บทความ

ประกาศผลรอบแรกรางวัลซีไรต์และข้อสังเกตของคณะกรรมการ

by kai @July,14 2010 13.29 ( IP : 222...151 ) | Tags : บทความ

รางวัลซีไรต์รอบแรกปี 2553 ซึ่งเป็นปีกวีนิพนธ์ ประกาศเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 มีหนังสือเข้ารอบแรกจำนวน 6 เล่ม คือ

  1. ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง ของ ศิริวรณ์ แก้วกาญจน์
  2. เดินตามรอย ของ วันเนาว์ ยูเด็น
  3. ในความไหวนิ่งงัน ของ นายทิวา
  4. เมืองในแสงแดด ของ โกสินทร์ ขาวงาม
  5. ไม่มีหญิงสาวในบทกวี ของ ซะการีย์ยา อมตยา
  6. รูปฉายลายชีพ ของ โชคชัย บัณฑิต

คณะกรรมการคัดเลือกได้ให้ข้อสังเกตมีรายละเอียดดังนี้

ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง ของ ศิริวร แก้วกาญจน์

ท่าม กลางความสูญเสียที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เสียงจากสื่อมวลชนที่โหมรายงานข่าวรายวัน วันแล้ววันเล่าที่เรารับรู้ข่าวสารจนชาชิน หากแต่ข่าวที่รายงานข้อเท็จจริงไม่เคยสะท้อนเสียงจากความรู้สึกของผู้คน ผิดกับเสียงใน ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง ที่ขับกังวานเสียงแห่งความหวาดกลัว ตื่นตระหนก สะทก และแม้แต่เยาะหยันต่อโชคชะตา

ฉันอยากร้องเพลงสักเพลง นำผู้อ่านไปสัมผัสชีวิตของผู้คนที่ดำรงอยู่ท่ามกลางควันปืนและไฟสงคราม ความตายที่ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา สถานที่ และเวลา ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนนั้น เป็นสิ่งที่ผู้แต่งกำลังตั้งคำถามว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ระหว่าง พระเจ้า โชคชะตา และมนุษย์

ผู้ แต่งเล่าถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับผู้คนโดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาค ใต้ด้วยถ้อยคำที่กระชับ ชัดเจน แต่เปี่ยมด้วยพลังกระทบใจ นอกจากการเล่าเรื่องโดยเน้นรายละเอียดของชีวิตคนในพื้นที่จะเป็นกลวิธีสำคัญ ที่ดึงผู้อ่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอารมณ์แห่งความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้ว การขัดความและการตั้งคำถามยังช่วยให้สารเข้มข้นและแฝงนัยเย้ยหยันอย่างบาด ลึกอีกด้วย

แม้ กวีนิพนธ์เล่มนี้จะชี้ให้เห็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษยชาติ แต่ถึงที่สุดแล้วชีวิตก็ยังมีความหวังอยู่เสมอ มนุษย์อาจเป็นต้นเหตุทำลายธรรมชาติของการอยู่ร่วมกันให้แตกสลายก็จริงอยู่ แต่มนุษย์ก็สามารถเยียวยาประคับประคองสังคมให้ดีขึ้นได้ พลังสร้างสรรค์ของกวีนิพนธ์อาจขับกล่อมและบรรเทาทุกข์ในทุกหัวใจที่ผ่าวร้อน ให้ผ่อนเย็นลง

เมื่ออ่านกวีนิพนธ์เล่มนี้แล้ว ทำให้เราตระหนักว่าวันนี้สังคมไทยของเรากำลังต้องการเสียง “…ร้องเพลงสักเพลง กล่อมประเทศเราเอง ให้เธอฟัง”

เดินตามรอย ของ วันเนาว์ ยูเด็น

วันเนาว์ ยูเด็น ประพันธ์เรื่องเดินตามรอยเพื่อ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวโรกาสที่เจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ด้วยเห็นว่าพระองค์ทรงมีพระราชจริยวัตรอันงดงาม และกระแสพระราชดำรัสที่พระราชทานแก่พสกนิกรในโอกาสต่างๆ ล้วนเปี่ยมด้วยคติธรรมซึ่งได้แนวทางมาจากโคลงโลกนิติ ผู้เขียนจึงเลือกโคลงโลกนิติ ๘๐ บทเพื่อให้เหมาะแก่วโรกาสอันเป็นมงคลนี้

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาเดชาดิศร ทรงนิพนธ์โคลงโลกนิติขึ้นเมื่อเกือบ ๑๘๐ ปีมาแล้ว หลายบทมีสำนวนภาษาเก่า เกินกว่าที่คนในปัจจุบันจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่ ด้วยเหตุนี้ วันเนาว์ ผู้เห็นว่าโคลงโลกนิติเป็นวรรณกรรมคำสอนที่ทรงคุณค่า จึงพยายามที่จะสร้างสรรค์วรรณกรรมขึ้นมาใหม่ให้อ่านง่ายขึ้นโดยมีโคลงโลก นิติบทที่เป็น ต้นแบบ จัดวางพิมพ์ไว้ในหน้าซ้าย แล้วแต่งกลอนสุภาพพิมพ์ไว้ในหน้าขวา โดยคุมความหมายโคลง ๑ บาท ให้เท่ากับกลอนสุภาพ ๑ บท ดังนั้น โคลง ๑ บทจึงประพันธ์เป็นกลอนได้ ๔ บท แต่ผู้ประพันธ์มิได้ทำหน้าที่เพียงถ่ายทอดความหมายออกมาในรูปบทกลอนเท่านั้น ยังได้ประพันธ์ต่อท้ายด้วยกลอนบทที่ ๕ ที่แสดงความรู้สึกนึกคิด ทัศนะ อีกทั้งวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนั้นๆ โดยอาศัยทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและประสบการณ์อันยาวนานในชีวิต มองความเป็นไปในโลกนี้ด้วยความเชื่อมั่น

นอกจากความสามารถในการคุมคำ คุมความได้อย่างครบถ้วนแล้ว วันเนาว์ ยังได้แสดงฝีมือนักกลอนชั้นครู แหลมคมด้วยการเลือกใช้คำที่เข้าใจง่าย ถึงพร้อมด้วยวรรณศิลป์ ไพเราะสละสลวย น่าประทับใจและน่าจดจำ เช่น

เมื่อทำชอบชอบต้องสนองกลับ ไม่เลือนลับความชอบตอบต่อผล

ยื่นความชอบมอบให้แก่ใจคน ความชอบดลสิ่งชอบมาตอบแทน

เดิน ตามรอย จึงเป็นวรรณกรรมที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการเป็นสะพานแห่งยุคสมัยที่เชื่อมต่อ ระหว่างวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าในอดีตกับปัจจุบันซึ่งคนรุ่นใหม่สามารถใช้เป็น หลักคิดได้ และอาจย้อนกลับไปอ่านโคลงโลกนิติเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม ดังที่ผู้เขียนกล่าวว่า

คำเตือนติงสิ่งสอนแต่ก่อนเก่า ช่วยให้เรานั้นมีที่ปรึกษา

เดินตามทางอย่างดีที่มีมา ย่อมดีกว่างวยงงเดินหลงทาง

อาจนับว่า เดินตามรอยเป็นวรรณกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างหมดจด งดงาม

ในความไหวนิ่งงัน ของ นายทิวา

ใน ความไหวนิ่งงัน เป็นกวีนิพนธ์การเมืองที่สะท้อนวิกฤติการณ์ความขัดแย้ง ของผู้คนในสังคมไทย โดย ชี้ให้เห็นว่า วิกฤติของสังคมไทยปัจจุบันมีมูลเหตุมาจากการที่นักการเมือง (โดยเฉพาะบางคน) มุ่งผลประโยชน์ตนมากกว่าผลประโยชน์ชาติ พาให้ผู้คนในสังคมไทยแตกแยกทางความคิดจนเกิดแบ่งฝักแบ่งฝ่าย วิกฤติการณ์เช่นนี้ฉายให้เห็นถึงความไม่เข้าใจแก่นแท้ของประชาธิปไตยของคน ไทย ทั้งยังฉายให้เห็นถึงการขาดจิตสำนึกของนักการเมืองที่ทำ ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อของการเมือง เรื่องส่วนตน และทำให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมแห่งความเกลียดชัง เข่นฆ่าทำร้ายกันเองโดยขาดสติ

แม้ นายทิวาจะนำเสนอกวีนิพนธ์หลายบทด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ประชด เสียดสี เพื่อตั้งคำถามและกระตุ้นให้ผู้อ่านได้ร่วมคิดร่วมตระหนักกับบาดแผลที่ร้าว ลึกของสังคมไทย แต่ก็ยังได้ใช้บทกวีบางบทปลุกปลอบและเตือนสติผู้อ่านให้ยึดมั่นในสำนึกรัก ชาติ มองวิกฤติความเปลี่ยนแปลงด้วยสติ เมตตา ปล่อยวางแต่ใช่จะนิ่งดูดาย และเชื่อในกฎแห่งกรรม พร้อมเสนอว่าท้ายที่สุด การมองวิกฤตินี้ด้วยปัญญาจะทำให้เห็นว่าวิกฤติครั้งนี้ จะไม่มีชัยชนะ และไม่มีใครชนะ

ใน ความไหวนิ่งงัน แสดง ให้เห็นชั้นเชิงการประพันธ์กลอน กาพย์ และโคลงของนายทิวา ที่สืบทอดฉันทลักษณ์ตามขนบโดยสร้างสรรค์ลีลา จังหวะ และท่วงทำนองที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีฝีมือโดดเด่นในเรื่องของการเล่นเสียง การเล่นคำซ้ำคำ และการใช้คำที่มีความหมายตรงกันข้าม อันเป็นกลวิธีที่ผู้แต่งสามารถสร้างจินตภาพเชื่อมโยงกับวิกฤติการณ์ทางการ เมืองได้โดยไม่ต้องเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในลักษณะที่เป็นบันทึกเหตุการณ์ แต่เป็นการใช้ภาษาวรรณศิลป์เพื่อเป็นกระบอกเสียง และเป็นเครื่องมือบันทึกความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้คนผ่านสายตาของ ผู้แต่งที่ได้เฝ้ามองสังคมการเมืองไทยที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ด้วยความนิ่ง งัน

เมืองในแสงแดด ของ โกสินทร์ ขาวงาม

เมืองในแสงแดด สะท้อน ภาพชีวิตประจำวันที่ประทับอยู่ในใจของผู้แต่งผ่านบทร้อยกรองที่ละเมียดละไม ในอารมณ์ คล้ายผู้แต่งกำลังวาดภาพด้วยภาษา แตะแต้มรายละเอียดให้ผู้อ่านสัมผัสรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง ที่ผู้แต่งรู้สึก

ภาพ ที่ผู้แต่งวาดไว้สะท้อนถึงพื้นหลังของชีวิตและสังคมที่รองรับ แม้เป็นเพียงภาพของสบู่หอมนกแก้ว ตุ๊กตา รอยสัก แมวกับงู หรือดวงตาปลาช่อน เพียงภาพของคนเล็กๆ เช่น ช่างเขียนป้าย อดีตแชมป์มวย หญิงเลี้ยงวัว ช่างเครื่องเสียง พระชรา หรือพ่อค้าร้านของชำ เพียงภาพของสถานที่ธรรมดา เช่น บ้านในซอย อพาร์ตเมนต์ สวนสาธารณะ โรงหนัง หรือบนรถทัวร์ ล้วนบอกเล่าชีวิตร่วมสมัยของคนสามัญที่เป็นอยู่จริง แม้จะเป็นชีวิตที่ลำบากยากเข็ญ ผู้แต่งก็ยังมองเห็นแง่มุมของความงาม และอารมณ์ละเมียดละไมที่กล่อมเกลาจิตใจให้มีแรงกำลังที่จะดำรงอยู่

กวีนิพนธ์เล่มนี้เด่นที่การใช้กระบวนจินตภาพปะติดความ (collage) พรรณนาเร้าประสาทสัมผัสของผู้อ่านได้อย่างมีชีวิตชีวา สัมผัสสระและอักษรให้เสียงที่กลมกลืนคล้องจองกันอยู่ในท่วงทำนองหวานเศร้า จะเร่งจังหวะกระชั้นหรือทอดอารมณ์ตามเนื้อความก็อยู่ในอรรถรสเช่นนั้น

เมืองในแสงแดด จึงเปรียบเหมือนแดดอ่อนที่อาบไล้ภาพที่กวีวาดไว้ทั้งหมด ทั้งสิ่งสามัญ สิ่งที่น่ายินดีและน่าเศร้า จนกลายเป็นความงามอันโดดเด่น

ไม่มีหญิงสาวในบทกวี ของ ซะการีย์ยา อมตยา

ไม่มีหญิงสาวในบทกวี เป็นหนังสือรวมกวีนิพนธ์แบบไร้ฉันทลักษณ์ (free verse) ที่ มีความสั้น-ยาวแตกต่างกันตั้งแต่ ๑๑ บรรทัดจบในครึ่งหน้าจนถึงร้อยกว่าบรรทัดหลายหน้าจบ รวม ๓๖ บท หากนับรวมบทเกริ่นด้วยก็จะเป็น ๓๗ บท บทเกริ่นที่กล่าวถึงนี้ประกอบด้วยข้อความเพียง ๓ บรรทัดที่บอกเจตนารมณ์ของผู้แต่งไว้อย่างคมคาย ดังนี้

ฉันกำลังเดินทางในบทกวี

บทกวีกำลังเดินทางในฉัน

เราต่างมุ่งหน้าสู่ปลายทางเดียวกัน

ไม่มีหญิงสาวในบทกวี สื่อประสบการณ์และทัศนะอันหลากหลายของผู้แต่ง ตั้งแต่การสำรวจตนเอง ทัศนะต่อบทบาท ธรรมชาติ หน้าที่ของกวีและกวีนิพนธ์ ไป จนถึงทัศนะต่อมนุษย์ ชีวิต ปรากฏการณ์และสถานการณ์ร่วมสมัยในสังคมทั้งในระดับบุคคลและก้าวไปถึงระดับ มนุษยชาติโดยเชิญชวนให้ผู้อ่านร่วมคิดไปกับเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ผู้อ่านและผู้แต่งมองเห็นหรือค้นพบอาจไม่ใช่สิ่ง หรือคำตอบเดียวกัน

ซะการีย์ยา ไม่ได้เลือกที่จะนำเสนอประสบการณ์และทัศนะที่น่ารื่นรมย์ ตรงกันข้ามเขาได้นำเสนอเรื่องที่น่าเศร้าโศกไว้เป็นอันมาก แต่ก็มิได้พยายามบีบคั้นความรู้สึกผู้อ่านด้วยการแสดงออกอย่างขมขื่น เกรี้ยวกราด กลับปล่อยให้ความเข้มข้นของ”สาร”ที่ผู้อ่านรับได้ขึ้นอยู่กับเวลาและโอกาสในการอ่าน เช่น เขาใช้ถ้อยคำน้ำเสียงซึ่งโดยผิวเผินดูชวนขันในบท “หากฉันตาย” “กรณีวิวาทกับความเงียบ” และ “สระใอใม้มลายเสีย” แต่เมื่ออ่านซ้ำแล้วฉุกคิดก็จะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ขมและการประชดเหน็บแนมที่แฝงอยู่ หรือแม้แต่ในบทที่ชวนให้หม่นหมองมากอย่าง “จนกว่าพลทหารคนสุดท้ายจะกลับมา” เขาก็ “เล่น” กับอารมณ์เศร้าด้วยการนำรูปแบบที่ดูผ่อนคลายของรางรถไฟ อาการเคลื่อนอย่างโขยกเขยกของรถไฟ มาแทรกไว้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นความสามารถเชิงสร้างสรรค์ที่น่ายกย่อง

ความเด่นของไม่มีหญิงสาวในบทกวี อีกประการหนึ่งอยู่ที่การอ้างถึง (allusion) บุคคล ผลงานและสถานที่ในวัฒนธรรมที่แตกต่าง ซึ่งไม่เพียงแต่จะสะท้อนความเป็นนักอ่านของผู้แต่งเองเท่านั้นแต่ยังเป็นการ จุดประกายความคิด เชิญชวนให้พอใจที่จะเปิดหน้าต่างการอ่านออกไปสู่บรรณพิภพอันกว้างไกลเพื่อ ขยายโลกทัศน์และภูมิรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นอีกด้วย

รูปฉายลายชีพ ของ โชคชัย บัณทิต

รูปฉายลายชีพ เป็น หนังสือรวมบทกวีนิพนธ์ ๕๖ บท ระหว่างช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๑ จนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๓ กวีนิพนธ์แต่ละบทแม้จะแต่งขึ้นต่างกรรมต่างวาระ แต่ได้ผ่านการคัดสรรและจัดลำดับภายในกรอบของโครงเรื่อง “รูปเล่าเรื่อง”

“รูป” ในที่นี้มีทั้งภาพวาด ภาพถ่าย ภาพในจินตนาการ ภาพที่ได้พบเห็น ภาพในความทรงจำ ฯลฯ ซึ่งสะท้อนถึง “เรื่อง” อันได้แก่ชีวิตหลากหลายแง่มุมที่หลายคนอาจจะมองข้ามออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นหญิงบ้า หมอดู คนใบ้หวย เด็กขายของ ขโมยหรือพระ “ชีวิต” เหล่านี้มีทั้งที่เจาะจงเฉพาะชีวิตใครคนใดคนหนึ่งและชีวิตของผู้คนที่มารวม กันในที่นั้นๆ ด้วยเหตุผลต่างๆ กันในกวีนิพนธ์แต่ละบท กวีนิพนธ์บทแรกคือ “รูปฉายลายชีพ” เป็นเสมือนบทนำ กวีนิพนธ์บทที่ ๒๙ คือ “รูปฉายลายชีพ: แอ็คชั่น” เป็นบทเชื่อมระหว่างบทนำกับบทลงท้ายให้มีความต่อเนื่องกัน โดยมีกวีนิพนธ์บทที่ ๕๖ คือ “รูปฉายลายชีพ: แอนิเมชั่น” เป็นเสมือนบทลงท้ายที่ฉายให้เห็นจุดเริ่มต้นจากวัยเด็กที่ดำเนินมาสู่จุดสุด ท้ายคือวัยชรา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กวีนิพนธ์เล่มนี้มีทั้งเอกภาพด้านโครงเรื่อง และเป็นเอกเทศในแต่ละบทที่นำมาร้อยรวมเข้าด้วยกัน สะท้อนถึงความเป็นมาและเป็นไปของชีวิตผ่านสายตากวี

รูปฉายลายชีพ ใช้คำประพันธ์ประเภทกลอนเป็นส่วนใหญ่ มีส่วนน้อยเป็นกาพย์ยานี ๑๑ จังหวะกลอนและกาพย์รื่นไหล ใช้ภาษาที่เรียบง่าย งดงาม มีความหมายกระทบใจ กวีนิพนธ์หลายบทเขียนให้คิดไปได้ไกลกว่าถ้อยคำที่ปรากฏ โดยเฉพาะการตั้งชื่อกวีนิพนธ์แต่ละบทมีทั้งตรงไปตรงมา เสียดสี และชวนให้คิด เช่น “ภาพในเพลง” “คนขายอนาคต” “นิทรรศกาม”

กลวิธี การนำเสนอเป็นไปในลักษณะเล่าเรื่อง บางครั้งทิ้งคำถามไว้ในบทกวีเพื่อให้ผู้อ่านหาคำตอบด้วยตัวเอง ที่น่าสนใจคือผู้แต่งใช้กวีนิพนธ์ทำหน้าที่เสมือนกล้องบันทึกความสัมพันธ์ ระหว่าง “รูป” และ “ชีวิต” รูปฉายลายชีพ จึงเป็นชื่อที่ครอบคลุมเนื้อเรื่องทั้งหมด เพราะเป็นการฉายรูปให้เห็นว่า “ชีวิต” เป็นอย่างไร “รูป” ก็เป็นอย่างนั้นไม่ต่างกัน เพราะ “รูป” ก็คือชีวิต “ชีวิต” ก็คือ “รูป” นั่นเอง

ข้อสังเกตจากคณะกรรมการคัดเลือกกวีนิพนธ์

รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี ๒๕๕๓

หนังสือ ส่งเข้าประกวดรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ประจำปี ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นรอบของวรรณกรรมสร้างสรรค์ประเภทกวีนิพนธ์มีทั้งหมด ๗๔ เรื่อง คณะกรรมการคัดเลือกได้ตรวจสอบคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ พบว่า มีหนังสือไม่เข้าหลักเกณฑ์จำนวน ๓ เรื่อง เป็นนวนิยาย ๑ เรื่อง หนังสือร้อยแก้วทั่วไป ๑ เรื่อง และหนังสือไม่มี เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN) ๑ เรื่อง จึงมีกวีนิพนธ์ที่พิจารณาคัดเลือกจำนวน ๗๑ เรื่อง

ภาพรวมของกวีนิพนธ์ที่ส่งเข้าพิจารณาคัดเลือก

๑. รูปแบบคำประพันธ์ มี ๓ รูปแบบ คือ

๑.๑ กวีนิพนธ์ที่แต่งโดยใช้ฉันทลักษณ์ไทย ได้แก่ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย

๑.๒ กวีนิพนธ์แบบไร้ฉันทลักษณ์ (free verse) หรือกลอนเปล่า ๑.๓ กวีนิพนธ์ที่แต่งโดยใช้ร้อยกรองพื้นบ้าน เช่น เพลงกล่อมเด็ก ผญา กลอนหัวเดียว เป็นต้น

กวีนิพนธ์ที่ส่งเข้าพิจารณาคัดเลือกนิยมใช้ฉันทลักษณ์ไทยมากที่สุด นอกจากนี้ พบว่า ยังนิยมใช้ฉันทลักษณ์ไทยและกลอนเปล่าในเล่มเดียวกัน ใช้กลอนเปล่าทั้งเล่ม และใช้ร้อยกรองพื้นบ้าน มากน้อยลงมาตามลำดับ

กวีนิพนธ์ที่แต่งโดยใช้ฉันทลักษณ์ไทยมักใช้กลอนเป็นหลัก ส่วนคำประพันธ์ประเภทกาพย์ โคลง ฉันท์ และร่าย แม้จะพบอยู่ในกวีนิพนธ์หลายเรื่อง แต่ก็มีในสัดส่วนที่ไม่มากนัก

๒. เนื้อหา กวีนิพนธ์ ที่ส่งเข้าพิจารณาคัดเลือกมีเนื้อหาหลากหลาย ครอบคลุมแนวคิดทั้งทางโลกและทางธรรม สะท้อนเหตุการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ความคิดและการใช้ชีวิตของปัจเจกบุคคล ประเด็นสำคัญที่มักนำเสนอ ได้แก่

๒.๑ การเมือง ผู้ แต่งมักแสดงทัศนะเกี่ยวกับการเมืองที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ อันเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลให้สังคมไทยแบ่งกลุ่มทางการเมืองออกเป็นสองกลุ่ม อย่างชัดเจน รวมทั้งยังได้วิพากษ์วิจารณ์สภาพการเมืองโดยรวมของสังคมไทยจากมุมมองความคิด ความเชื่อของผู้แต่งเอง

๒.๒ สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นประเด็นที่ผู้แต่งเขียนถึงมากอย่างมีนัยสำคัญ พบว่า ผู้แต่งทั้งที่เป็นชาวใต้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และที่ไปอาศัยอยู่ในภูมิภาค อื่น ๆ ได้ร่วมกันถ่ายทอดภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ผ่านมุมมองของตน โดยสะท้อนภาพการดำรงชีวิตทั้งที่สุขและทุกข์ ทั้งที่สร้างสรรค์และทำลาย

๒.๓ ศาสนา ผู้แต่งได้สะท้อนความเชื่อความศรัทธาในศาสดาและหลักศาสนาของศาสนิกชนไม่ เฉพาะแต่พุทธศาสนาเท่านั้น น่าสังเกตว่ามีผู้แต่งหลายท่านที่กล่าวถึงศาสนาอื่น ๆ โดยเฉพาะศาสนาอิสลามอีกด้วย ประเด็นที่เกี่ยวกับศาสนานี้มีทั้งที่เขียนถึงความดีงามความสูงส่งของศาสนา และที่ตั้งคำถามต่อศาสนาและหลักคำสอน

๒.๔ สังคม ผู้ แต่งจำนวนมากได้สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมที่เกิด จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีว่าความก้าวหน้าดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลต่อความ คิด การใช้ชีวิต และพฤติกรรมของคนในปัจจุบัน ทั้งยังตั้งคำถามถึงทางเลือกระหว่างวิถีชีวิตแบบเก่าที่ผู้คนสัมพันธ์กัน อย่างใกล้ชิดกับวิถีชีวิตแบบใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีจนทำให้ผู้คนห่าง เหินกัน นอกจากนี้ ผู้แต่งยังสะท้อนแนวคิดและการใช้ชีวิตของปัจเจกบุคคลที่พยายามแสดงความเป็น อิสระและเสรีนิยมทางความคิดความเชื่อทางการเมืองและศาสนา รวมถึงการใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ผูกมัดกับกฎเกณฑ์ของสังคม โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่

๒.๕ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประเด็นที่กล่าวถึงพอสมควร ผู้ แต่งกล่าวถึงความเสียหายของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของ มนุษย์ โดยแสดงความวิตกกังวลถึงภัยต่าง ๆ จากธรรมชาติ และเรียกร้องให้มนุษย์ช่วยกันรักษาธรรมชาติ

๓. ผู้แต่ง จากประวัติโดยย่อของผู้แต่งในหนังสือแต่ละเล่ม พบว่า ผู้แต่งมีทั้งผู้ที่ทำงานวรรณกรรมคือเป็นนักเขียนส่วนหนึ่ง และผู้ที่ประกอบอาชีพอื่นแล้วสร้างสรรค์กวีนิพนธ์ไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง ในกลุ่มหลังนี้ที่พบมาก ได้แก่ ข้าราชการครู ข้าราชการอื่น ๆ และสื่อมวลชน การ ที่ผู้แต่งมาจากหลายสาขาอาชีพนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เนื้อหา ความคิด และมุมมองที่นำเสนอมีความหลากหลาย ประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ มีพระสงฆ์ส่งกวีนิพนธ์เข้าพิจารณาในครั้งนี้ด้วย และนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตทางโลกได้อย่างน่าสนใจ

ข้อสังเกต

คณะกรรมการคัดเลือกรางวัลวรรณกรรมซีไรต์ ประจำปี ๒๕๕๓ มีข้อสังเกตเกี่ยวกับ กวีนิพนธ์ทั้ง ๗๑ เรื่อง ดังนี้

๑. รูปแบบการประพันธ์ พบ ว่า กวีนิพนธ์ที่แต่งโดยใช้ฉันทลักษณ์ประเภทกลอนและกาพย์มีการใช้สัมผัสซ้ำและ สัมผัสเลือนเป็นจำนวนมาก ในกรณีสัมผัสซ้ำ มีทั้งสัมผัสซ้ำในบทและระหว่างบท และในกรณีของสัมผัสเลือนมักพบการใช้คำที่มีเสียงสระคล้ายกันเป็นคำรับส่ง สัมผัส ส่วนคำประพันธ์ประเภทอื่น ๆ เช่น โคลง พบว่านอกจากจะมีข้อบกพร่องในเรื่องตำแหน่งคำเอก คำโท และคำสร้อยในบาทที่ ๑ และบาทที่ ๓ แล้ว ในโคลงดั้น ยังมีที่แต่งโดยขาดโทคู่ในบาทสุดท้าย นอกจากนี้ การจัดรูปแบบของโคลงกระทู้ หรือแม้แต่โคลงสี่สุภาพ ยังพบว่าผิดไปจากขนบการประพันธ์ ส่วนคำประพันธ์ประเภทฉันท์ พบว่า มีการเลือกคำมาใช้ในตำแหน่งครุและลหุโดยเปลี่ยนแปลงรูปคำไปจนผิดหลัก ไวยากรณ์และไม่สื่อความ

๒. การใช้ถ้อยคำ พบว่า มีการใช้ถ้อยคำที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับบริบทอยู่เป็นจำนวนมาก มีการสร้างสรรค์ถ้อยคำใหม่ ๆ และการประสมคำที่ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ทำ ให้เป็นคำที่เข้าใจเฉพาะผู้แต่ง ไม่สื่อความหมายแก่คนทั่วไป รวมทั้งการนำคำภาษาต่างประเทศที่เขียนด้วยอักษรโรมันมาใช้ บางกรณีก็เกินความจำเป็น บางกรณีก็สื่อความหมายคลาดเคลื่อนไปจากภาษาเดิม

นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการใช้คำทับศัพท์ภาษาอังกฤษโดยออกเสียงตามความเข้าใจของ ผู้แต่ง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการรับส่งสัมผัสอันเกิดจากการออกเสียงที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย

๓. การบรรณาธิกรณ์ พบว่า กวีนิพนธ์หลายเล่มมีเนื้อหาโดยรวมน่าสนใจ แต่ขาดการบรรณาธิกรณ์ที่ดี ทำให้การจัดเรียงเนื้อหาไม่มีแนวคิดที่เป็นเอกภาพ รวมทั้งการพิสูจน์อักษรยังผิดพลาดเป็นจำนวนมาก และพบคำที่สะกดผิดในกวีนิพนธ์เกือบทุกเล่ม เป็นการลดทอนคุณค่าของหนังสือลงไปอย่างน่าเสียดาย

นอก จากนี้ยังพบว่า กวีนิพนธ์ที่ใช้ฉันทลักษณ์และไร้ฉันทลักษณ์ในเล่มเดียวกัน เมื่อนำมาอยู่ร่วมกันทำให้ไม่มีเอกภาพ เพราะรูปแบบฉันทลักษณ์ทั้งสองแบบมีข้อเด่นคนละด้าน จึงทำให้หนังสือมีข้อด้อยกว่าเล่มที่ใช้คำประพันธ์รูปแบบเดียวกันทั้งเล่ม ส่วนกวีนิพนธ์ที่ผู้แต่งพยายามใช้ฉันทลักษณ์หลายรูปแบบในเล่มเดียวกัน กลับสะท้อนให้เห็นระดับฝีมือการประพันธ์ฉันทลักษณ์แต่ละชนิดว่าไม่เสมอกัน ทำให้คุณภาพของงานโดยรวมลดลง

อนึ่ง การเขียนคำนำหรือคำนิยมของบรรณาธิการหรือผู้อื่นนั้น ข้อมูลที่นำมากล่าวถึงและการใช้คำควรคำนึงถึงความถูกต้องทางวิชาการและความ เหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อหาสาระในกวีนิพนธ์และระดับฝีมือของผู้แต่งด้วย

ข้อเสนอแนะ

๑. การจัดพิมพ์หนังสือกวีนิพนธ์ควรมีการบรรณาธิกรณ์ เพื่อให้หนังสือมีเนื้อหาที่เป็นเอกภาพ มีแนวคิดชัดเจน มีการตรวจแก้ไขคำผิดและปรับปรุงสำนวนให้ถูกต้อง

๒. การใช้คำภาษาต่างประเทศในกวีนิพนธ์ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม หากนำมาใช้เพื่อเป็นคำรับส่งสัมผัสควรตรวจสอบเรื่องการออกเสียงให้ถูกต้อง ว่าสามารถรับส่งสัมผัสได้หรือไม่

๓. การใช้ฉันทลักษณ์ หากต้องการยึดฉันทลักษณ์ตามขนบ ควรระมัดระวังเรื่องสัมผัสเนื่องจากเป็นหลักสำคัญที่ทำให้บทกวีมีฉันทลักษณ์ ที่ถูกต้องและไพเราะงดงาม อีกทั้งยังเป็นการพิสูจน์ความรู้รอบทางภาษาของผู้แต่งได้อย่างแท้จริง ควรเลี่ยงสัมผัสซ้ำและสัมผัสเลือน ทั้งยังควรคำนึงถึงการวางรูปแบบฉันทลักษณ์ประเภทต่าง ๆ ให้ถูกต้องด้วย

อย่างไรก็ดี ผู้แต่งมีสิทธิ์สร้างสรรค์ฉันทลักษณ์ขึ้นใหม่ และในการนำเสนอควรแสดงให้เห็นถึงการสร้างสรรค์นั้นอย่างชัดเจน สามารถสื่อให้ผู้อ่านเข้าใจฉันทลักษณ์ของตนได้

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๓

Posted by โกศล

Comment #1
รู้หรือไม่
Posted @July,15 2010 19.43 ip : 110...186

รู้ทั้งที่รู้ว่างานนี้จงใจยัดใส่พานให้ใครโอ้นายวอนซะแล้ว

Comment #2
จรดล
Posted @July,17 2010 01.14 ip : 113...25

เป็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของซีไรต์ ที่มีการวิเคราะห์ให้เหตุผลต่องานที่เข้ารอบ

สั้นๆสำหรับความเห็นตรงนี้ ผมว่าไม่ควรเอาฉันทลักษณ์ กับ กลอนเปล่า กลอนปล่อยมาพิจารณาร่วมกัน ในแง่ของความถูกต้องทางกวีนิพนธ์ เมื่อท่านยอมรับ กลอนเปล่า กลอนปล่อยได้ จะไปเอาตรรกะอะไรมาพิจารณาเรื่องความถูกต้องทางฉันทลักษณ์ มันไม่ยุติธรรม ดับเบิ้ลสแตนดาร์ดในตัวมันเอง เพราะฉันทลักษณ์เขาก็อ้างกลอนเปล่า กลอนปล่อย ยังได้เลย นี่อย่างแรก

อย่างน้อย ใครเขียนฉันทลักษณ์ต้องระบุไปเลยว่าเขียนฉันทลักษณ์ๆอะไร อย่างนั้นพอพิจารณาอย่างเป็นธรรมได้บ้าง แต่ผมว่า รูปแบบฉันทลักษณ์ กับกลอนเปล่า อย่างใดอย่างหนึ่งต้องไม่ใช่รูปแบบกวีนิพนธ์แน่นอน มันไม่ใช่เรื่องของความหมายนัยความของการเป็นกวีนิพนธ์แต่เพียงอย่างเดียว เพราะถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปสนใจฉันทลักษณ์หรือไม่ฉันทลักษณ์ ซึ่งคณะกรรมการดันเอามาเป็นข้อพิจารณาหนึ่ง ในการตัดสินให้ค่ารางวัลกวีนิพธ์...

แสดงความคิดเห็น

« 3613
หากท่านไม่ได้เป็นสมาชิก ท่านจำเป็นต้องป้อนตัวอักษรของ Anti-spam word ในช่องข้างบนให้ถูกต้อง
The content of this field is kept private and will not be shown publicly. This mail use for contact via email when someone want to contact you.
Bold Italic Underline Left Center Right Ordered List Bulleted List Horizontal Rule Page break Hyperlink Text Color :) Quote
คำแนะนำ เว็บไซท์นี้สามารถเขียนข้อความในรูปแบบ มาร์คดาวน์ - Markdown Syntax:
  • วิธีการขึ้นบรรทัดใหม่โดยไม่เว้นช่องว่างระหว่างบรรทัด ให้เคาะเว้นวรรค (Space bar) ที่ท้ายบรรทัดจำนวนหนึ่งครั้ง
  • วิธีการขึ้นย่อหน้าใหม่ซึ่งจะมีการเว้นช่องว่างห่างจากบรรทัดด้านบนเล็กน้อย ให้เคาะ Enter จำนวน 2 ครั้ง
ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่เว็บไซท์
"ก๊วนปาร์ตี้"
เว็บไซท์นี้เปิดมาเพื่อ เป็นพื้นที่สาธารณะ สำหรับบันทึกเรื่องราว ทางด้านวรรณกรรม ทุกรูปแบบ ท่านสามารถส่งบทความ - เรื่องสั้น - บทกวี เพื่อมาแลกเปลี่ยนกันอ่าน โดยคลิกส่งได้จากด้านล่างนี้
คลิกเพื่อ >> ส่งบทความ | ส่งเรื่องสั้น | ส่งบทกวี | ปกิณกะ