก็ชอบด้วยเหตุผลเรื่องสิทธิงัยคับ ผมถึงบอกว่านั่นเป็นเรื่องกฎกติกาที่เราต้องเคารพกันก่อนในเบื้องต้น

มันไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่า เรื่องของนักเขียนที่ส่งเข้าไปแล้วถูกตัดสิทธิ์ดีไม่ดี เรื่องของศิริวร ก็เหมือนกัน โดยเบื้องต้นก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าคณะกรรมการส่วนใหญ่ก็เห็นดีเห็นชอบ คือเห็นว่าดี และชอบ เพราะฉะนั้นการที่ศิริวร ตั้งใจจะส่งผลงานบทกวีเข้าประกวด เพื่อพิสูจน์ความมีฝีมือนั้นออกจะไม่สมเหตุสมผลหลายๆประการ เอาเป็นประเด็นคำถามสักสามสี่ข้อละกัน

อย่างแรก ประธานคนเดิมก็ไม่ได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือในการประกวดครั้งนี้ อย่างต่อมา มันก็ค่อนข้างประจักษ์ชัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าศิริวร มีฝีมือ ต่อมาอีกอย่าง สมมุติว่ากรณีฆาตกรรมฯส่งปีนี้แล้วถูกตัดสิทธิ์ ศิริวร จะมีปัญหาอีกไหม (หรือบทกวีสองชิ้นส่งครั้งก่อนแล้วถูกตัดสิทธิ์)

ต่อๆมาก็คือ การพิจารณาเขาพิจารณากันที่ตัวเนื้องานมิใช่หรือ ถึงศิริวรส่งบทกวีสองชิ้นในปีนี้แล้วได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัลก็ไม่น่าจะอยู่ที่ชื่อศิริวร แต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ตัวเนื้องาน(ดังที่ได้พิสูจน์แล้ว) การที่ศริวร ส่งบทกวีโดยปกปิดชื่อศิริวร ศิริวรต้องการพิสูจน์ฝีมือของตัวเองเท่านั้นหรือ พิสูจน์ไปเพื่ออะไร เพราะกรณีกรณีฆาตกรรมฯมีปัญหาไม่ได้มีปัญหาเพราะคนเขียนชื่อศิริวร แต่มีปัญหาที่ตัวเนื้องานเอง(จะใช่หรือไม่ใช่จริงนั่นเป็นอีกประเด็น) เพราะศิริวร ก็เขียนงานอื่นๆดีๆมากมายที่ไม่ได้เป็นปัญหา ศิริวรคิดว่าถ้าส่งงานบทกวีสองชิ้นแล้วระบุชื่อศิริวรสักชิ้นนึงซึ่งไม่ผิดกติกา แล้วกรรมการชุดไหนล่ะต้องพิสูจน์ หรือเกรงใจศิริวร หรือกลัวข้อครหาว่าคนนี้เคยมีปัญหา ให้รางวัลไม่ได้ เท่ากับว่าศิริวร ดูถูกกรรมการชุดปัจจุบันและดูถูกตัวเองที่ชื่อศิริวรละหรือ ศิริวรต้องเขียนงานในชื่อศิริวร และได้ไม่ได้ก็ยืดอกยอมรับ แต่การที่ศิริวรไม่ระบุชื่อแล้วคิดว่าจะพิสูจน์ฝีมือในตัวคณะกรรมการหรือตัวระดับมาตรฐานรางวัลนั้น  ศิริวรทำตัวให้มีปัญหาเอง ถึงศิริวรในนามดังกล่าวจะไ่ม่ได้รางวัลก็ไม่ใช่เรื่องที่ศิริวรจะไม่มีฝีมือ ถึงจะได้รางวัลก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเอาไปพิสูจน์ว่ากรณีฆาตกรรมและบทกวีครั้งก่อนจะเป็นความถูกต้อง มันคนละเรื่องเลยนะครับศิริวร.....

อันนี้เป็นเพียงประเด็นเล็กๆน้อยๆเหมือนที่พู่กันว่านะครับ ผมเพียงแต่ชี้ให้เห็น และไม่ได้ถึงกับว่าจะชี้ผิดชี้ถูกไปที่ศิริวรอย่างเดียว

อันนี้ผมพูดย้ำประเด็นเก่านะครับ ส่วนปัญหาเชิงระบบจริงๆ...ถ้ามีเวลามีประเด็นอื่นๆจะมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันนะครับผม.

Comment #9
เหม่ง
Posted @December,29 2009 16.27 ip : 110...132

ศิริวรไม่ได้ส่งบทกวีประกวด 2 ชิ้น แต่ส่งบทกวี "อย่างน้อย" 2 ชิ้น เข้าประกวดพานแว่นฟ้าครับ ดังนั้นการที่บทกวีสองชิ้นนี้ได้รางวัลย่อมไม่ได้แสดงว่าศิริวรมีฝีมือเหนือคนอื่น ถ้าคนอื่นส่งได้ "หลาย" ชิ้นอย่างที่ศิริวรทำ บทกวีทั้งสองนี้อาจไม่ได้รางวัลใดๆเลยก็ได้

แสดงความคิดเห็น

« 6963
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ